ประวัติศาสตร์จังหวัดชุมพร
ประวัติการตั้งเมือง
คำว่า
"จังหวัดชุมพร"
เพิ่งเริ่มใช้ในปี ๒๔๕๙
โดยทางราชการได้เปลี่ยนนามท้องที่ที่เรียกว่า
เมืองอันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลว่า
"จังหวัด"
ส่วนคำว่าเมืองให้ใช้สำหรับเรียกตำบลที่ประชาชนได้เคยเรียกว่าเมืองมาแล้วแต่เดิมอันเป็นเขตชุมชนเท่านั้น
ในสมัยโบราณมีชื่อว่า
"เมืองชุมพร"
เมืองชุมพรเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง
แต่จะตั้งเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่นอน เพิ่มมาปรากฏตามตำนานพระ-ธาตุเมืองนครศรีธรรมราชฉบับของหอสมุดแห่งชาติมีความตอนหนึ่งว่า
เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมาโศกราช
ก็สร้างเมืองลงบนหาดทรายรายรอบเป็นเมืองนครศรีธรรมราช
แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุครั้งนั้น และยังมีพระพุทธสิหิงค์ล่องทะเลมาแต่เมืองลังกาถึงเกาะปีนัง
และลอยมาถึงหาดทรายแก้วที่จะก่อพระธาตุนั้น ต่อมาพระยาศรีธรรมาโศกราชได้ขุดพบพระธาตุแล้วแบ่งให้พระยาศรี-ธรรมาโศกราชไปก่อพระเจดีย์
บรรจุพระบรมธาตุที่เหลือไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรตามปูมโหรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช
ให้ใช้ตรารูปสัตว์ประจำปีเป็นตราของเมืองนั้น ๆ คือ
ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง
ปีขาลเมืองกลันตันถือตราเสือหนึ่ง
ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง
ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง
ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง
ปีวอกเมืองปันทายสมอถือตาลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุลาถือตราไก่หนึ่ง
ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน
๑๒ เมือง
มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระธาตุขึ้นตามตำนานนี้เมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้นมีอำนาจมาก
ปรากฏว่ามีเมืองชุมพรเป็นเมืองขึ้นอยู่เมืองหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.
๑๐๙๘ เมืองชุมพรในสมัยนั้นปรากฏว่า
เป็นเมืองด่านเพราะอยู่ระหว่างช่องแคบมลายู
เป็นเมืองด่านหรือแคว้นเทพนครหรือแคว้นอู่ทอง
ในสมัยต่อมาไม่มีหลักฐานที่อ้างอิงหรือกล่าวถึง เมืองชุมพรไว้เลย
จึงมีผู้เข้าใจว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยอยุธยา
เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๑๙๙๗
(จ.ศ.
๘๑๖)
ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระเจ้าอยู่หัวในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง
ซึ่งได้โปรดให้ชำระขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า
ได้มีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าสั่งว่า
บรรดาข้าราชการอยู่บนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงให้ถือศักดินาตามพระราชบัญญัติ
และปรากฏว่ามีออกญาเคางะทราธิบดีศรีสุรัตวลุมหนักพระชุมพร
เมืองตรีถือศักดินา ๕,๐๐๐
ไร่ เป็นอันรับรู้ว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองตรี
และเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินของพระองค์
แต่ต้องเข้าใจว่าก่อนที่จะได้เป็นเมืองตรี
เมืองชุมพรจะต้องเป็นเมืองเล็กมาก่อน
จึงไม่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ไว้ให้เห็นชัด
เพิ่งมาปรากฏแน่ชัดขึ้นว่าเมืองชุมพรเป็นหัวเมืองหนึ่งในหัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่ปี
พ.ศ.
๑๙๙๗ เป็นต้นมา หรือประมาณ ๕๐๓ ปีเศษแล้ว
ประวัติที่ตั้งเมือง
เมืองชุมพรจะตั้งอยู่ ณ ตำบลใด ที่ใดไม่มีหลักฐานที่แน่นอน
ทั้งนี้เมืองชุมพรไม่มีโบราณวัตถุที่เป็นพยานหลักฐานว่าเป็นเมืองแต่โบราณ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเรียบเรียงไว้ในตำนานเมืองระนอง
ความตอนหนึ่งว่า เมืองชุมพรประหลาดผิดกับเมืองอื่นในแหลมมลายู
เมืองที่ตั้งมาแต่โบราณ เช่นเมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราชเป็นต้น
ล้วนมีโบราณวัตถุและมีตัวเมืองปรากฏอยู่บ้าง รู้ได้ว่าเป็นเมืองมาแต่โบราณ
แต่เมืองชุมพรยังไม่ได้พบโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญแต่อย่างใด
อาจจะเป็นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ มีที่นาไม่พอกับคนประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งอยู่ตรงคอคอดแหลมมลายู มักเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันตรงนี้
จึงไม่สร้างเมืองถาวรไว้ แต่ก็ต้องรักษาไว้เป็นเมืองด่าน นอกจากเหตุผล ๒
ประการดังกล่าวแล้ว พิจารณาจากสภาพตามธรรมชาติ
แล้วยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ
ที่ท้องที่ตั้งจังหวัดชุมพรเป็นที่ราบต่ำน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร
เรือกสวนไร่นาเสียหายอยู่เสมอ บางปีน้ำท่วม ๒-๓
ครั้ง
ภัยจากน้ำท่วมอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุไว้ให้ปรากฏแก่ชนรุ่นหลังก็ได้
แม้แต่บ้านเรือนราษฎรในเมืองก็ไม่ปรากฏว่าได้ก่อสร้างอาคารถาวรเป็นเรือนตึก
หรือคอนกรีต เพิ่งจะมีตึกขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาดชุมพร เมื่อ พ.ศ.
๒๔๙๑ นี้เอง
อย่างไรก็ดี จากหลักฐานบางอย่างปรากฏว่ามีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ใกล้วัดประเดิม
อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพรเรียกว่า
"บ้านวัดประเดิม"
หรือ"
บ้านประเดิม"
ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ ๒๐ ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร
พิจารณาตามลักษณะภูมิประเทศจะเห็นว่ามีคลองสองคลองไหลมาเกือบบรรจบกัน
และในระหว่างคลองทั้งสอง คือ คลองชุมพรและคลองท่าตะเภา
ซึ่งขณะนี้เรียกกันว่าคลองร่วม เมืองชุมพรตั้งอยู่ ณ คลองท่าตะเภา
หาใช่ตั้งที่คลองชุมพรตามชื่อเมืองไม่ จึงเป็นเหตุหนึ่งทำให้สันนิษฐานว่า
เมืองชุมพรแต่เดิมน่าจะอยู่ที่คลองชุมพรโดยใช้ชื่ออย่างเดียวกัน
นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงวัดประเดิมมีวัดใหญ่อยู่บริเวณใกล้เคียงหลายวัดคือ
วัดประเดิม วัดนอก วัดพระขวางและวัดวังไผ่
ส่วนวัดประเดิมเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญ
ชาวบ้านนับถือและพากันไปทำบุญมากกว่าวัดอื่น ๆ
ซึ่งตามธรรมดาที่ตั้งเมืองโบราณมักจะมีวัดมากและตั้งอยู่ติด ๆ กัน
บริเวณวัดประเดิม ถัดมาทางทิศเหนือ มีอิฐแผ่นใหญ่จมอยู่ในดินบางแห่ง
และมีหลักเมืองแห่งหนึ่งใกล้ ๆ วัดประเดิม
หลักเมืองนี้ชาวบ้านในปัจจุบันมักไม่ค่อยรู้จักว่าเป็นอะไร
เพราะสภาพในปัจจุบันเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งปักอยู่ในดินใต้ต้นข่อยใหญ่
ชาวบ้านใกล้เคียงเรียกกันว่า
"พระข่อย"
ถือเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป
ตามธรรมดาเมืองโบราณจะต้องมีหลักเมือง พระเสื้อเมืองเป็นประจำเมือง
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าเมืองชุมพรเดิมตั้งอยู่ ณ บ้านประเดิม
ทางฝั่งซ้ายของเมืองชุมพร จึงมีชื่อตรงกับชื่อคลอง
อยู่ห่างจากเมืองชุมพรในปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ ๕ กิโลเมตร
ต่อมาสันนิษฐานว่าได้ย้ายตัวเมืองไปตั้งอยู่ ณ บ้านท่ายาง ตำบลท่ายาง
โดยมีหลักฐานอ้างอิงจากหลักฐานใด เมื่อ พ.ศ.
