ประวัติศาสตร์จังหวัดลพบุรี
ลพบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ดินแดนซึ่งเป็นจังหวัดลพบุรีในปัจจุบันได้ค้นพบหลักฐานคือโครงกระดูก
เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับทำด้วยดินเผา หิน สัมฤทธิ์ เหล็ก
ทองแดง กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และแก้วของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์
กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอโคกสำโรง อำเภอ
ชัยบาดาล อำเภอพัฒนานิคม
หลักฐานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าวส่วนใหญ่พบอยู่ตามเนินดิน
น้ำท่วมไม่ถึงอยู่ไม่ไกลจากภูเขา
และมีทางน้ำไหลผ่านเฉพาะส่วนน้อยเท่านั้นที่พบอยู่ตามถ้ำในภูเขา
สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีผู้ให้คำจำกัดความว่าเป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักประดิษฐ์อักษร
ขึ้นใช้
ต่อเมื่อมนุษย์รู้จักประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้แล้วจึงเรียกว่าเป็นสมัยประวัติศาสตร์
อายุสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
ได้รับการศึกษาว่ามีอายุเก่าแก่ก่อน ๑๐,๐๐๐
ปีมาแล้ว จนถึงราว พ.ศ.
๑๐๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่อายุตัวอักษรแบบเก่าสุดได้ค้นพบในดินแดนนี้
การศึกษาเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเท่าที่เป็นมา
ได้แบ่งออกเป็นยุคตามลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ที่พบ กล่าวคือ
ยุคหินเก่า
เป็นยุคเก่าสุด มนุษย์ใช้เครื่องมือขวานหินกะเทาะ
ยุคหินกลาง
มนุษย์รู้จักใช้ขวานหินกะเทาะที่ประณีตขึ้น
ยุคหินใหม่
มีเครื่องมือทำด้วยหินที่ได้รับการขัดฝนเป็นอย่างดี
ยุคโลหะ
มีเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยสัมฤทธิ์ เหล็ก และทองแดง
ปัจจุบัน
การศึกษาเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อลักษณะการดำรงชีพของมนุษย์ในสมัยนั้น
จึงได้มีการแบ่งยุคออกเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม (Non-Agricultural
Society) และสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society)
ผลการขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอาจจะสรุปในขั้นต้นนี้ได้ว่า
ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แต่ดั้งเดิมยุคหินเก่าและยุคหินกลางเป็นสังคมก่อนเกษตรกรรม
ส่วนมนุษย์ยุคหินใหม่และยุคโลหะจัดเป็นพวกสังคมเกษตรกรรมรู้จักเพาะปลูก
ทำภาชนะดินเผา ถลุงแร่และทอผ้า
หลักฐานมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรี
ที่พบเก่าสุดได้แก่ขวานหินกะเทาะที่ศาสตราจารย์ ฟริทซ์ สารสิน
นักโบราณคดีชาวสวิส ได้สำรวจพบจากถ้ำกระดำ (กระดาน)
ตำบลเขาสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๕ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องมือมนุษย์ยุคหินกลาง
หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคต่อมาคือยุคหินใหม่ได้ค้นพบเครื่องมือขวานหินขัดของมนุษย์ยุคหินใหม่มากมายกระจัดกระจายเกือบทุกอำเภอในจังหวัดลพบุรี
และได้รับการขุดค้นแล้วนั้นคือที่ตำบลโคกเจริญ อำเภอโคกสำโรง ใน พ.ศ.
๒๕๐๙ และ พ.ศ.
