|
|
|
|
|
|
|
|
|
แผนที่
|
สาธารณรัฐอิรัก Republic of Iraq
|
|
ประวัติศาสตร์สำคัญ
- อิรักเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีชื่อปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เรียกว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึง แผ่นดินที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำไทกริส (Tigis) และยูเฟรตีส (Euphrates) ดินแดนแห่งนี้จึงเป็นดินแดนที่มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีผู้คนอพยพจากที่ต่าง ๆ เพื่อมาอาศัยในดินแดนแห่งนี้ มีอาณาจักรโบราณหลายแห่ง อาทิ อาณาจักรซูเมอร์ (Sumerian Civilization) อาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia) อัสซีเรีย (Assyria) มีเดีย (Media) เป็นต้น ในศตวรรษที่ 8 Abassid caliphate ได้ตั้งเมืองหลวงขึ้น ณ กรุงแบกแดด ต่อมาในปี พ.ศ. 1996 พวกเติร์ก แห่งจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) ได้ยึดครองดินแดนที่เป็นอิรักได้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 ดินแดนแห่งนี้จึงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2461
- ในปี พ.ศ. 2463 อิรักตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และได้รับอิสรภาพและประกาศเป็นราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2475 และต่อมาได้มีการปฏิวัติโค่นล้มระบบกษัตริย์และเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐอิรักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 มีการปกครองโดยประธานาธิบดี ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2522 และนำประเทศทำสงครามกับอิหร่านระหว่างปี พ.ศ. 2523-2531 ต่อมาอิรักได้ส่งกองทัพบุกยึดครองคูเวตเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 จนทำให้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียซึ่งกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
- หลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย สหประชาชาติได้ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และต่อมาสหรัฐฯ และพันธมิตรได้พยายามกดดันให้รัฐบาลอิรักทำลายอาวุธร้ายแรง ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546 สหรัฐฯ และพันธมิตรได้ทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน และได้เข้ายึดการปกครองประเทศ โดยได้จัดตั้งคณะบริหารประเทศชั่วคราวของกองกำลังพันธมิตร (Coalition Provisional Authority - CPA) ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2546
- ต่อมา ได้มีการส่งมอบอำนาจอธิปไตยคืนให้แก่รัฐบาลชั่วคราวของอิรัก (Iraqi Interim Government) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้มีการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ ที่มีจำนวนสมาชิก 275 ที่นั่ง และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน (Transitional Government) เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2548 โดยมีนาย Jalal Talabani ชาวเคิร์ดเป็นประธานาธิบดี และนาย Ibrahim Al-Jaafari ชาวชีอะต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ ต่อมาได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญของอิรัก และลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับถาวรดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2548
- เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 อิรักได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ และมีการจัดตั้งรัฐบาลถาวรอิรัก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 โดยนาย Jalal Talabani ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิรักอีกครั้งหนึ่ง และนาย Nouri Al-Maliki จากพรรค Dawa ของชาวอิรักนิกายชีอะต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
พ.ศ. 2281 ตกอยู่ใต้อาณาจักรออตโตมัน
พ.ศ. 2465 ตกอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ
พ.ศ. 2475 สิ้นสุดการเป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษ เข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติ
พ.ศ. 2501 เปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นสาธารณรัฐ