๒๓๕๗ ปีจอ ฉศก
(จ.ศ.๑๑๗๖)
ในรัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงส่งสงฆ์ไทย จำนวน ๗ รูป เป็นสมณทูตออกไปเมืองลังกาโดยทางเรือ
โดยมีขุนทรงวิชัยหมื่นไกรคุมเครื่องดอกไม้เงินทองไปบูชาพระเจดีย์ฐานทั้ง ๑๕
ตำบล ครั้นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๒ เวลา ๔ โมง มีคลื่นจัดเรือได้เกยหาดมัทรีปากน้ำชุมพรแตก
คณะทูตได้ส่งคนออกหาบ้านคนแล้วโดยสารเรือจับปลามาถึงเมืองชุมพร
ได้ขออาหารจากเจ้าอธิการวัดท่ายางบริโภค
แล้วพากันมาหาเจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรได้ป่าวร้องให้ราษฎร์จัดแจงหาอาหารมาถวายพระสมณทูตแล้วออกไปรับพระสงฆ์สมณทูตกับคณะเข้ามา
ณ เมืองชุมพรนิมนต์ให้พระสงฆ์อาศัยในวัดท่ายาง คราวนี้จะเห็นได้ว่า
เมืองชุมพรในปี พ.ศ.
๒๓๕๗ ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่ายาง
ภูมิฐานของตำบลท่ายางในปัจจุบันนี้ยังมีบ้านเรือนหนาแน่น
และใกล้กับปากอ่าวมีเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปมาสะดวกบัดนี้ก็ยังเป็นท่าเรือสินค้า
มีเรือต่าง ๆ
จากกรุงเทพมหานครบรรทุกสินค้ามาขึ้นแล้วบรรทุกรถยนต์ไปในเมืองอยู่เสมอ
ท่ายางเป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง ขณะนี้มีวัดถึง ๗ วัด
วัดที่อยู่ใกล้เคียงตลาดเก่ามีถึง ๓ วัดติดกัน คือ วัดท่ายางใต้
วัดท่ายางกลาง และวัดท่ายางเหนือ
ตำบลท่ายางจึงน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองชุมพรในสมัยต่อมา
แต่ย้ายมาเมื่อใดยังไม่พบหลักฐานแน่นอน
เมื่อตรวจสอบหลักฐานที่พอเชื่อถือได้พบว่าเมื่อปี พ.ศ.
๒๔๓๓
(ร.ศ.
๑๐๙)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายู
ได้เสด็จประทับที่เมืองชุมพรแล้วทรงม้า
ทรงช้างพระที่นั่ง ไปยังเมืองกระบุรี จังหวัดระนอง พลับพลาที่ประทับที่ชุมพรอยู่ทางใต้ของคลองท่าตะเภา
โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี
ปัจจุบันขึ้นกับคลองท่าตะเภา โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย
ตำบลกรอกธรณี
(ปัจจุบันคือตำบลตากแดด)
อยู่หลังพลับพลาทุ่งตีนสายยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
อยู่ใกล้วัดสุบรรณนิมิตรไปทางทิศตะวันตกและได้ทรงเรือข้ามไปที่บ้านท่าตะเภา
ขึ้นที่หน้าบ้านเจ้าเมืองก่อนแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามริมฝั่งบ้านเรือนราษฎร
จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า เมื่อพ.ศ.
๒๔๓๓
(ร.ศ.
๑๐๙)
เมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่ที่คลองท่าตะเภาแล้ว
ตัวเมืองและสถานที่ราชการหาใช่ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่
อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับทุ่งตีนสายและบริเวณบ้านท่าตะเภาเหนือ
ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จโดยทางเรือพระที่นั่ง
๑๒ กรรเชียง ถึงพลับพลาที่ท่าตะเภาเหนือไปถึงหมู่บ้านที่เป็นเมืองชุมพร
เวลาจวนค่ำเสด็จพระราชดำเนินที่หมู่บ้านท่าตะเภาอำเภอเมืองชุมพรตลาดท่าตะเภาเดิมอยู่ตรงข้ามบ้านทุ่งตีนสาย
บริเวณระหว่างที่ทำการป่าไม้จังหวัดกับตลาดในปัจจุบันนี้ตลาดท่าตะเภานี้แต่เดิมเป็นป่ามีเสือชุกชุมมากจนขึ้นชื่อว่า
เสือชุมพรดุมาก เมื่อทางราชการตัดทางรถไฟสายใต้ผ่านตัวเมืองชุมพร
ป่าเสือก็กลายสภาพเป็นตลาดการค้า
ต่อมาตัวเมืองได้ย้ายอีกแต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด
เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่นอนแต่จะต้องหลังจาก พ.ศ.
๒๔๓๓
(ร.ศ.
๑๐๙)
แล้ว ปรากฏว่าเมื่อพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดการปกครองท้องที่ใหม่
โดยแบ่งการปกครองออกเป็นเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน
หลายเมืองรวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙
(ร.ศ.
๑๑๕)
ได้ตั้งมณฑลชุมพรขึ้น ตั้งศาลารัฐบาล ณ จังหวัดชุมพร
ปรากฏหลักฐานว่าตัวเมืองชุมพร ได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ริมคลองท่าตะเภา
คือที่ปลูกบ้านพักนายอำเภอเมืองชุมพรอยู่ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน
เหตุผลที่จำเป็นต้องย้ายเมืองจากบ้านประเดิม
และตำบลท่ายางมาอยู่ที่คลองท่าตะเภา ไม่พบหลักฐาน ณ ที่ใด
แต่เท่าที่ค้นคว้าน่าจะเป็นเพราะเหตุสองประการดังต่อไปนี้ คือ
(๑)
คลองชุมพรอันเป็นที่ตั้งเมืองมาแต่เดิม
เคยใช้เป็นทางเรือสำเภาใหญ่ ๆ
สัญจรและบรรทุกสินค้าไปมากับจังหวัดใกล้เคียงและต่างประเทศมีระยะไกลจากปากอ่าว
ประกอบกับคลองท่าตะเภาเป็นท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว ความเจริญก็มีมากทำเลการทำมาหากินก็ดีขึ้น
ประกอบกับขณะนั้นประชาชน ณ
เมืองชุมพรเดิมคงจะถูกพม่ารุกรานจึงเที่ยวหลบซ่อนหาที่ตั้งบ้านเรือนใหม่
จึงได้อพยพกันมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินที่บ้านท่าตะเภามากขึ้น,
กลายเป็นท้องที่ ๆ ประชาชนหนาแน่น จึงเป็นเหตุหนึ่ง
ให้ย้ายเมืองชุมพรไปจากบ้านประเดิม
(๒)
ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า
เมืองชุมพรถูกพม่าข้าศึกยกทัพมาย่ำยีหลายครั้ง ที่สำคัญมี ๒ ครั้ง คือ
ก.
ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เมื่อ พ.ศ.
๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก
(จ.ศ.
๑๑๒๖)
พระเจ้าอังวะมังระแห่งพุกามประเทศ
ได้จัดกองทัพใหญ่พลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันมาตีกรุง
ศรีอยุธยา
แยกไปทางเหนือทัพหนึ่ง แยกไปทางใต้ทัพหนึ่ง มีมังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพถือพลหมื่น
ห้าพันยกมาตีเมืองทวาย
มะริด
และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หลบหนีเข้าไปทางเมือง
กระเข้ามาอยู่เมืองชุมพร ทัพพม่ายกติดตามไป
เมื่อตีได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสียแล้วยกเข้ามาตีเมืองปะ
ทิว เมืองกุย
เมืองปรานแตกทั้งสามเมือง แล้วกลับเข้าไปเมืองทวาย
ข.
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ.
๒๒๓๘ ปีมะเส็ง สัปตศก(จ.ศ.
๑๑๔๗)
พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่า
จัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน แยกเป็นหลายกอง
ทัพมาย่ำยีประเทศไทย ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่มาจนถึง เมืองถลาง (ภูเก็ต)
ทางด้านปักษ์ใต้ได้แก่หวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่ให้เนมโยตุงนรัตน์เป็นแม่ทัพหน้ายกมาทางเมืองกระ
เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร
เจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรมีไพร่พลสำหรับป้องกันเมืองน้อยก็เทครัวเข้าป่า
ทัพพม่ายกเข้าตีเมืองชุมพรได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสีย
ทัพหน้าเลยเข้าไปตีเมืองไชยา แล้วก็เผาเมืองไชยาเสียด้วย
ส่วนทัพใหญ่ยังคงตั้งอยู่เมืองชุมพรต่อมากองทัพหลวงมาจากกรุงเทพ ฯ
จึงตีกองพม่าแตกไป ในสมัยนี้บ้านเมืองก็คงจะร่วงโรย มีผู้คนเหลือน้อย
ต่างกระจัดกระจายกันไป เช่นเดียวกับเมืองระนอง
เมื่อเมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่คลองท่าตะเภาแล้วที่ตรงนั้นอยู่ริมน้ำตกถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง
จึงได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นบริเวณหน้าศาลจังหวัดชุมพรในปัจจุบันเป็นสมัยที่พระสำเริงนฤปการเป็นเจ้าเมือง
ในปี พ.ศ.
๒๔๖๐ พระยาคงคาธราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์
ได้ขอเงินงบประมาณเพื่อสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ที่ตำบลท่าตะเภา คือ
บริเวณเทศบาลเมืองชุมพร และสำนักงานที่ดินจังหวัดในปัจจุบัน
ก่อสร้างเสร็จเปิดทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ เมื่อ ๓ เมษายน ๒๔๖๒
เวลา ๐๘.๐๐
น.
ในสมัยอำมาตย์ตรีพระชุมพรศรีสมุทรเขต
(บัว)
เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงถือว่า
วันที่ ๓ เมษายน เป็นวันที่ระลึกของจังหวัดชุมพร
เมืองชุมพรได้เป็นที่ศาลารัฐบาลมณฑลชุมพรด้วย
เมื่อเริ่มตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้ว ในปี พ.ศ.
๒๔๓๗ มีเมืองขึ้นกับมณฑลนี้ ๓ เมือง คือ เมืองสุราษฎร์ธานี
เมืองชุมพร และเมืองหลังสวน ต่อมาใน พ.ศ.
๒๔๔๘
(ร.ศ.
๑๒๔)
ได้ย้ายศาลาเทศบาลมณฑลชุมพรไปอยู่ที่บ้านดอน
ซึ่งเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน เพราะเหตุน้ำท่วมในปี พ.ศ.
๒๔๕๘ ได้เปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎร์ธานี
ให้ตรงกับท้องที่ที่ตั้งมณฑลในปี พ.ศ.
๒๔๖๘ ได้ประกาศยกเลิกมณฑลสุราษฎร์ธานี และโอนการปกครอง ๓
จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชุมพรด้วยไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช
หลังจากยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลทุกมณฑลในปี พ.ศ.
๒๔๗๖ เป็นเหตุให้ยกเลิกมณฑลนครศรีธรรมราชไปด้วย
จังหวัดชุมพรจึงเป็นจังหวัดหนึ่งในราชอาณาจักร
ขึ้นตรงต่อราชการบริหารส่วนกลางจนทุกวันนี้
ประวัติคำว่าชุมพร
คำว่า
ชุมพร
ตามอักษรแยกได้เป็น ๒ คำ คือ
ชุม
คำหนึ่งและ
พร
คำหนึ่ง คำว่า
ชุมตามปทานุกรมของกระทรวงศึกษาธิการแปลว่า
รวม,ชุก,มาก
รวมกันอยู่ คำว่า
พร
แปลว่า ของดี.
ของที่เลือกเอา.ของประเสริฐ
คำว่า ชุมพรตามตัวอักษร จึงแปลได้ความว่าเป็นที่รวมของประเสริฐ
แต่ชื่อเมืองชุมพรนั้น ไม่มีความหมายเฉพาะตามตัวอักษร
ชุมพรเป็นชื่อเมืองมาแต่โบราณ
ตามตำนานการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชได้มีการสร้างเมืองสิบสองนักษัตร
เมืองชุมพรเป็นเมืองหนึ่งในสิบสองนักษัตรเป็นปีมะแม ถือตราแพะ
และปรากฏหลักฐานแน่นอนว่า มีชื่อชุมพรมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
แห่งกรุงศรีอยุธยา ชื่อนี้มีความหมายหรือประวัติความเป็นมาอย่างไร
ยากที่จะค้นคว้าหาหลักฐานได้ การที่จะสืบสวนไปว่ามีความอย่างใด
ก็ต้องพิจารณาประวัติศาสตร์หรือความเป็นมาแต่โบราณสมัย พิจารณาดูตามเหตุผล
เท่าที่รวบรวมและพิจารณาดู พอจะแยกออกได้เป็น ๓ ประการ คือ
(๑)
เนื่องด้วยเมืองชุมพร
ว่าโดยสภาพเป็นเมืองหน้าด่านในทางภาคใต้ เพราะสมัยโบราณยังไม่มีรถไฟ
เรือยนต์ หรือ เรือกลไฟ
ใช้ในกองทัพและพื้นที่ก็เป็นคอคอดที่แคบของแหลมมลายู การยกทัพต้องยกมาทางบก
และตั้งค่ายที่ชุมพร ฉะนั้น
การสงครามหรือการรบทุกครั้งไม่ว่าจะรบกับพม่าหรือปราบกบฏภายในราชอาณาจักรก็ตาม
เมื่อยกทัพหลวงมาครั้งใด เมืองชุมพรก็ต้องเป็นที่ชุมนุมพลหรือชุมนุมกองทัพ
ชาวชุมพรในสมัยโบราณได้ชื่อว่าเป็นนักรบ
เมื่อพม่าได้เคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนทางเมืองท่าแซะและตำบลรับร่อ
เจ้าเมืองจะเกณฑ์ไพร่พลเข้าป้องกันอย่างเข้มแข็งและเมืองชุมพรต้องร่วมสมทบกับกองทัพด้วย
จะเห็นได้ว่าเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในการสงครามเกือบทุกครั้งตั้งแต่สมัยสุโขทัย
อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงเชื่อกันว่าชุมพรมาจาก
คำว่า ประชุมพล"
หรือชุมนุมพล
นั่นเอง คำว่าประชุมพล แปลได้ความว่า รวมกำลัง
ทั้งนี้โดยเหตุที่ว่า
ก่อนจะยาตราทัพต้องมาประชุมพลหรือรวมกำลังออกเป็นหมวดหมู่ทุกครั้ง
แต่คำว่าประชุมพลนี้เรียกผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นชุมพร
เพราะคนไทยทางใต้ชอบพูดคำสั้น ๆ จึงตัดคำว่าประออกเสีย
ส่วนคำว่าพลต่อมาใช้คำว่าพรแทน
เพราะการเพี้ยนไปจากเดิมจึงกลายเป็นชุมพรมาจนทุกวันนี้ ซึ่งตามธรรมดา
ชื่อเมือง ชื่อตำบล มักจะเรียกเพี้ยนไปจากเดิมเสมอ อย่างไรก็ดีเมืองชุมพร
นับว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธ-ศาสตร์มาแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบัน
แม้แต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๘๔
กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกที่ปากน้ำชุมพรแล้วจึงยาตราทัพต่อไปยังประเทศพม่าตามแผนการที่วางไว้ขณะนี้ชุมพรยังมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์
จะเห็นได้ว่าเป็นจังหวัดทหารบกและมีกองกำลัง ร.
