ประวัติศาสตร์จังหวัดพัทลุง
ประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง
เมืองพัทลุงมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสืบต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์
โดยมีชุมชนเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาก่อนแล้วเกิดเป็นเมืองขึ้นทางฝั่งตะวันออกเรียกชื่อว่าเมืองสทิงพระ
มีอำนาจครอบคลุมรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒
ต่อมาถูกกองเรือพวกโจรสลัดรุกราน
จึงมีการย้ายศูนย์การปกครองไปอยู่บริเวณบางแก้ว ฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา
เรียกชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองพัทลุง
มีอำนาจครอบคลุมรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาแทนที่เมืองสทิงพระ
เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยมีเมืองสงขลาเป็นเมืองปากน้ำ
แต่เมืองพัทลุงก็มีฐานะเป็นเมืองบริวารของแคว้นนครศรีธรรมราชมาตลอด
แม้ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
แต่เมืองพัทลุงก็ยังตกเป็นเมืองบริวารของนครศรีธรรมราช
ต่อมาในสมัยระบบกินเมืองระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ถึงกลางพุทธศตวรรษ
ที่ ๒๕ ราชธานีได้รับผลประโยชน์เพียงน้อยนิด โดยเฉพาะในสมัยที่ตระกูล ณ
พัทลุง และตระกูลจันท-โรจวงศ์ปกครองเมือง
ราชธานีแทบจะแทรกมือเข้าไปไม่ถึงทั้งๆ
ที่แยกเมืองสงขลาออกจากเมืองพัทลุงไปนานแล้ว
ขณะเดียวกันมหาอำนาจตะวันตกก็คุกคามเข้ามารอบด้าน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงจัดตั้งรัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้นแล้วในกลางพุทธศตวรรษที่
๒๕
ก็ทรงเร่งรัดให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรีบจัดการปกครองหัวเมืองในแหลมมาลายูเสียใหม่
เพื่อ ดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี
ทำให้เมืองพัทลุงถูกรวมการปกครองเข้ามณฑลนครศรีธรรมราชในสมัยระบบเทศาภิบาล
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๗๖
รัฐบาลพยายามลดอำนาจและอิทธิพลของตระกูล ณ พัทลุง และตระกูลจันทโรจวงศ์ตลอดมาในสมัยระบบเทศาภิบาล
แต่แล้วเมื่อมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรครั้งแรกในสมัยระบบประชาธิปไตย
เชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง
กลับได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดพัทลุง
ปัจจุบันจังหวัดนี้กลับกลายเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดของภาคใต้
เพื่อเข้าใจถึงเรื่องราวดังกล่าวผู้เขียนจะแบ่งประวัติศาสตร์พัทลุงออกเป็น
๒ สมัย คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สันนิษฐานได้จากหลักฐานทางโบราณวัตถุคือ ขวานหินขัดสมัยหินใหม่ หรือชาวบ้าน
เรียกว่า ขวานฟ้าที่พบจำนวน ๕๐-๖๐ ชิ้น
ในเขตท้องที่อำเภอเมือง อำเภอเขาชัยสน และอำเภอ ปากพะยูน
จังหวัดพัทลุง ปรากฏว่าท้องที่เหล่านี้ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือประมาณ ๒,๕๐๐-๔,๐๐๐
ปี มาแล้ว
มีชุมชนเกิดขึ้นแล้ว โดยใช้ขวานหินขัดเป็นเครื่องมือสับตัด
สมัยประวัติศาสตร์
อายุตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันพอจะแบ่งได้เป็น
๔ สมัย คือ สมัยสร้างบ้านแปลงเมือง สมัยระบบกินเมือง สมัยระบบเทศาภิบาล
และสมัยระบบประชาธิปไตย
สมัยสร้างบ้านแปลงเมือง
ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๒๒๐ เมื่อบริเวณสันทรายขนาดใหญ่ กว้าง ๕๑๒
กิโลเมตร ยาว ๘๐
กิโลเมตรทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลาหรือบริเวณที่ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองเรียกว่า
แผ่นดินบก ซึ่งเป็นที่ดอน เป็นแผ่นดินเกิดใหม่ชายฝั่งทะเลหลวง
ทำให้ผู้คนอพยพจากบริเวณฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา
ไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพภูมิ-ประเทศบริเวณนี้มีความเหมาะสมหลายประการกล่าวคือ
เป็นสันดอนน้ำไม่ท่วม สามารถตั้งบ้านเรือนสร้างศาสนสถานได้สะดวกดี
มีที่ราบลุ่มกระจายอยู่ทั่วไปกับที่ดอนเป็นบริเวณกว้างขวางพอที่จะเพาะปลูกได้อย่างพอเพียง
ประกอบกับเป็นบริเวณอยู่ห่างไกลจากป่าและภูเขาใหญ่ ภูมิอากาศดี
ไม่ค่อยมีไข้ป่ารบกวน อีกประการหนึ่ง
สามารถติดต่อค้าขายทางทะเลกับเมืองอื่นที่อยู่ห่างไกลได้สะดวก
เพราะอยู่ติดกับทะเล
ชุมชนแถบแผ่นดินบกจึงเจริญเติบโตรวดเร็วกลายเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของแหลมมาลายูตอนเหนือไปในที่สุด
ศูนย์กลางที่ตั้งเมืองอยู่บริเวณสทิงพระ เรียกชื่อเมืองว่าสทิงพระ
มีอำนาจครอบคลุมชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นชุมชนนับถือศาสนาฮินดู
มีฐานะเป็นหัวเมืองขึ้นของบรรดารัฐต่างๆ
ที่เข้มแข็งและมีนโยบายจะควบคุมเส้นทางการค้าที่ผ่านทางคาบสมุทรมาลายูมาตลอดเวลา
เช่น รัฐฟูนันลังกาสุกะ ศรีวิชัย
ต่อมาไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเมื่อใดเมืองสทิงพระถูกกองทัพเรือ
จากอาณาจักรทะเลใต้ชวา สุมาตรายกมาทำลาย เมืองเสียหายยับเยิน
พลเมืองแตกกระจัดกระจายอพยพหนีภัยไปอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลากันมาก
เพราะตัวเมืองอยู่ใกล้ทะเลหลวง คือ ห่างเพียง ๑ กิโลเมตร
ทำให้ข้าศึกเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ทันรู้ตัว เมืองสทิงพระจึงอ่อนกำลังลงมาก
หลังจากนั้นพวกโจรสลัดยกมาปล้นสดมภ์ และในที่สุดก็สามารถยึดเมืองได้
ทำให้มีการย้ายศูนย์การปกครองไปอยู่ทางฝั่งตะวันตก
โดยย้ายไปอยู่บริเวณบางแก้ว หรือปัจจุบันเรียกว่า โคกเมือง
อยู่ในอำเภอเขาชัยสน ซึ่งเป็นชุมชนอยู่ก่อนแล้ว
และชื่อเมืองพัทลุงน่าจะเกิดขึ้นในยุคนี้
คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙มีอำนาจครอบคลุมชุมชนรอบทะเลสาบสงขลาแทนเมืองสทิงพระ
ชาวเมืองนับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนมาก
ในขณะเดียวกันแคว้นตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช
ซึ่งมีศูนย์อำนาจอยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
และมีกำเนิดมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘สามารถขยายอำนาจเข้ามาปกครองดินแดนทั้งแหลมมาลายู
โดยปกครองดินแดนในรูปของเมืองสิบสองนักษัตร
ทำให้เมืองพัทลุงต้องกลายเป็นเมืองบริวารของนครศรีธรรมราช
ดังปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชว่า
เมืองพัทลุงเป็นเมืองหนึ่งในเมืองสิบสองนักษัตรของนครศรีธรรมราช
ใช้ตรางูเล็กเป็นตราของเมืองและในตำนานนางเลือดขาวตำนานเมืองพัทลุงก็กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชของนครศรีธรรมราชด้วย
ดังข้อความในหนังสือเอกสารประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง ซึ่งแต่งเมื่อ พ.ศ.