พ.ศ. 2511 เริ่มต้นการปกครองโดยพรรคบาธ โดยมีประธานาธิบดี Ahmad Masan Al Bakr และรองประธานาธิบดี Saddam Hussein
พ.ศ. 2522 รองประธานาธิบดี Saddam Hussein ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
พ.ศ. 2523-2531 สงครามระหว่างอิรัก-อิหร่าน
พ.ศ. 2533 เข้ายึดครองคูเวต (ส.ค. 2533 - ก.พ. 2534)
พ.ศ. 2533 ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยสหประชาชาติ
พ.ศ. 2534 สหรัฐฯ และพันธมิตรทำสงครามขับไล่อิรักออกจากคูเวต (สงครามอ่าวเปอร์เซีย)
พ.ศ. 2546 สหรัฐฯ และพันธมิตรทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดีซัดดัม ยึด อำนาจการปกครองประเทศและจัดตั้งคณะบริหารประเทศชั่วคราวของกองกำลังพันธมิตร (Coalition Provisional Authority-CPA) ภายใต้การนำของนาย Paul Bremer
28 มิถุนายน พ.ศ. 2547 คณะบริหารประเทศชั่วคราว (CPA) ส่งมอบอำนาจอธิปไตยให้แก่รัฐบาลชั่วคราวอิรัก
13 ธันวาคม 2546 อดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็น ถูกกองกำลังสหรัฐฯ จับกุมตัวที่ตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ใกล้เมือง Tikrit ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดี
30 มกราคม 2548 เลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ
6 เมษายน 2548 จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว
15 ตุลาคม 2548 ลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
19 ตุลาคม 2548 อดีตประธานาธิบดีอิรัก ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีในความผิดข้อหาอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ชาวอิรักนิกายชีอะต์จำนวน 148 คนที่เมือง Dujail ในอิรักเมื่อปี 2525
5 พฤศจิกายน 2549 ศาลอิรักได้มีคำพิพากษาตัดสินให้ประหารชีวิตอดีตประธานาธิบดีอิรัก
15 ธันวาคม 2548 เลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
16 มีนาคม 2549 เปิดประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
22 เมษายน 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี และลงมติรับรองนาย Nouri Al-Maliki เป็นนายกรัฐมนตรี
20 พฤษภาคม 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับรองรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ถือว่ากระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์)
30 ธันวาคม 2549 อดีตประธานาธิบดีอิรักถูกประหารชีวิต
สภาพทางภูมิศาสตร์
พื้นที่ทั้งหมด 437,072 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดกับประเทศคูเวต ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน ซีเรีย ตุรกี และอิหร่าน พื้นที่ร้อยละ 40 เป็นทะเลทราย อย่างไรก็ดี แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสซึ่งไหลผ่านกลางประเทศเป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรที่สำคัญของอิรัก
เมืองหลวง แบกแดด (Baghdad) ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ
เมืองสำคัญ เมือง Mosul และเมือง Kirkuk ทางตอนเหนือ และเมือง Basrah ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนใต้
ประชากร 27,499,638 คน (ประมาณการเมื่อเดือน ก.ค. 2550) แยกเป็นชาวอาหรับประมาณร้อยละ 75 ชาวเคิร์ดร้อยละ 20 ชาวเติร์กเมน (Turkoman) ชาวอัสซีเรียน (Assyrian) ชาวเบดูอินและอื่น ๆ ร้อยละ 5
ภาษา อาหรับและเคิร์ด
ศาสนา อิสลามประมาณร้อยละ 97 (นิกายชีอะต์ร้อยละ 60-65 และสุหนี่ร้อยละ 32-37) คริสเตียนกรีกออร์โธดอกซ์และอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 3
ภูมิอากาศ แห้งแล้ง ฝนตกน้อย ในฤดูร้อนอากาศร้อนจัดในฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ฤดูร้อน (เมษายน กันยายน) อากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 40-60 องศาเซลเซียส ฤดูหนาว (ตุลาคม มีนาคม) อากาศหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 4-10 องศาเซลเซียส
สกุลเงิน ดินาร์อิรักใหม่ (New Iraqi Dinar-NID) เริ่มใช้เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2547
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แลกได้ประมาณ 1,466 ดินาร์อิรักใหม่ (ปี 2549)
ระบบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย (parliamentary democracy)
ผู้นำประเทศในปัจจุบัน
- ประธานาธิบดีอิรัก คือ นาย Jalal Talabani (ชาวเคิร์ด) ได้รับคัดเลือกโดยสภานิติบัญญัติให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิรักเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2548 และมีรองประธานาธิบดี 2 คน คือ นาย Adel Abdul Mahdi (นิกายชีอะต์) และนาย Tariq Al-Hashemi (นิกายสุหนี่)
- นายกรัฐมนตรีอิรัก คือ นาย Nouri Al-Maliki (นิกายชีอะต์) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กลุ่มนิกายชีอะต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศอิรัก
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิรัก คือ นาย Hoshya Zebari (ชาวเคิร์ด)
พัฒนาการทางการเมือง
- ภายหลังสหรัฐฯ ได้ประกาศสิ้นสุดสงครามเมื่อ พ.ค. 2546 กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้ดำเนินการไปตามขั้นตอน นับตั้งแต่สหรัฐฯ ได้ส่งมอบอำนาจการบริหารประเทศคืนให้กับอิรักเมื่อ มิ.ย. 2547 มีการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติและจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลเมื่อช่วงต้นปี 2548 มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ (ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 ซึ่งพรรคพันธมิตรของชาวชีอะต์ได้รับเสียงข้างมาก โดยได้ที่นั่งในสภาจำนวน 128 ที่นั่งจากจำนวน 275 ที่นั่ง ขณะที่พรรคการเมืองของชาวสุหนี่ได้ที่นั่งรองลงมาจำนวน 69 ที่นั่ง กลุ่มชาวเคิร์ดได้ 53 ที่นั่ง และกลุ่มผู้สมัครอิสระได้ 25 ที่นั่ง มีการเปิดประชุมสภาฯ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลอิรัก เป็นไปอย่างล่าช้า
- เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติอิรักได้เลือกนาย Jalan Talabani อดีตประธานาธิบดีในช่วงรัฐบาลเฉพาะกาล ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิรักอีกครั้งหนึ่ง และลงมติรับรองให้นาย Nouri Al-Maliki รองหัวหน้าพรรค Dawa ของชาวชีอะต์ อดีตโฆษกรัฐบาลเฉพาะกาล และเคยลี้ภัยไปอยู่ซีเรียในช่วงการปกครองของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี 2 คน ได้แก่ นาย Barham Salih และนาย Salam Al-Zubai โดยรัฐบาลถาวรของอิรักประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 37 คน
- (หมายเหตุ อิรักยังคงมีปัญหาในด้านการเมือง ซึ่งสหรัฐฯ และพันธมิตร รวมทั้งประเทศที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มชาติอาหรับ ได้เรียกร้องให้อิรักเร่งสร้างความปรองดอง และจัดสรรอำนาจทางการเมืองอย่างเป็นธรรมระหว่างกลุ่มศาสนานิกายต่างๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ (1) ข้อเสนอรูปแบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐ (federalism) ซึ่งถูกผลักดันโดยฝ่ายชีอะต์ อย่างไรก็ดี ฝ่ายสุหนี่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่า จะนำมาซึ่งความแตกแยกของอิรักออกเป็นรัฐอิสระ โดยมองว่า ฝ่ายเคิร์ดที่อยู่ทางเหนือ และฝ่ายชีอะต์ที่อยู่ทางตอนใต้ จะสามารถครอบครองแหน่งน้ำมันสำคัญในพื้นที่ตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ (2) ปัญหาเรื่องรูปแบบการจัดสรรรายได้ที่เกิดขึ้นจากน้ำมัน ยังมิได้มีการกำหนดจัดสรรอย่างลงตัว (3) ปัญหาเรื่องการกำหนดสิทธิอำนาจในการให้สัมปทานน้ำมันของอิรัก (4) ปัญหาเรื่องการจัดสรรน้ำจืดระหว่างภาคต่าง ๆ และ (5) ปัญหาการระบุเกี่ยวกับรัฐอิรัก ซึ่งฝ่ายสุหนี่ต้องการให้ระบุว่า อิรักเป็นรัฐอาหรับ อย่างไรก็ดี ฝ่ายเคิร์ด ไม่ยอมรับ เนื่องจากเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งมีชาวเคิร์ดกว่า 6 ล้านคนมิได้มีเชื้อสายอาหรับ ดังนั้น ในรัฐธรรมนูญจึงได้ระบุถ้อยคำเพียงว่า อิรักเป็นรัฐอิสลาม และอิรักเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสันนิบาตอาหรับ)
สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ
ความปลอดภัยในอิรัก