๒๕ พัน ๑ ตั้งอยู่ ฉะนั้น ความหมายจากคำว่าประชุมพล
จึงมีความหมายตรงกับประวัติศาสตร์ของเมืองที่ว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์
(๒)
โดยเหตุที่ที่ตั้งเมืองเดิม
อยู่บ้านประเดิมฝั่งขวาของคลองชุมพร
ที่คลองชุมพรมีต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ทั่วไปทั้งสองฟากคลองเรียกกันว่า
มะเดื่อชุมพร
เป็นพืชยืนต้น ปัจจุบันก็มีอยู่มาก
ใช้เปลือกและต้นทำยาสมุนไพร คลองนี้เดิมยังคงไม่มีชื่อ
ภายหลังจึงถูกตั้งชื่อว่า คลองชุมพร ตามต้นไม้ไปด้วย
เพราะตามปกติการตั้งชื่อท้องที่หรือแม่น้ำลำคลองมักจะเรียกตามชื่อต้นไม้หรือตามสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ
ณ ที่นั้น เช่นเดียวกับที่อำเภอท่าแซะมีชื่อต้นไม้แซะซึ่งขึ้นอยู่ข้างคลอง
ต่อมาเมืองที่มาตั้งจึงมีชื่อตามต้นไม้ไปด้วย เช่นเดียวกับชื่อชุมพร
อาจเรียกตามชื่อคลองหรือชื่อต้นไม้ก็เป็นได้
คำว่าชุมพรนอกจากจะมีต้นไม้แล้ว ยังเรียกชื่อหวายชนิดหนึ่ง
ซึ่งเป็นสินค้าของชุมพร คือหวายชุมพรอีกด้วย
ซึ่งมีอยู่มากมายตามต้นคลองชุมพรโดยทั่วไป
(๓)
ตามตัวอักษรที่แปลว่า เป็นที่รวมของประเสริฐหรือของดีนั้น
ผู้ที่จะให้ของประเสริฐได้
ต้องเป็นบุคคลที่มีอำนาจหรืออิทธิพลยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา
จึงอาจหมายถึงเทวดาเป็นผู้ให้ หรือเป็นสถานที่ที่เทวดาประทานพรทั้งหลายให้
ซึ่งตามธรรมดาบุคคลชอบสิ่งที่เจริญหรือเป็นมงคล
จึงต้องการให้ชื่อเมืองเป็นมงคลนาม เป็นที่รวมแต่สิ่งที่เป็นมงคลทั้งหลาย
ต่อมาได้เรียกผิดเพี้ยนไปคงเหลือแต่ชุมพร เพราะคนไทยทางใต้ชอบเรียกคำสั้น ๆ
ตามความหมายที่มาจากคำว่า
ประชุมพร
เมื่อได้ทราบประวัติความเป็นมาทั้งสามประการแล้วจะเห็นได้ว่า
คำว่าประชุมพรนั้นมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์สมกับที่จารึกไว้ว่า
ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบ เพราะการตั้งชื่อเมืองหรือการตั้งชื่อใด ๆ ก็ตาม
ย่อมจะมีความหมายสำคัญในชื่อที่ตั้งนั้น
ส่วนที่ว่าชุมพรมาจากคำว่ามะเดื่อชุมพรนั้นหรือมาจากเทวดาประชุมพรให้ก็ดี
สันนิษฐานว่ามาคิดค้นหาเหตุผลภายหลังไม่มีความหมายตรงตามประวัติศาสตร์
ประวัติอาณาเขต
เมืองชุมพรมีศักดิ์เป็นเมืองตรี จึงมีเมืองเล็ก ๆ
เป็นเมืองขึ้น
เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาชุมพรตามนามของเมืองในสมัยโบราณ
มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมีอาณาเขตจดทะเลทั้งสองข้าง
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจดเมืองตะนาวศรี ทิศเหนือจดเมืองกำเนิดนพคุณ
ทิศใต้จดเมืองไชยา ทิศตะวันออกจดอ่าวไทย ทิศตะวันตกจดมหาสมุทรอินเดีย
มีเมืองขึ้นในครั้งนั้น ๗ เมือง คือ เมืองปะทิว เมืองท่าแซะ เมืองตะโก
เมืองหลังสวน เมืองตระ
(อำเภอกระบุรีในปัจจุบัน)
เมืองมะลิวัน เมืองระนอง ภายหลังได้รวมเอาเมืองกำเนิดนพคุณ
(อำเภอบางสะพานในปัจจุบัน)
มาขึ้นด้วย
ส่วนเมืองตะโกเดิมต่อมาได้ยุบเป็นตำบลขึ้นต่ออำเภอสวี
ปัจจุบันเป็นกิ่งอำเภอทุ่งตะโก
เมืองขึ้นเหล่านี้ในครั้งหลังได้ถูกตัดแยกออกไปตั้งเมืองใหม่บ้าง
ด้วยเหตุอื่นบ้าง จึงทำให้อาณาเขตของชุมพรลดน้อยลงไปตามลำดับ
เฉพาะเมืองที่ตัดแยกออกไปอยู่ในปกครองของจังหวัดอื่น มีประวัติดังต่อไปนี้
(1)
เมืองมะลิวัน
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
อังกฤษได้มาปกครองเมืองตะนาวศรีและ
เมืองมะริด
ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในครั้งก่อน อังกฤษขอปันเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ
ณ เมืองมะลิวัน โดยกำหนดให้แม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแดนฝ่ายไทย
ส่วนเขตแดนอังกฤษอยู่เพียงแนวเขาเป็นเขต โดยถือเอาแม่น้ำปากจั่นเป็นฝ่ายไทย
จึงโปรดเกล้าให้พระยายมราชสุด
(จ๋อ)
กับพระยาเพชรกำแหงสงคราม(ครุฑ)
ไปเจรจากับอังกฤษ แต่ไม่เป็นที่ตกลง จนถึงรัชกาลที่ ๔
โปรดให้พระยาเพชรบุรี พระยาเพชรกำแหงสงคราม และพระยาชุมพร
(กล่อม)
ไปเจรจาปันเขตแดน ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ความเรื่องนี้ ๒
แผ่นดินแล้วยังไม่ตกลงกันได้ควรประนีประนอมผ่อนผัน
จึงให้กรรมการปันเขตแดนทั้ง ๒ ท่านทำความตกลงเอง
โดยถือเอาแม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแต่มีข้อสัญญาปลีกย่อยเรื่องโจรผู้ร้ายข้ามแดนอังกฤษ
เมืองมะลิวันซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นชุมพรและเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
จึงตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษด้วยความจำเป็น เมื่อปีชวดพุทธศักราช ๒๔๐๗
เมืองมะลิวันเมื่อขึ้นอยู่กับอังกฤษตั้งชื่อว่า
Victoria Point ไทยเรียกว่าเกาะสอง
ขณะนี้เป็นอำเภอชั้นเอก ขึ้นอยู่กับเขตทวาย จังหวัดมะริด
ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า
(2)
เมืองระนอง
เมืองระนองแต่เดิมเป็นเมืองแขวง
(ปัจจุบันเทียบเท่ากับอำเภอ)
ขึ้นต่อเมืองชุมพรเมื่อปีขาลพุทธศักราช ๒๓๙๗ ในรัชกาลที่ ๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเจ้าเมืองว่างลงจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงรัตนเศรษฐี
(คอซู้เจียง
ต้นตระกูล ณ ระนอง)
ขึ้นเป็นพระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง
แต่ยังเป็นเมืองขึ้นของชุมพรอยู่ ต่อมาเมื่อปีจอ พ.ศ.
