ประวัติศาสตร์จังหวัดระยอง
เมื่อมองดูแผนที่ประเทศซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายขวานโบราณ
ทางภาคตะวันออกเฉียง
ใต้อันเป็นส่วนหนึ่งของตัวขวานจะเป็นที่ตั้งของจังหวัดระยอง เมืองเล็กๆ
เมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างสองเมืองใหญ่คือ ชลบุรีและจันทบุรี
ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพมหานครไม่เกินสามชั่วโมงก็จะมาถึงเมืองระยอง
เมืองที่มีมาแต่ครั้งโบราณมาแล้ว
ประวัติการก่อตั้ง
ระยองเริ่มมีชื่อปรากฏในพงศาวดารเมื่อปี พ.ศ.
๒๑๑๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา
ส่วนประวัติดั้งเดิมก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่พอจะเชื่อถือได้ว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของ
ขอม คือ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.
๑๕๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่ขอมมี
อนุภาพครอบคลุมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีเมืองนครธมเป็นราชธานี
ขอมได้สร้างเมืองนครพนมเป็นเมืองหน้าด่านแรก เมืองพิมายเป็นเมืองอุปราชและได้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองสำคัญด้วย
ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนครธม
เมืองหน้าด่านเมืองแรกที่ขอมสร้างก็คือ เมืองจันทบูรหรือจันทบุรีในปัจจุบันนี้
เมื่อขอมสร้างจันทบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน
เพื่อนำเอาอารยะธรรมของขอมเข้ามาสู่แคว้น ทวาราวดี
ก็น่าจะอนุมานได้ว่าขอมเป็นผู้สร้างเมืองระยองนี้
แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด
นักโบราณคดีได้สันนิษฐานจากหลักฐานที่ได้ค้นพบ คือ ซากหินสลักรูปต่างๆ
ที่ปรากฏอยู่ที่บ้านดอน บ้านหนองเต่า ตำบลเชิงเนิน
คูค่ายและซากศิลาแลงบ้านคลองยายล้ำ ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่ายซึ่งเป็นศิลปการก่อสร้างแบบขอม
ทำให้สันนิษฐานว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของขอมอย่างแน่นอน
ที่ตั้ง
ที่ตั้งของเมืองปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง
ส่วนที่ตั้งดั้งเดิมนั้นหนังสือ
"ตำนานเมือง"
ของราชบัณฑิตยสภากล่าวไว้ว่า
ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าที่เดิมจะตั้งอยู่ในท้องที่ใด
ได้ความเพียงว่าตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอบ้านค่าย
ปัจจุบันมีซากหินหลักรูปต่างๆ ศิลาแลงปรากฏให้เห็นอยู่
ขณะนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าใดนัก
ขึ้นอยู่กับตำบลตาขัน ตำบลบ้านค่าย ต่อมาชายฝั่งทะเลได้งอกออกไปเรื่อยๆ
จึงได้เลื่อนตัวเมืองตามลงไปตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง
ในปัจจุบัน
จาก
"นิราศเมืองแกลง"
ของสุนทรภู่ก็ได้กล่าวถึง "บ้านเก่า"
ไว้ตอนหนึ่งว่า
"พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง
ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ
เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน"
คำว่า
"บ้านเก่า"
นี้ คงจะหมายถึงหมู่บ้านเก่า
ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองระยองในเวลานั้นนั่นเอง
สุนทรภู่ได้แวะพักเอาแรงที่บ้านเก่า ๒ คืนก่อน
แล้วจึงออกเดินทางต่อไปยังบ้านนาตาขวัญ บ้านแลง
ผ่านไปเรื่อยจนกระทั่งถึงบ้านกร่ำ อำเภอแกลง (ในสมัยนั้นเป็นเมืองแกลง)
เพื่อไปพบกับบิดาซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่นั้น
ที่มาของคำว่า
"ระยอง"
มีผู้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชื่อนี้เป็นหลายกระแส คือ
๑.