สถานการณ์ในอิรักยังมีความขัดแย้งและมีความรุนแรงอยู่โดยทั่วไป โดยยังคงมีการดำเนินการในลักษณะต่างๆ ของฝ่ายต่อต้านกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตร รวมทั้งการต่อต้านรัฐบาลอิรัก ตลอดจนการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนาและเชื้อชาติ ทั้งในลักษณะการระเบิดพลีชีพ การจับตัวประกันชาวต่างชาติและชาวอิรัก และการเรียกค่าไถ่เพื่อหวังผลทางการเมืองและเพื่อเงิน ตลอดจนการติดตามสังหารเจ้าหน้าที่การทูต และเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในอิรัก
ความเป็นอยู่ทั่วไป
ความเป็นอยู่ในอิรักโดยทั่วไปยังมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนสาธารณูปโภคทุกประเภทที่สำคัญ อาทิเช่น ไฟฟ้า และน้ำประปาสำหรับอุปโภคและบริโภค ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในอิรักถูกทำลายตั้งแต่ช่วงเกิดสงคราม และยังไม่ได้รับการบูรณะปรับปรุงตามที่คาดหมายไว้ ไฟฟ้าในอิรักสามารถมีใช้ได้เพียง 2-3 ชั่วโมงต่อวัน ปัญหาเรื่องสุขอนามัยที่ยังมีปัญหาสืบเนื่องจากระบบการจัดการขยะ และมลภาวะที่เป็นพิษที่เกิดจากสงคราม นอกจากนี้ ยังมีปัญหาคนว่างงานและปัญหาอาชญากรรมภายในประเทศที่เกิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนา
ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มศาสนาซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธของตนเองยังปรากฏอยู่ในอิรักอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลยังไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้มีการอพยพหลั่งไหลของคนอิรักออกไปยังประเทศต่าง ๆ จำนวนนับล้านคน อาทิ จอร์แดน มีผู้อพยพจากอิรักมายังจอร์แดนหลายแสน ซีเรีย ซูดาน และอียิปต์ ก็มีผู้อพยพไปอยู่เป็นจำนวนหลายแสนคนเช่นกัน
การคมนาคม
การเดินทางไปยังอิรักโดยรถยนต์ จะต้องผ่านเส้นทางและเขตต่าง ๆ ซึ่งตกอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของฝ่ายต่อต้าน และกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้น การเดินทางโดยรถยนต์จึงไม่ปลอดภัยอย่างมาก ซึ่งอาจถูกซุ่มโจมตี ถูกปล้น และถูกจับไปเป็นตัวประกันได้ การเดินทางโดยทางเครื่องบิน มีสายการบินอิรัก และสายการบินจอร์แดน ซึ่งก็ปรากฏมีการสั่งปิดสนามบินกรุงแบกแดดอยู่เสมอ เนื่องจากสถานการณ์ความปลอดภัย โดยไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า
สมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ
- องค์การสหประชาชาติและทบวงการชำนาญพิเศษต่าง ๆ
- สันนิบาตอาหรับ (Arab League)
- องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference OIC)
- กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement NAM)
- องค์การประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นสินค้าออก (Organization of Petroleum Exporting Countries OPEC)
- องค์การประเทศอาหรับผู้ผลิตน้ำมันเป็นสินค้าออก (Organization of Arab Petroleum Exporting Countries OAPEC)
- คณะมนตรีความร่วมมือแห่งอาหรับ (Arab Cooperation Council ACC)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 50.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2549)
อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ 2.4 % (ปี 2549)
สถานะทางเศรษฐกิจ
- อิรักมีรายได้หลักของประเทศจากการส่งออกน้ำมันดิบประมาณร้อยละ 95 นอกจากนั้น มีรายได้จาก อินทผลัม ปุ๋ย และอื่น ๆ บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ในอดีตอิรักเคยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูงและเคยมีระบบการศึกษา วิชาการและสาธารณสุขที่ก้าวหน้ามากประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง อิรักมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองประมาณ 115 พันล้านบาร์เรล เป็นอันดับสองรองจากซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งมีก๊าซธรรมชาติอีกจำนวนมหาศาล (ประมาณ 110 พันล้านลูกบาศก์ฟุต)
- ช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 อิรักเผชิญกับความยากลำบากจากสงครามกับอิหร่าน รวมทั้งสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตลอดจนการอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ทำให้ระบบเศรษฐกิจ ระบบสาธารณูปโภค สภาพแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปัจจุบัน รัฐบาลอิรัก โดยการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ ตลอดจนนานาประเทศ ได้พยายามฟื้นฟูสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอิรัก ภายใต้แผนระดมการสนับสนุนเพื่อพัฒนาประเทศอิรักในระยะยาว International Compact with Iraq