๒๕๑๐
ที่สำคัญก็คือพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินใหม่พร้อมเครื่องใช้และพบว่ามนุษย์ยุคหินใหม่ในแหล่งดังกล่าวรู้จักใช้ภาชนะดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับภาชนะดินเผาสมัยหินใหม่ที่พบที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาญจนบุรี
การขุดค้นอีกครั้งหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดลพบุรีก็คือการค้นพบหลักฐาน
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ พบกระจัดกระจายมากมาย
ที่ได้รับการขุดค้นและกำหนดอายุได้นั้นคือการขุดค้นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะในศูนย์การทหารปืนใหญ่
โดยกรมศิลปากรใน พ.ศ. ๒๕๐๗
- ๒๕๐๘ กำหนดอายุจากเศษเครื่องปั้นดินเผาได้ ๗๐๐ ปี
ก่อน ค.ศ. ๑๖๖
มนุษย์พวกนี้รู้จักทอผ้าใช้มีเครื่องประดับกาย เช่น แหวน กำไล ลูกปัด
ทำด้วยสัมฤทธิ์ แก้วและหินมีเทคโลโลยีสูงในเรื่องการโลหะกรรม
หากกำหนดโดยลักษณะการดำรงชีพจะพบว่า
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยอยู่เขตจังหวัดลพบุรีจะมีทั้งเป็นพวกสังคมสมัยก่อนเกษตรกรรม
คือ ยุคหินกลางและสังคมสมัยเกษตรกรรม คือยุคหินใหม่และยุคโลหะ
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยสำหรับจังหวัดลพบุรีที่ได้ค้นพบหลักฐานของการอยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด
ลพบุรีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ (ราวพุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๘)
เมื่อเริ่มเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ คือ มนุษย์รู้จักใช้ตัวอักษรนั้น
ที่จังหวัดลพบุรีได้ค้นพบหลักฐานเป็นตัวอักษรชนิดที่เก่าสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
เป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ -
๑๒
แต่หลักฐานซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๘
มีไม่มากพอต่อการคลี่คลายเหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์เมืองลพบุรีมากนัก
และเป็นดังนี้จนถึงราวศตวรรษที่ ๑๙
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ซึ่งพบว่าเมื่อเริ่มมีการใช้ตัวอักษรที่เมืองลพบุรี
หรือปรากฏศิลปกรรมต่างๆ
สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเริ่มมีศาสนาอักษรศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑
จนถึงช่วงแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ก่อนที่เมืองลพบุรีเป็นเมืองบริวารของอาณาจักรอยุธยา
สมควรเรียกว่าเป็นสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ (Pre to History)
มีระยะเวลานานราว ๘ ศตวรรษ
ในระยะ ๘
ศตวรรษของสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์สามารถแบ่งการศึกษาออกได้เป็นคาบต่างๆ
โดยอาศัยข้อมูลทางด้านภาษา ศิลปกรรม ตำนาน และจดหมายเหตุจีนได้ ดังนี้
ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑
- ๑๕
มีหลักฐานไม่มากนักที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มพูนความรู้เรื่องเมืองลพบุรีในระยะพุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๕ กล่าวคือ พงศาวดารเหนือกล่าวถึงพระยากาฬวรรณดิศได้ให้พราหมณ์ยกพลสร้างเมืองละโว้ตั้งแต่
พ.ศ. ๑๐๐๒
ปีที่พระองค์ครองราชย์ใช้เวลาสร้าง ๑๙ ปี
แต่เรื่องดังกล่าวคงจะต้องหาหลักฐานอื่นมาสอบเทียบ
เพราะพงศาวดารเหนือเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ห่างจากเหตุการณ์ที่เป็นจริงหลายศตวรรษ
รวมทั้งข้อความในพงศาวดารส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสน
ทั้งศักราชก็คลาดเคลื่อนอยู่มาก
นอกจากนี้ยังมีตำนานและภาษาบาลีเหนือเขียนขึ้นราว ๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว
เนื้อเรื่องไม่สับสน
ศักราชเชื่อถือได้และถูกนำมาใช้อ้างอิงกันอย่างกว้างขวางคือตำนานชินกาลมาลีปกรณ์
กล่าวถึงฤษีวาสุเทพได้สร้างเมืองหริภุญไชย (ลำพูน)
ใน พ.ศ.
๑๒๐๔ ต่อมาอีก ๒ ปี (พ.ศ.