ตำบลท่าประดู่อันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองในขณะนี้
แต่เดิมเป็นที่อาศัยของพวกชอง
ซึ่งตั้งรกรากอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย
ซึ่งครอบคลุมอยู่ในแถบระยอง จันทบุรี
ชนเผ่านี้มีความชำนาญในป่าเขาลำเนาไพรและมีภาษาพูดของตนเอง
เป็นชนพื้นเมืองที่นิยมใช้ลูกปัดสีต่างๆ และทองเหลืองเป็นเครื่องประดับ
สืบเชื้อสายมาจากพวกขอม (นักชาติวงศ์วิทยาจัดให้อยู่ในพวกมอญ-เขมร)
อันนี้ทำให้น่าคิดว่า คำว่า ระยอง ตะพง เพ แลง ชะเมา แกลง
ซึ่งเป็นชื่อเมือง ตำบลและอำเภอ ซึ่งไม่มีคำแปลในพจนานุกรมไทย
ก็น่าจะมาจากภาษาชองนี่เอง จากเรื่อง "อาณาจักรชอง
ตอนหนึ่ง" ของแก่นประดู่กล่าวไว้ว่า "ผู้เฒ่าผู้แก่วัยหนึ่งศตวรรษ
หลายต่อหลายคนต่างก็ยืนยันในคำพูด
อยู่ในทำนองเดียวกันว่าระยองเป็นภาษาพูดคำหนึ่งของคนเผ่าชอง
ซึ่งเดิมเรียกกันว่า "ราย็อง" (เวลาอ่านต้องอ่านออกเสียงตัว
รา ให้ยาวหน่อย และออกเสียงตัว ย็อง ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้)
คำ "ราย็อง"
นี้ เล่ากันมาแปลว่า "เขตแดน"
หมายถึงว่าเป็นดินแดนของพวกชองอยู่
แต่ภาษาพูดนี้เรียกเพี้ยนกันมาเรื่อยๆ จึงกลายเป็น "ระยอง"
ในที่สุด
๒.
อีกกระแสหนึ่งกล่าวว่าคำว่า "ระยอง"
นี้ในภาษาชองน่าจะหมายถึง
ไม้ประดู่ เพราะ
ในบริเวณที่มีพวกชองตั้งรกรากอยู่นั้นอุดมไปด้วยไม้ประดู่
ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง ปัจจุบันหายากมากและราคาแพง เขตแดนแถบนี้จึงมีชื่อว่า
ตำบลท่าประดู่ อันเป็นที่ตั้งของเมืองระยองเวลานี้
๓.
ผู้อ้างหลักฐานว่าแต่เดิมมีหญิงชราชื่อว่า "ยายยอง"
เป็นผู้มาตั้งหลักฐานประกอบอาชีพทำไร่ในแถบนี้ก่อนผู้ใด
จึงเรียกบริเวณแถบนี้ว่า "ไร่ยายยอง"
ต่อมาภาษาพูดก็เพี้ยนไปจนกลายเป็นระยองในที่สุด
ชนเผ่าชองจะมาตั้งรกรากอยู่ทางดินแดนแถบระยองเมื่อไรไม่ปรากฏ
แต่เล่ากันว่ามีมานานแล้ว
เมื่อคราวที่สุนทรภู่เดินทางมาเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลงก็ยังมีพวกชองอยู่เป็นจำนวนมาก
สุนทรภู่ได้เขียนถึงพวกชองไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า
"ด้วยเดือนเก้าเข้าวสาเป็นหน้าฝน
จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์
ไปบ้านพลงค้อตั้งริมฝั่งคลอง
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต
ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง
ไม่เหมือนน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น"
กล่าวกันว่า
แม้แต่ตระกูลทางบิดาของสุนทรภู่ก็เป็นเชื้อชอง
ปัจจุบันไม่มีชนเผ่านี้อยู่ในระยอง เพราะไม่ชอบอยู่ในย่านตลาดหรือชุมนุมชน
เมื่อความเจริญย่างเข้ามาก็อพยพทิ้งถิ่นไปเรื่อยๆ
และยังมีเชื้อสายชาวชองปรากฏอยู่ที่บ้านคะเคียนทอง คลองพลู อำเภอมะขาม
จังหวัดจันทบุรี
ด้านประวัติศาสตร์
ขอย้อนกล่าวทางด้านประวัติศาสตร์บ้าง
ประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเมืองระยองในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา
พระยาละแวก เจ้าเมืองเขมร ทรงคิดว่าไทยอ่อนแอ
จึงถือโอกาสกรีฑาทัพบุกรุกเข้ามาในแดนไทยแถบหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออก
ตามวิสัยที่เคยกระทำมาเป็นเนืองนิจ คือเมื่อไทยเข้มแข็ง
เขมรก็มาสวามิภักดิ์ แต่เมื่อไทยอ่อนแอก็ถือโอกาสโจมตีทุกครั้งไป
แต่ในครั้งนี้เขมรก็ไม่สามารถยึดครองหัวเมืองเหล่านี้ไว้ได้
จึงเพียงแต่กวาดต้อนผู้คนไปยังประเทศเขมร
ซึ่งในบรรดาชาวเมืองที่ถูกกวาดต้อนไปในครั้งนั้นก็มีชาวระยองอยู่ด้วยไม่น้อย
ประวัติศาสตร์อีกตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเมืองระยองในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียทีแก่พม่าเป็นครั้งที่สอง พระยาวชิรปราการหรือพระยาตากแม่ทัพคนสำคัญแห่งกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งถูกเกณฑ์ให้มารักษากรุงในระหว่างที่ถูกพม่าล้อมไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.