- อัตราว่างงานในอิรักยังคงสูงระดับร้อยละ 28-50 อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วขึ้น เนื่องจากการที่สามารถฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมน้ำมันได้ และอยู่ในขั้นตอนที่จะกลับเข้าสู่ระบบการค้าโลกได้
อุตสาหกรรมสำคัญ อิรักผลิตน้ำมันประมาณวันละ 2 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า อิรักจำเป็นต้องผลิตน้ำมันให้ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 2.2 - 3 ล้านบาร์เรล เพื่อที่จะสามารถนำรายได้จากน้ำมันมาเร่งฟื้นฟูการพัฒนาและบูรณะประเทศ
สินค้าออกที่สำคัญของอิรัก ได้แก่ น้ำมัน อินทผลัม และฝ้าย
สินค้าเข้าที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าประเภทอาหาร ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า และน้ำตาล วัสดุก่อสร้าง เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องจักรและสิ่งทอ อุปสงค์ข้าวในอิรัก ประมาณปีละ 960,000 ตัน ส่วนข้าวสาลีประมาณปีละ 4 ล้านตัน ข้าวเจ้าส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ไทย และเวียดนาม เป็นต้น
คู่ค้าสำคัญ สหรัฐฯ ซีเรีย ตุรกี จอร์แดน
การปฏิรูประบบการค้า
- ภายหลังสงคราม รัฐบาลอิรักได้พยายามฟื้นฟูระบบการค้าและเศรษฐกิจ โดยยกเว้นการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมนำเข้าสินค้าอิรักทุกประเภท อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2547 ได้เริ่มมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ ในอัตราร้อยละ 5 โดยยกเว้นสินค้า ประเภท อาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าด้านมนุษยธรรม รวมทั้งสินค้าสำหรับโครงการก่อสร้างเพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศ
- รัฐบาลอิรักพยายามปรับปรุงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแก้ไขระเบียบการค้าเพื่ออำนวยความสะดวก รวมทั้งส่งเสริมการติดต่อกับบริษัทจากประเทศต่างๆ รวมทั้งปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การปรับปรุงสนามบินนานาชาติแบกแดด การเปิดทำการของสายการบิน Royal Jordanian (อัมมาน-แบกแดด-อัมมาน) ปรับปรุงท่าเรือ Umm Qasr และ Az Zubair (เริ่มมีการขนส่งสินค้าทางเรือเฉลี่ยเดือนละ 60 เที่ยว)
การส่งเสริมการลงทุน
- แต่เดิมอิรักภายใต้การปกครองของซัดดัม ฮุสเซ็น ได้จำกัดการลงทุนของต่างชาติ (เช่นเดียวกับชาติอาหรับหลายประเทศ ซึ่งจำกัดให้คนชาติตน เป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบธุรกิจ) อย่างไรก็ดี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีการออกระเบียบเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2547 อนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และถือครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ได้ ยกเว้น การครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ (อิรักต้องการสงวนการครอบครองทรัพยากรน้ำมัน) และมีการออกกฎระเบียบที่อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน
- ธุรกิจการค้าภายในอิรัก ผู้ประกอบการสามารถเช่าอสังหาริมทรัพย์ได้ระยะยาวถึง 40 ปี (แต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของ) อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบในการเช่า (เช่น บางกรณีมีการขอขึ้นค่าเช่าในแต่ละปีหลายเท่าตัว)
- อิรักเปิดกิจการตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2547 มีมูลค่าการซื้อขายยังไม่มากนัก และยังไม่เปิดการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างชาติ ตลาดหลักทรัพย์อิรักทำการ 2 วันต่อสัปดาห์ และวันละ 2 ชั่วโมง
- รัฐบาลเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและบริษัท (corporate and personal income taxes) โดยทั่วไปไม่เกินร้อยละ 15
- นอกจากนี้ รัฐบาลอิรักได้จัดตั้ง Iraqi Business Center Alliance ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนต่างชาติ ในการเข้าไปลงทุนในอิรัก และช่วยจัดหาผู้ร่วมลงทุนท้องถิ่น (domestic partners)
การเงินและการธนาคาร