๒๒๗๒ รัชสมัยสมเด็จพระภูมินทรราชา (ขุนหลวงท้ายสระ)
แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนหนึ่งว่า
นางและเจ้าพระยา (คือนางเลือดขาวและกุมารผู้เป็นสามี)
กรีธาพลกลับหลังมายังสทังบางแก้วเล่าแล
กุมารก็เสียบดินดูจะสร้างเมือง
ก็มาถึงแขวงเมืองนครศรีธรรมราชและก็สร้างพระพุทธ-รูปเป็นหลายตำบลจะตั้งเมืองมิได้
เหตุน้ำนั้นเข้าหาพันธุ์สักบมิได้ ก็ให้มาตั้ง ณ เมืองนครศรีธรรมราช แลญังพระศพธาตุแลเจ้าพระญา
(แลเจ้าพระญา คือเจ้าพระญา)
ศรีธรรมโศกราช ลูกเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราชนั้น
เมืองพัทลุงมีความสัมพันธ์กับแคว้นนครศรีธรรมราชอย่างใกล้ชิด
เป็นเมืองพี่เมืองน้องกันเพราะแม้เมืองพัทลุงจะขึ้นกับแคว้นนครศรีธรรมราช
แต่มีลักษณะเป็นเมืองอิสระในทางการปกครองอยู่มาก
สังเกตจากสมุดเพลาตำรากล่าวว่า แต่เดิมนั้นเมืองพัทลุงเก่าครั้งมีชื่อว่า
เมืองสทิงพระ ทางฝ่ายอาณาจักรเจ้าเมืองมีฐานะเป็นเจ้าพญาหรือเจ้าพระยา ทางฝ่ายศาสนจักรเมืองพัทลุงมีฐานะเป็นเมืองพาราณสี
แสดงให้เห็นว่าเมืองพัทลุงเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มีบริวารมากศูนย์กลางจึงมีฐานะเป็นกรุง
คือกรุงสทิงพระคล้ายกับเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งทีเดียว
และมีความสำคัญทางพุทธศาสนามาก เปรียบได้กับเมืองพาราณสี (ชื่อกรุงที่เป็นราชธานีของแคว้นกาศีของอินเดีย)
ส่วนแคว้นนครศรีธรรมราชเปรียบประดุจเป็นเมืองปาฏลีบุตร
(เป็นเมืองหลวงแคว้นมคธ)
ฉะนั้นแคว้นนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุงคงจะเคยเป็นเมืองศูนย์กลางทางพุทธศาสนาเก่าแก่แห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับเมืองพัทลุงนั้นติดต่อกับหัวเมืองมอญและลังกามานานไม่ต่ำกว่า พ.ศ.
๑๘๐๐ เป็นต้นมาแล้ว
พระสงค์คณะลังกาป่าแก้วจึงเจริญมากในบริเวณนี้ วัดสำคัญ ๆ ไม่ว่าวัดสทัง
วัดเขียน วัดสทิงพระ วัดพระโค ล้วนขึ้นกับคณะลังกาป่าแก้วทั้งสิ้น
ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ขณะที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัยเพิ่งเริ่มรุ่งเรืองขึ้น
ทางแคว้นนครศรีธรรมราชยังคงมีอำนาจแผ่ไปทั่วแหลมมาลายู
ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุจีนว่า
จักรพรรดิของจีนเคยส่งทูตมาขอร้องอย่าให้สยาม (นครศรีธรรมราช)
รุกรานหรือรังแกมาลายู เลยเมืองพัทลุงจึงคงจะยังขึ้นกับแค้วนนครศรีธรรมราชต่อมาอีกกว่าศตวรรษเพราะในปลายพุทธศตวรรษที่
๑๙ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง)
ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมานั้น
อาณาเขตของอยุธยายังแคบมาก กล่าวคือ ทิศเหนือจดชัยนาท
ทิศตะวันออกจดจันทบุรี ทิศตะวันตกจดตะนาวศรีและทิศใต้จดแค่นครศรีธรรมราชเพิ่งปรากฏหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในปลายพุทธศตวรรษที่
๒๐ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงดึงอำนาจทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางคือ
เมืองหลวงทรงจัดระบบสังคมเป็นรูประบบศักดินา
ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองหัวเมือง
ทรงประกาศใช้พระอัยการตำแหน่งนายทหารหัวเมืองใน พ.ศ.