๒๓๐๖ - ๒๓๑๐
ได้พิจารณาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงจะต้องเสียทีแก่พม่าเป็นแน่แท้เพราะพระเจ้าเอกทัศน์
กษัตริย์ผู้ครองกรุงในเวลานั้นทรงอ่อนแอและไร้ความสามารถ
ถ้าขืนสู้รบต่อไปก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ฉะนั้น ในราวเดือนยี่ พ.ศ.
๒๓๐๙ พระยาตากจึงรวบรวมพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน
มีทั้งไทยและจีน
รวมทั้งข้าราชการที่มีความเชื่อถือในฝีมือของพระยาตากอีกหลายคน อาทิ เช่น
พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา หมื่นราชเสน่หา
ออกไปตั้งหลัก ณ วัดพิชัย (อยู่ใต้สถานีรถไฟในปัจจุบัน)
แล้วยกกองทัพมุ่งไปทางตะวันออก ได้ปะทะกับพม่า
แต่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้
พอไปถึงบ้านลำบัณฑิตเวลาสองยามเศษก็แลเห็นแสงเพลิงไหม้กรุง
ต่อจากนั้นก็มุ่งไปบ้านโพธิสามหาว (โพธิสาวหารหรือโพธิสังหารก็เรียก)
และบ้านพรานนก
ได้สู้รบกับพม่าไปตลอดทาง
เส้นทางเดินทัพของพระยาตากที่ปรากฏในพงศาวดารภาคที่ ๖๕ เป็นดังนี้
ออกจากบ้านพรานบนไปบ้านบางคง หนองไม้ซุง ตามทางเมืองนครนายกไปบ้านนาเริ่ง
ถึงเมืองปราจีนบุรี บ้านด่านขบและบ้านทองหลาง ตะพานทอง บางปลาสร้อย
ถึงบ้านนาเกลือ ออกไป พัทยา นาจอมเทียน ไก่เตี้ย สัตหีบ หินโค่ง
แวะหยุดพักไพร่พลที่บ้านน้ำเก่าซึ่งเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นเป็นบ้านเก่า
ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย ซึ่งขณะนั้นผู้รั้งเมืองระยอง คือ พระยาระยอง
(บุญเมืองหรือบุญเรือง)
ได้ทราบข่าวว่าพระยาตากยกทัพมาก็เกิดความเกรงกลัว
จึงพาคณะกรมการเมืองออกไปเชิญให้พระยาตากพาไพร่พลเข้ามาพักในเมือง
พร้อมทั้งมอบธัญญาหารเกวียนหนึ่งให้พระยาตาก
พระยาตากได้พาไพร่พลเข้ามาที่ท่าประดู่ และพักแรมอยู่ที่วัดลุ่ม (วัดลุ่มมหาชัยชุมพล)
สองคืน จึงได้ทำการตั้งค่าย
ขุดคูปักขวากล้อมบริเวณที่พักไว้โดยมิได้ประมาท
ในระหว่างเวลานั้น เป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่า ฉะนั้น
การยกทัพมาของพระยาตาก
ทำให้กรมการเมืองระยองคิดระแวงไปว่าพระยาตากจะคิดร้ายต่อบ้านเมืองจึงหลบหนีการสู้รบมา
จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษาพระยาระยอง ซึ่งพระยาระยองก็ได้กล่าวห้ามปราม
แต่กรมการเมืองไม่ยอมเชื่อ ครั้งเมื่อพระยาตากพักอยู่ที่วัดลุ่มได้สองวัน
นายบุญรอด แขนอ่อน นายมาด นายบุญมา น้องเมียพระจันทบูร
ได้เข้ามาถวายตัวทำราชการและได้นำความมาแจ้งว่าขุนรามหมื่นซ่อง
นายทองอยู่นกเล็ก ขุนจ่าเมือง