๑๒๖๐) ได้ส่งทูตล่องไปตามแม่น้ำปิงไปเมืองลวปุระทูลขอเชื้อสายกษัตริย์ลวปุระให้มาปกครองกษัตริย์ลวปุระจึงได้พระราชทานพระนางจามเทวี
พระราชธิดาให้ไปครองเมืองหริภุญไชย ชื่อเมืองลวปุระในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์เป็นที่ยอมรับว่าคือเมืองลพบุรีในปัจจุบัน
หลักฐานที่มีอายุในศตวรรษดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเมืองลพบุรีอีกคือการค้นพบศิลาจารึกที่สำคัญ
๓ หลัก คือ
๑.
จารึกหลักที่ ๑๘
จารึกบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่ศาลสูง
(ศาลพระกาฬ)
เป็นจารึกเนื่องในพุทธศาสนาภาษามอญโบราณ
ลักษณะของเสาแปดเหลี่ยมเป็นศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบหลังคุปตะของอินเดีย
ศาสตราจาย์ยอร์ซ เซเดส์ นักปราชญ์ทางด้านความรู้เกี่ยวกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่
๑๓ หรือ ๑๔
๒.
จารึกหลักที่ ๑๖
จารึกบนฐานพระพุทธรูปยืนพบที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์
เป็นจารึกภาษาสันสกฤต กล่าวถึง
นายกอารุซวะ เป็นอธิบดีแก่ชาวเมืองตังคุร
และเป็นโอรสของพระราชาแห่งศามพูกะ ได้สร้างรูปพระมุนีองค์นี้
เมืองตังคุรและเมืองศามพูกะนี้ยังไม่ทราบแน่นอนว่าอยู่ที่แห่งใด
แต่คงอยู่ในที่ราบภาคกลางของประเทศไทยเพราะลักษณะพระพุทธรูปที่พบเป็นศิลปแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในภาคกลางของประเทศไทย
๓.
จารึกภาษาบาลีบนเสาแปดเหลี่ยมพบที่เมืองโบราณซับจำปา อำเภอชัยบาดาล มี
ข้อความคัดลอกจากคัมภีร์พุทธสาสนา
อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓
สำหรับศิลปกรรมที่พบในจังหวัดลพบุรีที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓
- ๑๕ นั้น
เป็นศิลปกรรมทางด้านพุทธศาสนาที่เก่าสุดแบบหนึ่งในประเทศไทย
ซึ่งคงได้รับอิทธิพลศิลปกรรมอินเดียแบบคุปตะและแบบหลังคุปตะ (ศิลปะอินเดียวภาคกลางและภาคตะวันตก
อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๓)
ชื่อเรียกศิลปกรรมแบบดังกล่าวได้เรียกว่าศิลปะแบบทวารวดี
บัดนี้มีผู้เสนอให้เรียกว่า ศิลปมอญแบบภาคกลางประเทศไทย
เพราะชาวมอญเป็นผู้กำเนิดเอกลักษณ์ผลงานศิลปะที่สร้างขึ้น ชนิดของศิลปกรรม
ได้แก่ พระพุทธรูป พระธรรมจักรกวางหมอบ เศียรอสูร หรือเทวดา
และปติมากรรมตกแต่งสถูป เท่าที่พบแกะสลักจากหินปูนและทำด้วยปูนปั้น
จึงสรุปด้วยว่าเมื่อเข้าสู่สมัยทางประวัติศาสตร์ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑
- ๑๕ ลพบุรีคงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง
แว่นแคว้นอื่นจึงได้ยอมรับอำนาจและขอเชื้อสายไปปกครอง
สังคมเดิมแบบก่อนประวัติศาสตร์คือสังคมเผ่าได้เปลี่ยนเป็นสังคมเมืองที่มีกษัตริย์ปกครอง
มีภาษาที่ใช้คือภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี และภาษามอญโบราณ
ประชาชนนับถือพุทธศาสนา
ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -
๑๘
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖
- ๑๘
หลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองลพบุรีมีมากขึ้นถ้าได้เปรียบเทียบกับใน
๕ ศตวรรษแรก หลักฐานที่สำคัญ ได้แก่ จารึกซึ่งค้นพบทั้งในประเทศไทย
กัมพูชาประชาธิปไตย และหลักฐานที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีน
สำหรับหลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานพบในเมืองลพบุรี
ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘
มีความสำคัญช่วยสนับสนุนหลักฐานด้านประวัติศาสตร์ให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น
จากหลักฐานต่างๆ
ที่ปรากฏอาจจะกล่าวได้ว่า ในระยะราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -๑๘
ลพบุรีตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการของอาณาจักรกัมพูชาเป็นครั้งคราว
รวมทั้งได้ยอมรับเอาศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรกัมพูชาซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองพระนคร
กล่าวคือ
ได้ค้นพบศิลาจารึกภาษาขอมที่เมืองลพบุรีที่สำคัญคือ จารึกหลักที่ ๑๙
พบที่ศาลสูง (ศาลพระกาฬ)
ระบุศักราช ๙๔๔ ตรงกับ พ.ศ.