๒๔๐๕
(จ.ศ.๑๒๒๔)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
เลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนองขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐีและยกฐานะเมืองระนองขึ้นมีศักดิ์เป็นเมืองจัตวา
ขึ้นต่อกรุงเทพมหานคร ครั้นปี พ.ศ.
๒๔๕๙
เปลี่ยนชื่อมาเป็นจังหวัดระนองจนกระทั่งทุกวันนี้
(3)
เมืองตระ
เมืองตระปัจจุบันเรียกว่าอำเภอกระบุรี ขึ้นกับจังหวัดระนอง
แต่เดิมเมืองตระเป็นเมืองเล็กขึ้นต่อเมืองชุมพร เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๒๔๐๕
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกเมืองตระกับเมืองระนองเป็นเมืองจัตวาขึ้นต่อกรุงเทพฯ
โดยแยกเมืองตระให้ไปขึ้นกับเมืองระนองที่ตั้งใหม่
เมืองตระจึงแยกจากเมืองชุมพรแต่นั้นมา
(4)
เมืองกำเนิดนพคุณ
เมืองกำเนิดนพคุณ สมัยก่อนเป็นตำบลเล็กๆ
ขึ้นต่อเมืองกุยบุรีในสมัยอยุธยา พ.ศ.
๒๒๙๐ (จ.ศ.
๑๑๐๙) ได้พบแร่ทองคำในตำบลนี้
ภายหลังในปีพ.ศ. ๒๓๙๒
ในรัชกาลที่ ๓ ทรงตั้งเป็นเมืองชื่อว่าเมืองกำเนิดนพคุณ
ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีแร่ทองคำ ต่อมาได้มาขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร
เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.
๒๔๔๙ (ร.ศ.
๑๒๕ ) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้รวมเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองปราณบุรี
ซึ่งแต่เดิมเป็นอำเภอขึ้นเมืองเพชรบุรี และเมืองกำเนิดนพคุณ
ซึ่งเป็นอำเภอขึ้นเมืองชุมพร รวม ๓ เมืองเป็นเมืองเดียวกัน
โดยโอนท้องที่เมืองกำเนิดนพคุณมารวมกับเมืองปราณบุรี เมืองประจวบคีรีขันธ์
ตั้งเป็นเมืองจัตวาอีกเมืองหนึ่ง เรียกว่า "เมืองปราณบุรี"
ขึ้นกับมณฑลราชบุรี
ต่อมาเมืองปราณบุรีได้เปลี่ยนเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และเมืองกำเนิดนพคุณมีชื่อว่าอำเภอบางสะพาน
โดยมีอาณาเขตหลักคือเขาไชยราชเป็นที่แบ่งเขตแดนระหว่างชุมพร (อำเภอปะทิว)
กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาจนทุกวันนี้
ประวัติเหตุการณ์สำคัญ
โดยเหตุที่เมืองชุมพรเป็นเมืองหน้าด่านมาแต่โบราณ
โดยเฉพาะในการสงครามกับพม่า
และมีส่วนร่วมในการปราบปรามภายในราชอาณาเขตหลายครั้งหลายหน จึงเชื่อว่า
ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบซึ่งบางเรื่องก็ได้กล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วแต่อย่างไรก็ดียังมีการสงครามเกี่ยวกับชุมพรอีกหลายครั้ง
ซึ่งควรจะนำมากล่าวไว้ ณ
ที่นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวชุมพรในอนาคตจึงได้รวบรวมประวัติการสงครามและการรบ
ซึ่งเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในสมัยอยุธยา ธนบุรี
และรัตนโกสินทร์ตามที่ปรากฏในพงศาวดารโดยสังเขปมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สมัยอยุธยา
๑.ในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาบุรุษ
(สมเด็จพระเพทราชา)
เมื่อปีขาลอัฐศก พ.ศ.
๒๒๒๙
(จ.ศ.๑๐๔๘
)เจ้าพระยานครศรีธรรมราชเป็นขบถแข็งเมืองจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพบก
พระยาราชวังสันเป็นแม่ทัพเรือคุมกองทัพไปปราบปรามเมืองนครศรีธรรมราช
ในทางกองทัพบกได้ยาตราทัพผ่านมาทางเมืองชุมพร
และได้เกณฑ์เอาผู้รั้งเอากรมการเมืองชุมพร
เมืองไชยาถือพลหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาบรรจบทัพบกไปราชการสงครามนั้นด้วย
๒.
เมื่อ พ.ศ.
๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก จ.ศ.
๑๑๒๖ ในแผ่นดินพระบรมราชาที่ ๓
(พระที่นั่งสุริยามรินทร์)พระเจ้าอังวะมังระแห่งกรุงพุกามประเทศได้จัดกองทัพพลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันคนมาตีกรุงศรีอยุธยาจัดทัพใหญ่แยกเป็น
๒ ทัพไปทางเหนือทัพหนึ่งให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปทางใต้ทัพหนึ่ง
ให้มังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพ ถือพลหนึ่งหมื่นห้าพันยกมาตีเมืองทวาย มะริด
และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หนีไปทางเมืองกระแล้วไปอาศัยอยู่ในเมืองชุมพร
ทัพพม่ายาตราทัพตามลงมาไปตีได้เมืองชุมพร
แล้วเผาเมืองชุมพรเสียครั้นแล้วยกไปตีเมืองปะทิว เมืองกุย เมืองปราณแตก
ทั้งสามเมือง แล้วยกกลับเมืองทวาย
สมัยธนบุรี
เมื่อ
พ.ศ.