๑๙๙๘ มีผลกระทบต่อเมืองพัทลุง และแคว้นนครศรีธรรมราช คือ
แคว้นนครศรีธรรมราชถูกลดฐานะลงเป็นหัวเมืองชั้นเอกขึ้นตรงต่ออยุธยา
ส่วนเมืองพัทลุงมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรีขึ้นตรงต่ออยุธยาเช่นกัน
เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์ เป็นพระยา ถือศักดินา ๕๐๐๐
สมัยระบบกินเมือง
ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่
๒๐ (พ.ศ.
๑๙๙๘) ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕
(พ.ศ.
๒๔๓๙)
ระบบกินเมือง หมายถึงระบบที่เจ้าเมืองมีอำนาจเก็บภาษี
ใช้ไพร่ และเก็บเงินค่าราชการจากไพร่ ทั้งมีสิทธิ์ลงโทษราษฎรตามใจชอบ
เจ้าเมืองและกรมการมักเป็นญาติกัน
ราชธานีมิได้มีสิทธิ์แต่งตั้งเจ้าเมืองตามทฤษฎีที่กำหนดไว้
เพราะเจ้าเมืองเหล่านี้มีอยู่แล้ว,
ราชธานีเป็นเพียงยอมรับอำนาจเจ้าเมือง ส่วนกรมการเมือง
ราชธานีก็จะต้องแต่งตั้งตามข้อเสนอของเจ้าเมือง เพื่อป้องกันเหตุร้าย
การปกครองดังกล่าวทำให้ราชธานีพยายามจะลดอำนาจเจ้าเมืองพัทลุง
และเข้าไปมีอำนาจเหนือเมืองพัทลุงตลอดมา โดยในระยะต้นของสมัยระบบกินเมือง
อาศัยพุทธศาสนา กล่าวคือ สนับสนุนการก่อตั้งพระพุทธศาสนา
ดึงกำลังคนจากอำนาจของเจ้าเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชไปขึ้นกับวัด พระ
และเพิ่มชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์อยุธยาในฐานะผู้ทรงอุปถัมภ์ศาสนา
เช่นกรณีภิกษุอินทร์รวบรวมนักบวชราว ๕๐๐
คนขับไล่พม่าที่มาล้อมกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักร-
พรรดิ (พ.ศ.
๒๐๙๑ - ๒๑๑๑)
โดยใช้เวทมนตร์
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงโปรดปรานมากจึงพระราชทานยศให้เป็นพระครูอินทโมฬีคณะลังกาป่าแก้ว
(กาแก้ว) เมืองพัทลุง
ควบคุมวัดทั้งในเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชถึง ๒๙๘ วัด ทั้งทรงกัลปนาวัด
คือกำหนดเขตที่ดินและแรงงานมาขึ้นวัดเขียนและวัดสทังที่พระครูอินทโมฬีบูรณะด้วย
หรือกรณีอุชงคตนะโจรสลัดมาเลย์เข้ามาปล้นโจมตีเมืองพัทลุงเสียหายยับเยิน
เมื่อประ-
มาณ
พ.ศ. ๒๑๔๑ -
๒๑๔๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ออกเมืองคำเจ้าเมืองหนีเอา ตัวรอด
ราษฎรส่วนหนึ่งต้องอพยพหนีไปอยู่ต่างเมือง
อีกส่วนหนึ่งถูกพวกโจรกวาดต้อนไปวัดวาอารามก็ถูกเผา
ทางราชธานีอ้างว่าศึกเหลือกำลัง
จึงมิได้เอาผิดที่เจ้าเมืองทิ้งเมืองและกลับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองต่อไป
แต่ก็มีการกัลปนาวัดในเมืองพัทลุงอีกครั้งใน
พ.ศ. ๒๑๕๓
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการกัลปนาวัดจะทำให้อำนาจของเจ้าเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราชลดน้อยลง
เพราะเจ้าเมืองมีอำนาจควบคุมไพร่พลโดยตรงเฉพาะในบริเวณที่อยู่นอกเขตกัลปนาเท่านั้น
แต่ก็ทำให้มีอำนาจของฝ่ายฆราวาสกับพระสงฆ์สมดุลมากขึ้น
มีผลให้เมืองพัทลุงกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยชุมชนใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่าน
ติดต่อกับเมืองต่างๆ และรับอารยธรรมจากอินเดีย ลังกา
ส่วนทางฝั่งตะวันออกทำหน้าที่เป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเล
จนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองไทย เช่น
เอกสารของฮอลันดาบันทึกไว้ เมื่อ พ.ศ.