๑๕๖๕ มีข้อความกล่าวถึงพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ครองราชย์
พ.ศ. ๑๕๕๕ -
๑๕๙๓)
มีประกาศให้บรรดานักบวชอุทิศกุศลแห่งการบำเพ็ญตะบะของตนถวายแด่
พระองค์
และออกพระราชกำหนดเพื่อป้องกันมิให้นักบวชเหล่านั้นถูกรบกวนภายในอาวาสของตน
นอกจากนั้นพบจารึกหลักที่ ๒๑ ที่ศาลเจ้าลพบุรี
ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖
เป็นจารึกภาษาเขมร จารึกขึ้นเพื่อให้ทราบถึงสิ่งของต่างๆ ที่อุทิศถวายแด่เทวรูปพระนารายณ์ในโอกาสที่มีการทำพิธีฉลองเทวรูป
จารึกหลักนี้ออกชื่อเมือง โลว
คือเมืองละโว้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าที่เมืองละโว้มีผู้นับถือไวษณพนิกายของศาสนาฮินดูด้วย
การตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
จดหมายเหตุจีนระบุว่า พ.ศ.
๑๖๕๘ และ พ.ศ. ๑๖๙๘
ละโว้ส่งทูตไปจีน ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ ให้ข้อสังเกตว่า พ.ศ.
๑๖๕๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวแรก พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
แห่งอาณาจักรกัมพูชา (ครองราชย์ราว พ.ศ.
๑๖๕๖ - ราว ๑๖๙๓)
เพิ่งครองราชย์ได้เพียง ๒ ปี
คงจะเป็นสมัยที่พระองค์ยังไม่มีอำนาจมั่นคงนัก
ลพบุรีจึงเป็นนครอิสระส่งทูตไปจีนได้ และใน พ.ศ.
๑๖๙๘ ปีที่ละโว้ส่งทูตไปจีนคราวหลังพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
สวรรคตแล้ว
การส่งทูตไปเมืองจีนอาจจะเป็นความพยายามของละโว้ที่จะตัดความสัมพันธ์ฐานเป็นประเทศราชของอาณาจักรกัมพูชา
เรื่องที่ละโว้ส่งทูตไปจีนนี้ได้รับการขยายความให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น
เมื่อค้นพบศิลาจารึกที่ดงแม่นางเมืองที่จังหวัดนครสวรรค์ มีศักราชตรงกับ พ.ศ.
๑๗๑๐ ระบุเรื่องราวราชวงศ์ศรีธรรมา
โศกราช ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวกันว่า
เป็นราชวงศ์อิสระในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และลงความเห็นว่าคงเป็นราชวงศ์ปกครองเมืองลพบุรี
จึงได้มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชนั้นเองที่เป็นผู้พยายามแยกตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรกัมพูชา
หลักฐานอื่นๆ
ที่แสดงให้เห็นอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองลพบุรีอีกคือ
ปรากฏภาพสลักนูนต่ำทหารละโว้บนผนังระเบียงปราสาทนครวัตซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้า
สุริยวรมันที่ ๒ คู่กันกับภาพทหารสยาม
โดยทหารละโว้มีนายทัพเป็นแม่ทัพขอม
แสดงถึงอำนาจของอาณาจักรกัมพูชาที่มีเหนืออาณาจักรละโว้ในขณะนั้น
จารึกปราสาทพระขรรค์ พ.ศ.