๒๓๑๗ ปีกุน นพศก
(จ.ศ.
๑๑๒๙)
หลวงนายสิทธิ์เป็นที่พระปลัดว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราชอยู่
ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองไม่ ครั้นทราบว่ากรุงเทพฯ เสียแก่พม่าข้าศึก
จึงตั้งตัวเป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้านคร
มีอาณาเขตแผ่ไปข้างนอกถึงแดนเมืองแขกข้ามไปถึงเมืองชุมพร ปะทิว
แบ่งแผ่นดินออกไปอีกส่วนหนึ่งและแต่งตั้งขุนนางตามตำแหน่ง เหมือนในกรุงเทพฯ
ทุกอย่าง
ครั้นถึง
พ.ศ.
๒๓๑๒ ปีฉลูเอกศก
(จ.ศ.
๑๑๓๑)
หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ข้าศึก
และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทำการกู้อิสรภาพได้และได้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีแยกเป็นแม่ทัพกับพระยายมราช
พระยาศรีพิพัฒน์ พระยาเพชรบุรี
ถือพลห้าพันพร้อมด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
ยกกองทัพไปทางเมืองเพชรบุรีไปถึงเมืองปะทิว
ชาวเมืองชุมพรยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น
และนายมั่นคนหนึ่งได้พาสมัครพรรคพวกเข้ามาหาแม่ทัพขอสวามิภักดิ์เป็นข้าราชการ
เจ้าพระยาจักรีจึงบอกมาให้กราบทูล จึงมีพระ-ราชดำรัสโปรดให้มีตราตั้งให้นายมั่นเป็นพระชุมพร
(เจ้าเมืองชุมพร)
ให้เกณฑ์เข้าในกองทัพด้วยแต่คราวนั้นเข้าตีเมืองนครศรีธรรมราชไม่สำเร็จต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยาตราทัพเรือมาช่วยจึงตีเมืองนครศรีธรรมราชได้
สมัยรัตนโกสินทร์
๑.
เมื่อ พ.ศ.
๒๓๒๘ ปีมะเส็งสัปตศก
(จ.ศ.
๑๑๔๗)
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าจัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน
แบ่งออกเป็นหลายกองทัพเข้ามาย่ำยีประเทศไทยจากเหนือมาใต้
ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนถึงเมืองถลาง
(ภูเก็ต)
ทางภาคใต้ได้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองมะริด แกงหวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่
ให้กีหวุ่นเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้เนยโยตุงนรัตเป็นแม่ทัพบกยกมาทางเมืองกระ
เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร เมื่อแกงหวุ่นแมงญีแม่ทัพใหญ่หนุนมาสองทัพ
เป็นคนเจ็ดทัพ ทัพหน้ายกเข้าตีเมืองชุมพร
เจ้าเมืองกรมการเมืองมีไพร่พลน้อยเห็นจะต่อรบไม่ได้จึงเทครัวหนีเข้าป่า
ทัพพม่าเข้าเมืองได้ เผาเมืองชุมพรเสีย กองทัพพม่าก็ล่องออกไปตีเมืองไชยา
แม่ทัพใหญ่ยังตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชุมพร
ครั้งนั้นทัพหลวงยังหายกทัพออกมาช่วยไม่ได้
ด้วยราชการศึกยังติดพันอยู่ทางเมืองกาญจนบุรี
เมื่อเจ้าเมืองกรมการเมืองได้ทราบข่าวเมืองชุมพรเสียแล้วก็มิได้สู้รบยกครัวหนีเข้าป่าไป
ทัพพม่าเข้าเผาเมืองไชยาแล้วก็ยกเลยไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
และยึดเมืองไว้เมื่อเสร็จศึกพม่าทางด้านเมืองกาญจนบุรีแล้ว
จึงมีพระราชดำรัสให้พระอนุชาธิราช สมเด็จพระนครราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพเรือ
พลรบพลแจวสองหมื่นเศษไปช่วยหัวเมืองปักษ์ใต้
เมื่อทัพเรือมาถึงเมืองชุมพรก็ยกพลขึ้นบกตั้งค่ายหลวง ณ เมืองชุมพร
จัดกองทัพใหญ่ไปตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา
กองทัพไทยกับกองทัพพม่าได้สู้รบกันใหญ่ทางเมืองไชยา
พม่าสู้ไม่ได้แตกหนีกระจัดกระจายไป
และการรบครั้งนี้พม่าถูกจับเป็นเชลยส่งมายังกรุงเทพฯ มากมาย
๒.
เมื่อพ.ศ.
๒๓๒๙ ปีมะเมีย อัฏฐศก
(จ.ศ.
๑๑๔๘)
ในรัชกาลที่ ๑ พม่ายกกองทัพเข้าไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ยกกองทัพไปต่อสู้กับพม่า ผ่านไปทางเมืองชุมพร
แล้วกองทัพไทยได้ตีกองทัพพม่าแตกหนีไปสิ้น
๓.
เมื่อ พ.ศ.
๒๓๓๖ ปีฉลู
(จ.ศ.
๑๑๕๕)
ในรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพไปตีเมืองมะริด
และมาตั้งทัพต่อเรือรบอยู่ริมทะเลหน้านอกเขตแขวงเมืองชุมพร
(เมืองระนอง)
เมื่อต่อเรือเสร็จแล้วได้ยาตราทัพตีเมืองมะริด
เมืองตะนาวศรี
มีชัยชนะจวนจะได้อยู่แล้วก็พอดีมีพระราชโองการให้นำกองทัพกลับกรุงเทพฯ
เสียก่อน
๔.
เมื่อพ.ศ.
๒๓๓๘ ปีเถาะ
(จ.ศ.
๑๑๕๗)
ในรัชการที่ ๑
พม่าข้าศึกได้ยกกองทัพเรือไป
ย่ำยีฝั่งทะเลตะวันตกและตีได้เมืองถลาง จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาพลภาพ
(บุนนาค)
เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือมาขึ้นบกที่เมืองชุมพร
เดินทัพทางบกไปยังเมืองถลาง ตีได้เมืองถลางคืน
กองทัพพม่าแตกหนีไปและจับพม่าเป็นเชลยมากมาย
๕.
เมื่อพ.ศ.
๒๓๕๒ ปีมะเส็ง เอกศก
(จ.ศ.
๑๑๗๑)
ในรัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าได้ให้อะเติ่งวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งเมืองทวายแล้วให้แยมองเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้คุเรียสาระภะยอคุมพลสามพันขึ้นที่เมืองระนองตีเมืองมะลิวัน
เมืองระนองและเมืองกระบุรี
คุเรียง
สาระกะยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ปากจั่นแขวงเมืองกระบุรีและเข้าเมืองชุมพรได้เมื่อวันเสาร์เดือนสิบสอง
ขึ้นสิบสองค่ำ
ยังไม่ทันที่จะตีต่อไปที่อื่นก็พอดีมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระอนุชาธิราชกรมพระราชวัง-บวรมหาเสนานุรักษ์เป็นจอมพลยกกองทัพไปสู้กับพม่า
กองทัพไทยได้ยกมาทางบกเมื่อมาถึงเมืองชุมพร
พม่ากำลังตั้งค่ายรักษาเมืองอยู่
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ให้พระยาจ่าแสนยากร
(บัว)
เข้าตีกองทัพพม่าที่เมืองชุมพร
พม่าต้านทานไม่ได้ก็แตกหนีไปกองทัพไทยได้เข้าฟันพม่าและตามจับได้ที่เมืองชุมพรและเมืองตะกั่วป่าเป็นอันมาก
กองทัพหลวงที่ยกมาคราวนี้ยังคงอยู่ในที่เมืองชุมพรเป็นเวลานานและได้ส่งกองทัพออกไปปราบปรามทำลายกองทัพพม่าจนหมดสิ้นจึงได้ยกกองทัพกลับกรุงเทพมหานคร
๖.