๒๑๕๕
ว่าอังกฤษและฮอลันดาพยายามแข่งขันกันเข้าผูกขาดชื้อพริกไทยจากเมืองพัทลุงและเมืองในบริเวณใกล้เคียง
ใน พ.ศ. ๒๑๖๓ เวนแฮสเซลพ่อค้าฮอลันดาแนะนำว่า
ฮอลันดาควรจะจัดส่งเครื่องราชบรรณาการเจ้าเมืองลิกอร์ (นครศรีธรรมราช)
เจ้าเมืองบูร์เดลอง (พัทลุง)
และเจ้าเมืองแซงกอรา (สงขลา)
เพื่อเอาใจเมืองเหล่านั้นไว้
เพราะสัมพันธ์ภาพกับเจ้าเมืองเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมากความรุ่งเรืองทางการค้านี้ประกอบกับสงครามไทยพม่า
ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ และการแย่งชิงอำนาจในราชธานีในปลายพุทธศตวรรษที่
๒๒ ทำให้อำนาจของอยุธยาที่มีต่อหัวเมืองมาลายูอ่อนแอลง เช่น
เจ้าเมืองปัตตานี นครศรีธรรมราชสงขลาและพัทลุงประกาศไม่ยอมรับการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของอยุธยา
ขณะเดียวกันทางมาเลย์กลับมีกำลังแข็งขึ้นพวกมุสลิมจึงเป็นเจ้าเมืองในแถบหัวเมืองมาลายูมากขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่
๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ อาทิ พระยารามเดโชเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ตาตุมะระหุ่มที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตระกูล ณ พัทลุง
อาจจะเป็นทั้งเจ้าเมืองพัทลุงและสงขลา
ทางอยุธยาพยายามดึงหัวเมืองดังกล่าวให้ใกล้ชิดกับอยุธยามากขึ้น
โดยใช้นโยบายให้คนไทยไปปกครอง
และสนับสนุนอุปถัมภ์ตระกูลของคนไทยที่มีผลประโยชน์ในการปกครองหัวเมืองแหลมมาลายู
บางครั้งใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
แต่ดูเหมือนนโยบายนี้จะไม่ได้ผลมากนักในเมืองพัทลุง
เพราะในปลายพุทธศตวรรษที่
๒๓ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เจ้าเมืองที่เป็นเชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง
ยังคงเป็นเจ้าเมืองพัทลุงที่นับถือศาสนาอิสลามสืบมาจนเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าใน
พ.ศ. ๒๓๑๐
เมื่อทางราชธานีเกิดการจราจล
ขาดกษัตริย์ปกครอง พวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างตั้งตัวเป็นอิสระ
ทางหัวเมืองมาลายูพระปลัดหนูผู้รักษาราชการเมืองนครศรีธรรมราชตั้งตัวเป็นอิสระ
เรียกว่าชุมชนเจ้านคร ปกครองหัวเมืองแหลมมาลายูทั้งหมด
และดูเหมือนว่าบรรดาหัวเมืองอื่นๆ ก็ยอมรับอำนาจของเจ้านคร (หนู)
แต่โดยดี เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้านคร (หนู)
ต้องใช้กำลังเข้าบังคับปราบปรามเมืองหนึ่งเมืองใดเลย แต่ใน
พ.ศ. ๒๓๑๓
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบปรามเจ้านคร (หนู)
ได้สำเร็จแล้วก็โปรดเกล้าให้เจ้านราสุริวงศ์พระญาติปกครองเมืองนครศรีธรรมราช
และให้รับผิดชอบในการดูแลหัวเมืองแหลมมาลายูแทนราชธานีด้วยทำให้เมืองพัทลุงกลับมาขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งในระหว่าง
พ.ศ. ๒๓๑๓๒๓๑๙
คือ ตลอดสมัยเจ้านราสุริวงศ์ โดยโปรดเกล้าฯ
ให้นายจันทร์มหาดเล็กมาเป็นเจ้าเมืองแทนเจ้าเมืองเชื้อสายตระกูล ณ พัทลุง