- รัฐบาลอิรักมีนโยบายส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเสรี โดยพยายามปรับปรุงระบบการเงินการธนาคารให้ได้มาตรฐาน หลังจากถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้ระบอบซัดดัม ฮุสเซ็นมาอย่างยาวนาน เช่น การสร้างความเป็นอิสระของธนาคารชาติ การจัดตั้งธนาคารเพื่อการค้า (Trade Bank of Iraq) การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ การป้องกันการฟอกเงิน เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนาธนาคารท้องถิ่นให้มีมาตรฐานสากล
- อิรักมีธนาคารและสถาบันการเงินท้องถิ่น 6 แห่ง โดยธนาคารสำคัญได้แก่ ธนาคาร Rafidain และธนาคาร Rashid ที่ผ่านมา ธนาคารและสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง ยังมีหนี้สินจำนวนมาก และไม่พร้อมสำหรับการประกอบกิจการติดต่อธุรกิจในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 2547 เป็นต้นมา ธนาคารชาติอิรักได้สั่งการให้ธนาคารต่างๆ ของอิรัก เปิดธุรกิจปริวรรตเงินตราและการค้าระหว่างประเทศ (international payment, remittances, foreign currency L/C)
- รัฐบาลอิรักพยายามส่งเสริมให้ธนาคารต่างชาติเข้าไปลงทุนในอิรัก ที่ผ่านมา มีธนาคารต่างชาติได้รับใบอนุญาตประกอบการในอิรัก แต่ยังไม่เปิดทำการ ได้แก่ Hong Kong Shanghai Banking Corporation, Standard Chartered Bank, Arab Banking Corporation และ National Bank of Kuwait (NBK)
- แม้ธนาคารอิรักยังไม่มีความพร้อม แต่เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการประกอบธุรกิจการค้า รัฐบาลอิรักจึงได้จัดตั้งธนาคารเพื่อการค้า (Trade Bank of Iraq : TBI) ซึ่งลงทุนร่วมกับ J.P. Morgan Chase อำนวยความสะดวกด้านการเงินและการค้ำประกัน (trade finance and short-term credit) ให้กับบริษัทท้องถิ่นและบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะผู้นำเข้า ที่ผ่านมา มีการเปิด L/C ไปแล้วจำนวนกว่า 900 รายการ (ปี 2548)มูลค่าประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ international suppliers ไม่ต่ำกว่า 59 ประเทศ
- นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ และกองทุนที่เกิดจากการร่วมลงทุน ที่ให้ความสะดวกและค้ำประกันการค้า เช่น การลงทุนร่วมระหว่างกระทรวงการคลังอิรัก และ TBI และ Ex-Im Bank ของสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ สถาบันการเงิน International Finance Corporation (IFC) ของ World Bank จัดตั้งกองทุนมูลค่า 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย และกองทุนสนับสนุนโครงการก่อสร้างฟื้นฟูบูรณะของ IMF มูลค่า 436 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐอิรัก |
- ประเทศไทยกับอิรักสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2499 (1956) ไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแบกแดด และอิรักมี สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ในระหว่างสงครามสหรัฐฯ บุกโจมตีอิรัก ได้มีการปิดที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตอิรักในกรุงเทพฯ ในส่วนของไทย เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแบกแดด ได้อพยพออกจากอิรักก่อนสงคราม เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2546 และได้จัดตั้งสำนักงานชั่วคราวในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน โดยยังคงมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลอาคารสถานเอกอัครราชทูตในกรุงแบกแดด
- ไทยและอิรักมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยไม่เคยมีข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกัน ในช่วงหลังสงคราม ไทยมีนโยบายให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรัก อาทิ การช่วยเหลือด้านอาหารผ่านองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WFP นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการหลักสูตรฝึกอบรมในสาขาต่างๆ ให้แก่บุคลากรอิรักในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
- ปัจจุบัน ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน ซึ่งมีภารกิจครอบคลุมอิรัก เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ได้แก่ นายอิสินทร สอนไว ในส่วนของอิรัก สอท.อิรัก ถนนประดิพัทธ์ กรุงเทพฯ ได้ปิดทำการไปตั้งแต่ช่วงสงคราม สหรัฐฯ - อิรักเดือนเมษายน พ.ศ. 2546