(ด้วง)
หลวงแสนพลหาญ กรมการเมืองระยองได้คบคิดกับพวกทหารประมาณ ๑,๕๐๐
คน จะยกเข้ามาประทุษร้ายพระยาตาก
ครั้นเมื่อทราบความเช่นนั้นพระยาตากจึงเรียกผู้รั้งเมือง คือ
พระยาระยองมาซักถามความจริง แต่ผู้รั้งไม่ยอมรับ
พระยาตากจึงสั่งให้ทหารคุมตัวผู้รั้งเมืองไว้และเตรียมการที่จะรับมือกับศัตรูต่อไป
พอพลบค่ำ
พระยาตากจึงสั่งให้ทหารเตรียมการป้องกันไว้และดับไฟมืดทั้งค่าย
ตกเวลาประมาณทุ่มเศษ พวกกรมการเมืองซึ่งไม่ทราบว่าพระยาตากรู้ตัวก็คุมทหาร
๓๐ คน เข้าโจมตีค่ายทางด้านเหนือ คือทางด้านวัดเนิน มีขุนจ่าเมือง
(ด้วง)
เป็นหัวหน้า
เมื่อขุนจ่าเมืองคุมพรรคพวกเข้ามาใกล้ค่ายประมาณ ๕-๖
วา
พระยาตากก็สั่งให้ทหารระดมยิงปืนพร้อมกันขุนจ่าเมืองและทหารไม่ทันรู้ตัวจึงถูกอาวุธบาดเจ็บล้มตายไปตามๆ
กัน พวกกรมการเมืองและทหารที่เหลืออยู่เกิดความกลัวจึงพากันล่าถอยไป
พระยาตากก็ระดมไพร่พลไล่โจมตีและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้นเอง
ยึดได้ทั้งศาสตราวุธและธัญญาหารเป็นจำนวนมาก
บรรดาเหล่าทหารได้เห็นความสามารถและความฉลาดหลักแหลมของพระยาตาก
จึงพากันยกย่องเรียกพระยาตากว่า "เจ้าตาก"
แต่โดยที่ชื่อเดิมของพระยาชื่อว่า "สิน"
จึงพากันเรียกว่า "เจ้าตากสิน"
ฉะนั้น จะถือได้ว่าพระยาตากได้รับการยกย่องให้เป็น
"เจ้า"
ที่เมืองระยองนี่เองก็ไม่ผิดนัก
เมื่อเจ้าตากยึดเมืองระยองได้แล้วก็โปรดให้พักไพร่พลอยู่ในเมือง ๗-๘
วัน เพื่อบำรุงขวัญทหารและจัดการเมืองให้เสร็จเรียบร้อย
แล้วจึงเสด็จต่อไปยังเมืองจันทบุรีเพื่อยึดเป็นที่ตั้งมั่นในการกอบกู้อิสรภาพของชาติคืนจากพม่าต่อไป
การโอนเมืองแกลงมาขึ้นกับเมืองระยอง
อำเภอแกลงนั้นแต่เดิมเป็นเมืองเรียกกันว่า
"เมืองแกลง"
มีฐานะเป็นเมืองจัตวาคู่กับเมือง ขลุง ขึ้นอยู่กับเมืองจันทบูร
(จันทบุรี)
ด้วยเหตุที่เมืองจันทบุรีเป็นเมืองโบราณมีชื่อปรากฏในพงศาวดารมาแต่แรกสร้างกรุงศรีอยุธยา
จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองแกลงซึ่งเป็นเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง
ก็น่าจะมีมาช้านานแล้วเช่นกัน
ที่ตั้งของเมือง
เดิมเมืองแกลงตั้งอยู่ที่บ้านแหลมสน ขณะนั้นมีกองทหารเรือตั้งอยู่ ต่อมาปี
พ.ศ.
๒๔๔๐ กองทหารเรือได้ยุบเลิกไปตั้งอยู่ที่อื่น
ทางราชการจึงได้ย้ายตัวเมืองจากบ้านแหลมสนไปอยู่ที่บ้านหนองโพรง
- แหลมเมือง ตำบลปากน้ำประแสร์
แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านทางเกวียน
ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของวัดโพธิ์ทองปัจจุบัน ประมาณ ๒ กม.