การกระทำดังกล่าวคงทำให้ตระกูล ณ พัทลุง ต่อต้านเจ้าเมืองพัทลุงคนใหม่
เพราะในพงศาวดารเมืองพัทลุง ซึ่งเขียนโดยหลวงศรีวรวัตร(พิณ
จันทโรจวงศ์) เชื้อสายของตระกูล ณ พัทลุง กล่าวว่า
นายจันทร์มหาดเล็กเจ้าเมืองพัทลุงคนใหม่นั้นว่าราชการอยู่ได้เพียง ๓
ปีก็ถูกถอดออกจาก ราชการและตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงตกเป็นของตระกูล ณ
พัทลุง อีกใน พ.ศ. ๒๓๑๕
และในปีนี้เองพระ-ยาพัทลุง (ขุนหรือคางเหล็ก)
ตระกูล ณ พัทลุงได้เปลี่ยนท่าทีใหม่คือ
เปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาพุทธ
คงจะเนื่องมาจากพระยาพัทลุง (คางเหล็ก)
ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเลื่อมใส
ในพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลชักชวนให้คนไทยเกิดความเลื่อมใสในศาสนานั้นปรากฏหลักฐานว่าในที่สุดถึงกับทรงออกประกาศห้ามอย่างเฉียบขาด
ใน พ.ศ. ๒๓๑๗
ดังความตอนหนึ่งว่า
ประกาศของไทย
ลงวันที่ ๑๓ เดือนตุลาคม ค.ศ
๑๖๖๔ (พ.ศ.
๒๓๑๗)
ห้ามมิให้ไทยและมอญเข้ารีตและนับถือศาสนาพระมะหะหมัด
มองเซนเยอร์เลอบองเป็นผู้แปล
ด้วยพวกเข้ารีตและพวกถือศาสนามะหะหมัดเป็นคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาเป็นคนที่ไม่มีกฎหมาย
และไม่ประพฤติตามพระพุทธวจนะ
ถ้าพวกไทยซึ่งเป็นคนพื้นเมืองนี้ตั้งแต่กำเนิดไม่นับถือและไม่ประพฤติตามพระพุทธศาสนาถึงกับลืมชาติกำเนิดตัว
ถ้าไทยไปประพฤติและปฏิบัติตามลัทธิของพวกเข้ารีตและพระมะหะหมัดก็จะตกอยู่ในฐานความผิดอย่างร้ายกาจ
เพราะฉะนั้นเป็นอันเห็นได้เที่ยงแท้ว่าถ้าคนจำพวกนี้ตายไป
ก็จะต้องตกนรกอเวจี ถ้าจะปล่อยให้คนพวกนี้ทำตามชอบใจ ถ้าไม่เหนี่ยวรั้งไว้
ถ้าไม่ห้ามไว้ พวกนี้ก็จะทำให้วุ่นขึ้นทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว
จนที่สุดพระพุทธศาสนาก็เสื่อมทรามไปด้วย
เพราะเหตุฉะนี้จึงห้ามขาดมิไห้ไทยและมอญ
ไม่ว่าผู้ชายหรือหญิงเด็กหรือผู้ใหญ่ได้เข้าไปในพิธีของพวกมะหะหมัดหรือพวกเข้ารีต
ถ้าผู้ใดมีใจดื้อแข็ง เจตนาไม่ได้มืดมัวไปด้วยกิเลสต่างๆ
จะฝ่าฝืนต่อประกาศนี้
ขืนไปเข้าในพิธีของพวกมะหะหมัดและพวกเข้ารีตแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว
ให้เป็นหน้าที่ของสังฆราชหรือบาทหลวงมิชชันนารี หรือบุคคลที่เป็นคริสเตียน
หรือมะหะหมัดจะต้องคอยห้ามปรามมิให้คนเหล่านั้นได้เข้าไปในพิธีของพวกคริสเตียน
และพวกมะหะหมัดให้เจ้าพนักงานจับกุมคนไทยและมอญที่ไปเข้าพิธีเข้ารีตและมะหะหมัดดังว่ามานี้
ส่งให้ผู้พิพากษาชำระ และให้ผู้พิพากษาวางโทษถึงประหารชีวิต
จริงอยู่แม้ว่าพระยาพัทลุง
(คางเหล็ก)
จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธก่อนการออกประกาศดังกล่าว
แต่พระราชประสงค์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชลักษณะนี้คงจะเป็นสิ่งที่เข้าใจกันดีในหมู่ขุนนางก่อนที่จะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการพระยาพัทลุง
(คางเหล็ก)
จึงต้องเปลี่ยนศาสนา มิใช่เกิดจากความศรัทธาในพุทธศาสนา
เพราะเชื้อสายตระกูล ณ พัทลุง ผู้หนึ่งเป็นเจ้าเมืองใน พ.ศ.