- ไทยและอิรัก ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมด้านการค้า (Joint Trade Committee - JTC) เมื่อปี 2527 โดยอิรักได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งแรกที่กรุงแบกแดด เมื่อปี 2531 และครั้งที่สองเมื่อปี 2543 สำหรับครั้งที่ 3 ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ 8-12 มกราคม 2545
- ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรักมาโดยตลอด นับตั้งแต่อิรักถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก และในช่วงหลังสงครามสหรัฐฯ และอิรัก ไทยได้บริจาคเงินผ่าน ICRC จำนวน 10 ล้านบาท ช่วยเหลือด้านอาหารมูลค่า 20 ล้านบาทผ่าน WFP และส่งกองกำลังเฉพาะกิจฯ ไปช่วยเหลือด้านการแพทย์ และบูรณะซ่อมแซมเป็นระยะเวลา 1 ปี รวมทั้งล่าสุดได้ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรมให้กับชาวอิรักในสาขาต่างๆ ตามความต้องการจนถึงปัจจุบัน
การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวอิรักของ กกล.ฉก.976 ไทย/อิรัก ระหว่าง ตุลาคม 2546 - กันยายน 2547
ตามมติของสหประชาชาติที่ 1483 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2546 ให้สมาชิกสหประชาชาติให้การสนับสนุนกองกำลังพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรักเป็นการเร่งด่วน และให้การสนับสนุนฟื้นฟูบูรณะอิรักให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ รัฐบาลไทยจึงได้เสนอให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาและฟื้นฟูอิรักหลังสงครามโดยเน้นให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นหลัก โดยจัดตั้ง กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก หรือ กกล.ฉก.976 ไทย/อิรัก จำนวน 2 ผลัด ผลัดละ 443 นายไปปฏิบัติหน้าที่ในเมืองคาร์บาลา ประเทศอิรัก ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2546 ก.ย. 2547
ด้านการช่าง
สนับสนุนฟื้นฟูบูรณะอิรัก ได้แก่ การซ่อมสร้างถนน 13 สาย อาคารโรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่สาธารณและระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหาย
ด้านการแพทย์
เปิดบริการ MOBILE CLINIC ให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวอิรักในเขตพื้นที่เมืองคาร์บาร่าและบริเวณใกล้เคียง ให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวอิรักเป็นจำนวน 32,241 ราย
ด้านส่งเสริมการเกษตร
ในผลัดที่ 2 มีการส่งชุดส่งเสริมการเกษตรเข้าไป แนะนำด้านการเกษตรกรรม เพื่อให้ชาวอิรักสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ มีการนำพันธุ์พืชแจกจ่ายให้กับชาวอิรัก รวมทั้งจะมีการอบรมการใช้ปุ๋ยเพื่อให้พื้นดินเหมาะสมกับการเพาะปลูก ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้วในติมอร์ตะวันออก
ด้านกิจการพลเรือน
- ปฏิบัติงานชุมชนสัมพันธ์รอบค่ายลิม่า โดยจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่เดินทางไปให้บริการประชาชนชาวอิรัก และนำสิ่งของอุปโภค บริโภค ซึ่งประกอบด้วย ข้าวสาร ผ้าห่ม ปลากระป๋อง นมกระป๋องสำหรับทารก ของเด็กเล่น ฯลฯ
- ปัจจุบัน กกล.ฉก. 976 ฯ ถอนตัวออกจากอิรักทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2547
สถานะล่าสุดของคนไทยในอิรัก และจอร์แดน
คนไทยในอิรัก รวมทั้งสิ้น 8 คน ซึ่งแยกได้ ดังนี้
- นักธุรกิจไทย จำนวน 1 คน (นายไตรสิทธิ์ ไชยวะรา พำนักอยู่ทางเหนือของอิรัก)
- แม่บ้านและครอบครัวที่สมรสกับชาวอิรัก จำนวน 7 คน
คนไทยในจอร์แดน รวมทั้งสิ้น 181 คน ซึ่งแยกได้ ดังนี้
- คนงานไทย ได้แก่ พนักงานโรงแรม (15 คน) ช่างทอง (45 คน) ลูกเรือสายการบินจอร์แดน (32 คน) แม่บ้าน (3 คน) และนักธุรกิจ บริษัทปูนซีเมนต์ไทย (2 คน)รวมจำนวน 97 คน - นักศึกษาไทย รวม 60 คน - ครอบครัวคนไทย (สมรสกับชาวจอร์แดน) รวม 24 คน
******************************
สิงหาคม 2550
เรียบเรียงโดย กองตะวันออกกลาง กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา โทร. 0-2643-5051-52 E-mail : southasian03@mfa.go.th
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|