๑๗๓๔ ตรงกับ รัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
(ครองราชย์ พ.ศ.
๑๗๒๔ - ราว ๑๗๖๒)
กล่าวถึงเมืองลโวทยะปุระซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน ๒๓
เมืองที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้พระราชทานพระชัยพุทธมหานาถ ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปฉลองพระองค์ไปประดิษฐาน
นอกจากนั้นในจดหมายเหตุจีนของ เจา ซู กัว แต่งขึ้นใน พ.ศ.
๑๗๖๘ กล่าวว่า
ละโว้เป็นประเทศราชประเทศหนึ่งของอาณาจักรกัมพูชา
อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาต่อเมืองละโว้และประเทศราชอื่นๆ
ลดน้อยลงหลังรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ กล่าวว่า
ในคริสศตวรรษที่ ๑๓ (ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘
กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙)
กัมพูชาเริ่มประสบความลำบากเนื่องจากได้ขยายเขตออกไปมากเกินไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีภาระหนักในศตวรรษที่
๑๒ (กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘)
เพราะประชาชนถูกกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ๒ พระองค์
ซึ่งเป็นทั้งนักรบและนัก ก่อสร้างเกณฑ์ไปใช้
กอปรกับได้ถูกพวกจับปารุกรานเมื่อ ค.ศ.
๑๑๗๗ (พ.ศ.
๑๗๒๐)
กัมพูชาจึงอ่อนแอลงจนถึงกับเข้าสู่ยุคไม่มีขื่อไม่มีแป
เมืองขึ้นและประเทศราชของกัมพูชาสามารถแข็งเมืองใน พ.ศ.
๑๘๓๙ โจว ตา กวน
ทูตจีนได้ไปเยือนอาณาจักรกัมพูชาและได้เขียนหนังสือบทความเกี่ยวกับประเพณีของอาณาจักรกัมพูชชา
มีข้อความหลายแห่งกล่าวถึงบทบาทของชาวสยามที่มีต่อาณาจักรกัมพูชา
ทั้งทางด้านการทำสงครามศาสนาและเศรษฐกิจ
หลักฐานทางด้านโบราณวัตถุสถานที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ -
๑๘
มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีกับหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ กล่าวคือ
ปรางค์แขกเป็นสถาปัตยกรรมแบบขอมได้รับการกำหนดอายุว่าอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่
๑๕ - ๑๖ ต่อจากนั้นได้ค้นพบเศียรพระพุทธรูป
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเทวรูป ศิลปขอมแบบต่างๆ ที่เมืองลพบุรี มีอายุไล่เรี่ยกันมาคือ
แบบบาปวน (อายุราว พ.ศ.
๑๕๕๓ - ๑๖๒๓)
แบบนครวัต (อายุราว พ.ศ.
๑๖๔๓ - ๑๗๑๕)
และแบบบายน (อายุราว พ.ศ.
๑๗๒๐ - ๑๗๗๓)
พระปรางค์สามยอดศาสนสถานที่สำคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลพบุรีมีแบบและผังเป็นสถาปัตยกรรมขอมแบบบายน
ศิลปกรรมแบบต่างๆ
ที่พบแสดงให้เห็นว่ามีการนับถือพุทธศาสนาควบคู่กันไปกับศาสนาพราหมณ์
และที่สำคัญคือขอมคงนำพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาฝังรากให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ในที่ราบภาคกลางประเทศไทยจึงได้ค้นพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์หลายองค์ที่เป็นศิลปกรรมแบบขอม
ลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ -
พ.ศ.