๒๓๓๔ - ๒๓๖๐
ยังไม่ยอมให้นำเนื้อหมูเข้ามาในบ้านของท่านแสดงว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว)
ยังนับถือศาสนาอิสลาม เพิ่งจะมีการนับถือพุทธศาสนากันจริงๆ
ในชั้นหลานของพระยาพัทลุง (คางเหล็ก)
การเปลี่ยนศาสนาของพระยาพัทลุง (คางเหล็ก)
ดูเหมือนจะไม่ได้ผลทางการเมืองมากนัก เพราะตระกูล ณ พัทลุง
ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากราชธานี
อำนาจและอิทธิพลของเมืองพัทลุงลดลงเรื่อยๆ กล่าวคือ ใน พ.ศ.
๒๓๑๘
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสนับสนุนจีนเหยียงหรือหลวง
สุวรรณคีรีคนกลุ่มใหม่และต้นตระกูล ณ สงขลา เป็นเจ้าเมืองสงขลาทั้งยกเมืองสงขลาเมืองปากน้ำของเมืองพัทลุงไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อเจ้านราสุริวงศ์ถึงแก่นิราลัยในปีรุ่งขึ้น
ทางราชธานีให้ยกเมืองพัทลุงไปขึ้นตรงต่อราชธานีดังเดิมและสืบไปตลอดสมัยระบบกินเมือง
และแม้ว่าพระยา-พัทลุง (คางเหล็ก)
จะส่งบุตรธิดาหลายคนไปถวายตัว
ทั้งมีความดีความชอบในการทำสงครามกับพม่าใน พ.ศ.
๒๓๒๘ และกับปัตตานีในปีถัดมา แต่เมื่อพระยาพัทลุง (คางเหล็ก)
ถึงแก่อนิจกรรม ใน พ.ศ.
๒๓๓๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกลับโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไกร-ลาศคนของราชธานีมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงแทนตระกูล
ณ พัทลุงอีก
๒ ปีต่อมายังทรงเพิ่มบทบาทให้เมืองสงขลาเข้มแข็งมากขึ้น
โดยให้ทำหน้าที่ดูแลหัวเมืองประเทศราชมลายูและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ขณะที่ทางราชธานียอมให้ตระกูล ณ พัทลุง (พระยาพัทลุงทองขาว)
กลับมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงอีก แต่ก็ส่งนายจุ้ยตระกูลจันทโรจวงศ์
และบุตรของเจ้าพระยาสรินทราชา (จันทร์)ซึ่งเกี่ยวดองกับตระกูล
ณ นคร เข้ามาเป็นกรมการเมืองพัทลุง
เพื่อคานอำนาจของตระกูล
ณ พัทลุง ในที่สุดในระหว่าง พ.ศ.
๒๓๕๔๒๓๘๒ เมื่อเจ้าพระยานคร
(น้อย)
ปกครองเมืองนครศรีธรรมราชหัวเมืองแหลมมาลายูต้องตกอยู่ในอำนาจของตระกูล ณ
นคร ทางราชธานีแต่งตั้งให้พระเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่)
บุตรชายคนโตของเจ้าพระยานคร (น้อย)
มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงแทนตระกูล ณ พัทลุง (พระยาพัทลุงเผือก)
ในระหว่าง พ.ศ.
๒๓๖๙ - ๒๓๘๒ขณะเดียวกันตระกูล
ณ สงขลา ก็พยายามสร้างอิทธิพลในเมืองพัทลุง โดยพระยาสงขลาเถี้ยนเส้งและบุญสังข์ต่างก็แต่งงานกับคนในตระกูล
ณ พัทลุงทั้งคู่
ศาสตราจารย์เวลาอดีตผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำมหาวิทยาลัยฮาวายตั้งข้อสังเกตว่า
การถึงอสัญกรรมของเจ้าพระยานคร (น้อย)
ใน พ.ศ.