เมื่อ พ.ศ.
๒๓๖๗ ปีวอก
(จ.ศ.
๑๑๘๖)
ในรัชกาลที่ ๓ ไทยได้เข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อรบพม่า
จึงทรงให้จัดกองทัพให้พระยามหาโยธาคุมกองทัพหนึ่ง พระสุรเสนา พระยาพิพัฒน์โกษาทัพหนึ่งไปทางด่านเจดีย์สามองค์
และได้มีตราสั่งให้เกณฑ์กองทัพเมืองชุมพร
เมืองไชยา
โปรดเกล้าฯ
ให้
พระยาชุมพร
(ซุย)
คุมกองทัพเรือยกขึ้นไปทางเมืองมะริดและเมืองทวายอีกพวกหนึ่งเพื่อไปจัดทัพฟังข้อราชการว่าศึกจะผันแปรประการใด
ต่อมาพระยาชุมพรคุมเรือรบเก้าลำขึ้นไปจับพม่าถึงปากน้ำเมืองทวาย
ได้ครัวพม่า ๗๐ ครัวเศษ ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เวลานั้นอังกฤษตีได้เมืองทวาย
เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริด แล้วทรงดำริว่า
ลักษณะสงครามทางเมืองพม่าผันแปรไป
เดิมคิดว่าผู้คนพม่าจะเป็นข้าศึกต่อสู้กับไทยกลับไปเป็นข้าศึกพม่าอ่อนน้อมต่อไทยบ้างต่ออังกฤษบ้าง
จะเอากำลังไปกวาดต้อนครอบครัวในฐานะเป็นข้าศึกก็ไม่สมควรจึงจัดกองทัพไปสมทบอีกเพื่อฟังเหตุการณ์ต่อไป
เมื่อเดือนยี่ปีวอก พ.ศ.
๒๓๗๖ นายพันตรีปริม คุมทหารรักษาเมืองมะริด
ได้ทราบความว่ามีกองทัพเรือไทยไปเที่ยวต้อนจับคนในเมืองมะริด
จึงแต่งตั้งให้นายร้อยโทเครเวอ
คุมทหารลงเรือไปสืบความไปพบเรือไทยอยู่ห่างเมืองมะริดทางสัก ๓ ชั่วโมง
เป็นเรือขนาดใหญ่ มีกันเชียง ตีลำละ ๖๐ ถึง ๘๐ กรรเชียง อยู่ด้วยกันประมาณ
๓๐ ลำ นายร้อยโทเครเวอ
จึงให้ยกธงอังกฤษกับธงขาวขึ้นเป็นสัญญาณเรือรบไทยจึงยกธงตอบแล้วรออยู่
นายร้อยโทเครเวอ ไปพบนายทัพไทย คือ พระยาชุมพร(ซุย)
จึงบอกว่าอังกฤษตีเมืองมะริดได้แล้ว
ขอให้ปล่อยพวกเมืองมะริดที่จับมา นายทัพไทยชี้แจงว่าไม่ทราบว่าอังกฤษตีได้
รับว่าพรุ่งนี้จะปล่อยเชลย ๔๐๐ คนที่จับได้มา
แต่ต้องขอหนังสือสำคัญของเจ้าเมืองมะริดเพื่อจะบอกไปทางกรุงเทพฯ อยู่ต่อมา
๓ วัน กองทัพไทยได้ส่งเชลยให้ ๙๐ คนคืนนั้น เรือรบไทยก็ออกจากเมืองมะริดหมด
อังกฤษติดตามพบเรือรบไทยหลงอยู่ ๖ ลำ จึงจับเรือและคนรวม ๑๔๕ คน
มีพระเทพชัยบุรินทร์ เจ้าเมืองท่าแซะเป็นหัวหน้าเอาไปไว้เมืองมะริด
ว่าถ้าคนไทยส่งเชลยเมืองมะริดคืนให้หมดเมื่อใดจึงจะปล่อย
อังกฤษได้ร้องเรียนไปกรุงเทพฯ
เพื่อทรงทราบเห็นว่าพระยาชุมพรละเมิดท้องตราที่ได้สั่งไปครั้งหลังจึงให้หาพระยาชุมพร
(ซุย)
เข้ามาถอดเสียจากตำแหน่งแล้วไว้ ณ กรุงเทพฯ
เพราะมีความผิดไปตีครัวชาวมะริดของอังกฤษ เขามาตามขอดี ๆ
ไม่ได้สู้รบกันก็แพ้เขา ทำให้เสียพระเกียรติยศต่อมาพระยาชุมพร
(ซุย)
ได้ถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ
๗.
เมื่อ ๘ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่ปากน้ำอำเภอเมืองชุมพร
เพื่อจะเดินทางไปยึดครองประเทศพม่าตามแผนการ
จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้นกับชาวเมืองชุมพร อันมียุวชนทหารตำรวจ ทหารบก
ข้าราชการพลเรือนและประชาชนผู้รักชาติ หลังจากสู้รบกันอยู่ ๕ ชั่วโมงเศษ
ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นได้ตกลงทำสัญญาร่วมรบกัน
จึงได้หยุดการสู้รบและกองทัพญี่ปุ่นก็ได้รับอนุญาตให้เดินทัพผ่านไปยังเมืองพม่าได้สะดวก
ในระหว่างสงครามคราวนี้เมืองชุมพรถูกทำลายโดยเครื่องบินของศัตรูญี่ปุ่นอย่างมาก
อาคารของทางราชการ เช่น สถานีตำรวจ อาคารต่าง ๆ
ของกรมรถไฟตลอดจนบ้านเรือนทรัพย์สินของราษฎร
ชีวิตของประชาชนสูญเสียเป็นอันมาก
เฉพาะการสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชุมพรมีหลายครั้ง
นับเป็นประวัติสำคัญอันหนึ่ง
เฉพาะหมู่บ้านและตำบลบางแห่งได้มีนามเนื่องมาจากสงครามในครั้งนั้นเล่ากันต่อมาควรจะกล่าวไว้บ้างคือ
ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ
ครั้งหนึ่งกองทัพพม่าได้เดินทัพผ่านมาทางตำบลดังกล่าวก็รอทัพไว้
จึงเรียกนามตำบลนี้ว่า
ตำบลทัพรอ
แต่ต่อ ๆ
มาได้เรียกเพี้ยนไปเป็นตำบลรับรอ อันเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอท่าแซะ
มาจนทุกวันนี้ ตำบลท่าแซะ หมู่ที่ ๗
เรียกบ้านหนองโคลนเดินเมื่อกองทัพพม่ายกมาเคยได้สู้รบกับกองทัพไทย ณ
ตรงนี้จนมากลายเป็นโคลน ชาวบ้านจึงเรียกว่าบ้านโคลน
ตำบลแหลมทราย หมู่ที่ ๑ อำเภอหลังสวน มีชื่อว่าบ้านทัพยอ
มีประวัติเล่ากันว่า เมื่อสมัยกองทัพพม่า ซึ่งมีคุเรียงสะระภะยอเป็นแม่ทัพในราว
พ.ศ.