๑๘๙๓
ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘
เกิดความอ่อนแอภายในอาณาจักรกัมพูชาทำให้รัฐต่างๆ
ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจปลีกตัวเป็นอิสระ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าละโว้ได้ต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชตั้งแต่เมื่อใด
ถ้าได้เปรียบเทียบกับสุโขทัยซึ่งมีหลักฐานว่าพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางท่าวได้ร่วมมือกันขับไล่
ขอมสมาดโขลญลำพง
ขุนนางขอมออกไปจากอาณาจักรได้ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
แต่ความอ่อนแอภายในของอาณาจักรกัมพูชาเอง
จึงอาจจะกล่าวได้ว่าละโว้คงหลุดพ้นจากอิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรขอมในศตวรรษเดียวกับสุโขทัย
เมื่ออิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาหมดไป เกิดรัฐต่างๆ
ที่มีบทบาทของตัวเองขึ้นทั่วไปในภาคเหนือและภาคกลางประเทศไทย
ที่สำคัญคือรัฐพะเยา รัฐเชียงใหม่ รัฐสุโขทัย รัฐละโว้ รัฐต่างๆ
เหล่านี้มีรูปการปกครองแบบนครรัฐ
มีอาณาเขตในการปกครองไม่กว้างขวางมากนักและมีหลักฐานว่าได้เป็นไมตรีกันในระยะแรกๆ
เช่น
ตำนานทางภาคเหนือกล่าวถึงการร่วมปรึกษาหารือกันในการสร้างเมืองเชียงใหม่
ระหว่างผู้ปกครอง รัฐพะเยา รัฐสุโขทัย และรัฐเชียงใหม่
ในพงศาวดารโยนกกล่าวถึงพระยางำเมืองและพระร่วงเคยไปเรียนในสำนักพระสุกทันตฤษี
ณ กรุงละโว้ เป็นต้น
ลพบุรีในราวต้นพุทธศตวรรษที่
๑๙ เป็นรัฐอิสระเช่นเดียวกับเชียงใหม่และสุโขทัย
ทั้งนี้มีหลักฐานที่สำคัญคือในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑
กล่าวถึงอาณาเขตสุโขทัยในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง (ครองราชย์ราว
พ.ศ. ๑๘๒๒ -
ราว ๑๘๔๒) ทางทิศใต้ว่ามีเมืองคณฑี
(อยู่ใกล้กำแพงเพชร)
เมืองพระบาง (นครสวรรค์)
เมืองแพรก (สรรค์บุรี)
เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรีหรืออ่างทอง)
เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมราช
จะเห็นได้ว่าเว้นกล่าวถึงเมืองลพบุรีเมืองใหญ่ซึ่งอยู่ทางใต้
มีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะมีการทำสัญญาเป็นมิตรกันระหว่างสุโขทัยกับลพบุรี
เช่นเดียวกับสุโขทัยได้ทำกับเมืองน่านใน พ.ศ.
๑๘๓๐ นอกจากนี้ในจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงละโว้ส่งทูตไปจีนใน
พ.ศ. ๑๘๓๒ และ พ.ศ.
๑๘๔๒
เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของรัฐลพบุรีในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ราชวงศ์หรือพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเป็นผู้ปกครองเมืองลพบุรี
ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นเพื่อไขความกระจ่างแจ้งอยู่มาก
นอกจากในตำนานภาคเหนือกล่าวถึงพระรามาธิบดีผู้เป็นใหญ่ ในแคว้นกัมโพชและอโยชณปุระกับเรื่องพระรามาธิบดีกษัตริย์อโยชณปุระเสด็จมาจากกัมโพชทรงยึดเมืองชัยนาท
เป็นที่ยอมรับกันว่าพระรามาธิบดีในตำนานภาคเหนือหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑ ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นที่อยุธยาใน พ.ศ.