เหตุที่ย้ายที่ตั้งเมืองบ่อยๆ
ก็คงเป็นไปตามแบบการปกครองโบราณ
คือเมื่อใครได้เป็นเจ้าเมืองก็ย้ายที่ทำการไปไว้ที่บ้านของตน
เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ในหนังสือเรื่องเทศาภิบาลว่า
"ตามหัวเมืองในสมัยนั้นปลาดอย่างหนึ่งที่ไม่มีศาลารัฐบาลตั้งประจำสำหรับว่าราชการอย่างทุกวันนี้
เจ้าเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ไหนก็ว่าราชการบ้านเมืองที่บ้านของตนเหมือนอย่างเสนาบดีเจ้ากระทรวงในราชธานีว่าราชการที่บ้านตามประเพณีเดิม
บ้านเจ้าเมืองผิดกับบ้านของคนอื่นเพียงที่เรียกว่า "จวน"
เพราะมีศาลาโถงปลูกไว้นอกรั้วข้างบ้านหลังหนึ่งเรียกว่า
"ศาลากลาง"
เป็นที่สำหรับประชุมกรรมการเวลามีการงาน เช่น รับท้องตราหรือปรึกษาราชการ
เป็นต้น เวลาไม่มีการงานก็ใช้ศาลากลางเป็นศาลาชำระความ
เห็นได้ว่าศาลากลางก็เป็นเค้าเดียวกับศาลาลูกขุนในราชธานีนั่นเอง
เจ้าเมืองตั้งสร้างจวนและศาลากลางด้วยทุนของตนเอง
แม้แผ่นดินซึ่งจะสร้างจวนถ้ามิได้อยู่ในเมืองมีปราการ เช่น
เมืองพิษณุโลกเป็นต้น เจ้าเมืองก็ต้องหาชื้อที่ดินเหมือนกับคนทั้งหลาย
จวนกับศาลากลางจึงเป็นทรัพย์ส่วนตัวของเจ้าเมือง
เมื่อสิ้นตัวเจ้าเมืองก็เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน ใครได้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่
ถ้ามิได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้าเมืองคนเก่าก็ต้องหาที่สร้างจวนและศาลากลางขึ้นใหม่ตามกำลังที่จะสร้างได้
บางทีก็ย้ายไปสร้างห่างจากที่เดิมฟากแม่น้ำหรือแม้จนต่างตำบลก็มีจวนเจ้าเมืองไปตั้งอยู่ที่ไหนก็ย้ายที่ว่าราชการไปอยู่ที่นั่นชั่วสมัยของเจ้าเมืองคนนั้น
ตามหัวเมืองจึงไม่มีที่ว่าราชการเมืองตั้งประจำอยู่แห่งใดแห่งหนึ่ง
เป็นนิจเหมือนอย่างทุกวัน"
เมืองแกลงคงจะมีศาลาสำหรับพิจารณาตัดสินคดีซึ่งเกิดขึ้นภายในเมือง
ต่อมาราวปี พ.ศ.
๒๔๕๐ ทางราชการได้สั่งยุบเมืองแกลงลงเป็นอำเภอเรียกว่า
"อำเภอแกลง"
และย้ายจากบ้านทางเกวียนมาอยู่ในปัจจุบัน
ศาลเมืองแกลงจึงพลอยถูกยุบลงด้วยนั่นคือ
ทางราชการได้ยุบสภาพจากเมืองจัตวาลงมาตั้งเป็นอำเภอ มีหลวงแกลงแกล้วกล้า
(ศรี บุญศิริ)
เป็นนายอำเภอคนแรก จนถึงปี พ.ศ.
๒๔๕๓ พระคำแหงพลล้าน (ชื่อ คชภูมิ)
นายอำเภอคนที่สอง
จึงได้ย้ายที่ตั้งอำเภอจากบ้านทางเกวียนมาตั้งอยู่ที่บ้านสามย่าน
ตำบลทางเกวียนซึ่งมีสภาพเหมาะสมที่จะขยายตัวเมืองได้อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
การโอนเมืองแกลง
ในปี พ.ศ.
๒๔๕๑ ได้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับจังหวัดระยอง
โดยมีแจ้งความของกระทรวงมหาดไทยลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๕
ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ หน้า ๔๐๗ ว่า "ด้วยมีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าฯ
สั่งว่าอำเภอแกลงขึ้นเมืองจันทบุรี ยากจะตรวจตราให้ทั่วถึงได้
ทรงพระราชดำริว่าควรจะโอนอำเภอแกลงไปขึ้นเมืองระยองเพราะเป็นท้องที่อยู่ใกล้
จะเป็นการสะดวกในการบังคับบัญชาและตรวจตรายิ่งขึ้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับเมืองระยองต่อไป"
(แจ้งความมา
ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗)
ด้วยเหตุนี้อำเภอแกลงจึงมาสังกัดกับจังหวัดระยองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นต้นมา
ที่มา
:
ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดระยอง.
ระยอง : ธนชาติการพิมพ์
,๒๕๒๕. |