๒๓๕๒
เมื่อตีเมืองชุมพรได้แล้วได้ยกกองทัพไปพักอยู่ที่เมืองหลังสวน
ภายหลังหมู่บ้านที่กองทัพพม่าตั้งอยู่ที่นี้ได้ชื่อว่า
บ้านคุเรียงสะระภะยอ
ต่อมาเรียกสั้นลงไปว่า
บ้านทัพยอ
มาจนทุกวันนี้
ในท้องที่อำเภอเมืองชุมพร หมู่ที่ ๒ ตำบลตากแดด
มีบ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านหัวครู ซึ่งขณะนี้ยังมีคูใหญ่เหลืออยู่เล่ากันว่า
เมื่อพม่าเข้าตีได้เมืองชุมพร และเผาเมืองชุมพรราวปี พ.ศ.
๒๓๐๗ ได้จับเชลยคนไทยได้ และกำลังจะเผาที่คูนี้
แต่ขณะนั้นบังเอิญฝนตกหนักจึงไม่สามารถเผาได้เชลยคนไทยจึงรอดตายและเมื่อฝนตกหนักกองทัพพม่าซึ่งได้ยกทัพมาเป็นส่วนมากใช้ม้าและพาหนะจึงเปียกฝนด้วย
หลังจากฝนหายแล้วพม่าจึงเอาม้าออกตากแดด ท้องที่ดังกล่าวแล้ว
จึงมาภายหลังเรียกว่า
ตำบลตากแดด
และที่คูนั้นเรียกว่าบ้านหัวคู มาจนทุกวันนี้ ในตำบลวังไผ่ หมู่ที่ ๘
มีที่แห่งหนึ่งเรียกว่า
หาดพม่าตาย
เล่ากันว่าเมื่อสมัยกองทัพพม่ายกกองทัพมาตีเมืองชุมพรได้มาพักแรมที่ตรงนี้
และได้ใช้ใบ
ตะลังตังช้าง
(เป็นใบไม้ที่คันและมีพิษ)
รองนอนเพราะไม่รู้ว่ามีพิษ เมื่อนอนเกิดคันและร้อน
จึงวิ่งลงไปแช่น้ำ จึงตายลงเป็นอันมากจึงขนาดนามว่าหาดพม่าตายมาจนทุกวันนี้
ประวัติคอคอดกระ
ความสำคัญเป็นพิเศษของชุมพรยังมีอีกประการหนึ่งซึ่งควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้คือ
คอคอด อยู่ระหว่างอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กับอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
เรียกกันว่า
คอคอดกระ
เป็นส่วนแคบที่สุดของแหลมมลายู
เคยเป็นทางผ่านสำหรับเดินตัดข้ามมาจากทะเลตะวันตกมาทะเลตะวันออกในสมัยโบราณ
ระยะทางตอนที่แคบประมาณ ๕๐ กิโลเมตร
เรื่องของคอคอดกระ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกรู้จักกันมานานแล้ว
และเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศสำหรับประเทศไทยเริ่มสนใจคอคอดกระในสมัยรัชกาลที่
๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏตามตำนานเมืองระนองตอนหนึ่งความว่า เมื่อปีชวด
พ.ศ.
๒๔๐๙ รัฐบาลมีข้อวิตกขึ้น
เนื่องด้วยในปัจจุบันฝรั่งเศสขุดคลองสุเอชในประเทศอียิปต์สำเร็จ
ฝรั่งเศสคิดหาที่ขุดคลองทำนองเดียวกันในประเทศอื่นต่อไป
จึงคิดจะขุดคลองจากเมืองกระบุรีออกมาเมืองชุมพร
เพื่อให้เป็นทางเรือจากยุโรปไปเมืองจีนโดยไม่ต้องอ้อมแหลมมลายูไปทางสิงคโปร์
และเรียกว่า
คลองตระ
ความคิดของฝรั่งเศสในเรื่องคลองตระนั้น เป็นเรื่องลืออื้อฉาว
แต่ยังไม่ปรากฏในทางราชการว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะสนับสนุนสักเพียงใด
แต่ฝ่ายไทยคิดเห็นว่า ถ้าฝรั่งเศสมีอำนาจถึงได้ขุดคลองตระในครั้งนั้น
คงจะมีผล ๒ อย่างคือ อาจถือโอกาสให้เสียดินแดนทางด้านแหลมมลายูประการหนึ่ง
และไทยต้องแสดงให้อังกฤษ
เชื่อว่าไทยมิได้สนับสนุนฝรั่งเศสในเรื่องการขุดคลองนั้น
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ อังกฤษได้เรียกร้องให้ไทย
ยอมรับข้อกำหนดบางประการที่ทำให้ทรัพย์สินสูญหายไปในระหว่างสงครามได้กลับคืนมาและป้องกันมิให้เกิดสงครามขึ้นในอนาคต
หรือที่เรียกกันว่า
ความตกลงสมบูรณ์ระหว่างรัฐบาลไทยฝ่ายหนึ่ง
กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรและ
รัฐบาลอินเดียฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทำกัน ณ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙
ข้อ ๗ มีความว่า รัฐบาลไทยจะไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทย
เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเห็นพ้องด้วยกัน
การเลือกสถานที่ขุดคลองตอนที่แคบที่สุดของแหลมมลายูตอนนี้มีเทือกเขาสูงกั้นทางเหนือมีภูเขาเตี้ยทางใต้จากเมืองชุมพรถึงปากน้ำปากจั่น
ที่เมืองกระ ลำน้ำตอนที่เมืองกระตื้น เรือยนต์
เรือกลไฟขนาดที่เดินในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเดินทางได้เมื่อน้ำขึ้น
และเป็นเช่นนี้ตลอดไปจนถึงตำบลทับหลี เรือขนาดเล็กเดินทางได้ทุกเวลา
จากทับหลีลงไป แม่น้ำกว้างออกไปเป็นลำดับ
เรือกลไฟต้องเดินตามลำน้ำปากจั่นประมาณ ๑๐ ชั่วโมง
ไปออกทะเลที่หน้าเมืองระนอง
อังกฤษถือลำน้ำปากจั่นเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ
(หรือพม่า)
ถ้าจะขุดคลองต้องอาศัยน้ำปากจั่นเป็นทางเดินขึ้นไปจนถึงเมืองกระแล้วจึงขุดคลองที่ช่องเขาข้ามมาชุมพร
และจำเป็นต้องขุดลำน้ำปากจั่นให้ลึกและกว้างจนเรือกำปั่นใหญ่เดินได้
การขุดลำน้ำปากจั่นจำต้องขุดในดินแดนของอังกฤษด้วย
เพราะแนวศูนย์กลางอยู่กลางลำน้ำปากจั่น
ถ้าอังกฤษไม่ยอมให้ขุดก็เป็นอันขุดคลองกระไม่ได้
ถ้าไม่ขุดที่คลองกระจะเลื่อนลงไปขุดด้านใต้
เช่นที่เมืองระนองก็เป็นเทือกเขาสูงทั้งนั้น เพราะความขัดข้องมีอยู่เช่นนี้
ฝรั่งเศสซึ่งมีความปรารถนาจะขุดคลองกระครั้งหนึ่งจึงได้เลิกความพยายามแต่หากได้กล่าวแก้ว่าจะต้องตัดเทือกเขายากนักจึงไม่ขุด
ที่มา
:
ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชุมพร.
กรุงเทพฯ
:
อมรินทร์การพิมพ์
,
๒๕๒๘.
|