๑๘๙๓ แคว้นกัมโพช หมายถึงลพบุรีและอโยชณปุระหมายถึงอยุธยา
จะเห็นได้ว่าตำนานภาคเหนือกล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑ เมืองลพบุรี และเมืองอยุธยา และทราบต่อมาว่าเมื่อสมเด็จพระรามา
ธิบดีที่ ๑ ครองอยุธยาแล้ว ได้โปรดให้พระราชบุตรคือพระราเมศวรขึ้นไปครองเมืองลพบุรี
อาจจะเป็นได้ว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ครองเมืองลพบุรีมาก่อนแล้วจึงได้เสด็จย้ายไปครองเมืองอยุธยาและจึงให้พระราเมศวรครองเมืองลพบุรีแทน
เรื่องดังกล่าวอาจจะสัมพันธ์กับข้อสังเกตของศาสตราจารย์
ยอร์ช เซเดส์
ทว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่แรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรต่างกับ
อุดมการณ์ทางการเมืองของกษัตริย์สุโขทัย
สำหรับกษัตริย์สุโขทัยโปรดให้ค้าขายได้โดยเสรีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมภาษีเก็บพอประมาณ
การเกณฑ์คนก็เป็นไปตามส่วนกำลังที่มีและไม่ใช้แรงคนชรา
มรดกก็ยอมให้ตกทอดไปยังทายาทได้เต็มที่
ไม่มีการชักประโยชน์ไว้สำหรับกษัตริย์
แต่สำหรับกษัตริย์อยุธยาเป็นเทพเจ้าบนพิภพเช่นเดียวกับที่กัมพูชาหรือมิฉะนั้นอย่างน้อยก็เป็นเสมือนพระพุทธองค์ที่ยัง
พระชนม์ชีพอยู่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
จึงสรุปไว้ว่าราชวงศ์สยามวงศ์ใหม่ (ราชวงศ์สมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑)
รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตมาทั้งหมดน่าจะเป็นได้ว่าเพราะระบอบกษัตริย์ของสยามใหม่นี้ได้เกิดขึ้นในแวดวงที่ได้รับอารยธรรมเขมร
เมืองที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ได้รับมรดกระบอบกษัตริย์จากนครวัตอย่างเต็มที่นั้นควรจะเป็นที่เมืองลพบุรี
การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองลพบุรีไปอยุธยานั้นคงเกี่ยวเนื่องกับความ
เหมาะสมของอยุธยาในทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
กล่าวคืออยุธยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่
เรือสินค้าขนาดใหญ่สามารถแล่นเข้าออกไปจนถึงเมือง นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งอยุธยาอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมเมืองใหญ่ใกล้เคียง
เช่น เมืองสุพรรณบุรี เพชรบุรีได้ง่าย
เมื่อมีการสถาปนาอยุธยาใน พ.ศ.
๑๘๙๓ แล้ว
เมืองลพบุรีมีฐานะกลายเป็นเมืองลูกหลวงที่อุปราชปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ
ให้พระราเมศวรซึ่งเปรียบได้กับตำแหน่งรัชทายาทขึ้นปกครอง
จากการศึกษาเรื่องศิลปกรรมในเมืองลพบุรีทั้งทางด้านประติมากรรม
และสถาปัตยกรรม ที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ -
๑๘ เป็นศิลปที่ได้รับอิทธิพลศิลปขอมแบบบายน
และได้วิวัฒนาการจนมีลักษณะเฉพาะเรียกว่า
ศิลปะแบบลพบุรีที่เห็นได้ชัดเจนคือปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุลพบุรี
ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗
และคงเป็นต้นเค้าของบรรดาพระปรางค์
ทั้งหลายในประเทศไทยในศตวรรษต่อมา
ลพบุรีในสมัยอยุธยา
(ระหว่าง พ.ศ.
๑๘๙๓ - ๒๓๑๐)
เมืองสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง
คนไทยทางใต้ก็ตั้งแข็งเมืองไม่ยอมเป็นประเทศราช และ
พระเจ้าอู่ทองก็สร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.
๑๘๙๓ และทรงประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อเมืองสุโขทัย
ลพบุรีจึงกลายเป็นเมืองหน้าด่านที่คอยป้องกันพวกขอมทางตะวันออก
และพวกสุโขทัยทางเหนือในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ก็ได้โปรดให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี
ซึ่งอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวงและใช้เป็นเครื่องถ่วงดุลย์อำนาจทางการเมืองกับสุพรรณบุรีซึ่งขุนหลวงพะงั่ว
พี่ของพระมเหสีไปครองอยู่
ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พ.ศ.
๑๙๒๑)
อาณาจักรอยุธยาได้ขยายตัวออกไปกว้างขวางและรวมเอาสุโขทัยเป็นอาณาจักรเดียวกัน
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เขมรอ่อนกำลังลงและได้ยกทัพไปตีเขมรถึงนครธมซึ่งเป็นราชธานีเขมร
และเมื่อสมเด็จพระราเมศวรได้ครองราชย์เป็นครั้งที่ ๒
ก็ไม่ปรากฏว่าส่งพระราชโอรสขึ้นไปครองเมืองลพบุรี
และในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงปรับปรุงการปกครอง
โปรดให้ยกเลิกเมืองลูกหลวงทั้ง ๔ ด้านของราชธานีออก ลพบุรีจึงกลายเป็น
หัวเมืองที่อยู่ในเขตราชธานีแต่นั้นมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ ๒
รองจากพระนครศรีอยุธยา สถานที่สร้างพระราชวังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชา-ภาพทรงสันนิษฐานว่า
คงสร้างในที่ที่เป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราเมศวร
สาเหตุที่สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีอีกแห่งหนึ่งก็เนื่องจากในปี พ.ศ.
๒๒๐๗ ได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการค้ากับฮอลันดา
พระองค์จึงหาทางป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ
อีกทั้งทรงเห็นว่าลพบุรีมีชัยภูมิเหมาะแก่การป้องกันตนเอง
และลพบุรีมีแม่น้ำไหลผ่านแต่ไม่ลึกพอที่เรือขนาดใหญ่จะผ่านเข้าไปได้
สามารถติดต่อกับราชธานีสะดวก ซึ่งทำให้พระองค์สร้างลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ
พระองค์ทรงแปรพระราชฐานมาประทับที่เมืองลพบุรีเป็นเวลายาวนาน
ในแต่ละปีเสด็จประทับยังพระนครศรีอยุธยาเพียงระยะเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมเท่านั้น
และได้พระราชทานวังที่เมืองลพบุรีเป็นที่ว่าราชการ
รวมทั้งต้อนรับแขกต่างประเทศที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีอีกด้วย
ตอนปลายสมัยของสมเด็จพระนารายณ์เมืองลพบุรีเกิดความวุ่นวายขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของพวกขุนนางต่างชาติ
ทำให้พระเพทราชาได้เข้ายึดอำนาจทางการปกครอง
ในขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวรหนัก
และเสด็จสวรรคตไปท่ามกลางเหตุการณ์วุ่นวายในขณะนั้น
เมื่อสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์
เมืองลพบุรีจึงมีความสำคัญลดลงไม่มีความสำคัญทางการเมืองจนสิ้นสมัยอยุธยา
ลพบุรีสมัยรัตนโกสินทร์
ลพบุรีขาดความสำคัญลงมากตั้งแต่สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
จนกระทั่งถึงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งรัตนโกสินทร์
ซึ่งไทยเราได้ติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น
และชาติตะวันตกในยุคนั้นได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมรุกรานบ้านเมืองทางตะวันออก
ใช้กำลังกับประเทศต่างๆ พระองค์ก็ได้ตระหนักถึงอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
จึงโปรดให้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นที่ประทับอีกแห่งหนึ่ง
โดยปฏิสังขรณ์พระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์ที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมีสภาพดีขึ้นดังเดิม
และโปรดให้สร้างหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นเป็นที่ประทับ
และได้พระราชทานนามพระราชวังที่เมืองลพบุรีนี้ว่า พระนารายณ์ราชนิเวศน์
จะเห็นได้ว่าจังหวัดลพบุรี
มีความสำคัญติดต่อกันมานานนับพันปี คือตั้งแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์และดำรงความเป็นเมืองสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา
: ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค
จังหวัดลพบุรี. นนทบุรี :
โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงปากเกร็ด,๒๕๒๗.
|