๒๓๘๒ ทำให้ราชธานีได้โอกาสจำกัดอำนาจของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชลงบ้าง
เช่น เรียกตัวพระยาไทรบุรี (แสง)
และพระเสนานุชิต (นุด)
ปลัดเมืองไทรบุรีบุตรของเจ้าพระยานคร (น้อย)
กลับสนับสนุนให้ตระกูล ณ ระนอง
ซึ่งเพิ่งรุ่งเรืองจากการทำเหมืองแร่ดีบุกและค้าฝิ่นทางฝั่งทะเลตะวันตก
(ทะเลหน้านอก)
ของแหลมมลายูขยายอำนาจเข้ามาทางฝั่งตะวันออกในเขตเมืองชุมพรและไชยา
สำหรับที่เมืองพัทลุงนั้น
ทางราชธานีเรียกตัวพระเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่)
กลับแล้วแต่งตั้งพระปลัด (จุ้ย
จันทโรจวงศ์) เป็นพระยาอภัยบริรักษ์ จักรวิชิตพิพิธภักดีพิริยพาหะเจ้าเมืองพัทลุงแทน
และให้ตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุงเป็นกรมการเมือง
เพราะพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย)
ผู้นี้นอกจากจะมีความดีความชอบในการปราบกบฏเมืองไทรบุรี ใน
พ.ศ. ๒๓๗๓ และ พ.ศ
๒๓๘๑ อย่างแข็งขันแล้ว
ประการสำคัญคือยังเกี่ยวดองกับขุนนางตระกูลบุนนาคที่มีอำนาจสูงยิ่งในขณะนั้นและบังคับบัญชาหัวเมืองแหลมมาลายูในตำแหน่งพระกลาโหมมาเป็นเวลายาวนานด้วย
แต่ในที่สุดตระกูลจันทโรจวงศ์กับตระกูล ณ
พัทลุงกลายเป็นเหมือนตระกูลเดียวกัน
และสามารถปกครองเมืองพัทลุงสืบต่อไปตลอดสมัยระบบกินเมือง
คงเป็นเพราะพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย)
ไม่มีบุตร
จึงรับนายน้อยหลานมาเป็นบุตรบุญธรรมแล้วสร้างความสัมพันธ์กับตระกูล ณ
พัทลุงโดยใช้การแต่งงาน
การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจันทโรจวงศ์กับตระกูล ณ พัทลุง
โดยใช้การแต่งงานนั้นทำให้อำนาจของกลุ่มผู้ปกครองเมืองพัทลุงกระชับยิ่งขึ้น
มีการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างจริงจัง จนราชธานีแทบจะแทรกมือเข้าไปไม่ถึง
โดยเฉพาะในตอนปลายสมัยระบบกินเมือง เช่น ในสมัยพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร
จันทโรจวงศ์) เป็นเจ้าเมือง ใน พ.ศ.
๒๔๓๗ พระสฤษดิ์พจนกรณ์ข้าราชการชั้น
ผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยออกไปตรวจราชการแล้วมีความเห็นว่า
เมืองพัทลุงเป็นเมืองเล็ก
แต่กรมการเมืองมีอำนาจมากเกินผลประโยชน์และมีอำนาจชนิด
.ที่ไม่มีกำหนดว่าเพียงใดชัด
แต่เป็นอำนาจที่มีเหนือราษฏรอย่างสูงเจียนจะว่าได้ว่าทำอย่างใดกับราษฎรก็แทบจะทำได้
.ส่วนด้านผลประโยชน์เจ้าเมืองและกรมการแบ่งกันเองเป็น
๓ ตอน คือ
ตอนที่ ๑ พระยาวรวุฒิไวยวัฒลุงควิไสยอิศรศักดิพิทักษ์ราชกิจนริศศรภักดีพิริยะพาหะ
(น้อย) จางวาง
ซึ่งทำหน้าที่กำกับเมืองพัทลุง และพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร)
เจ้าเมืองสองคนพ่อลูกตระกูลจันทโรจวงศ์ได้ผลประโยชน์จากส่วยรายเฉลี่ย
ตอนที่ ๒
ยกกระบัตรในตระกูล ณ พัทลุง ได้ผลประโยชน์จากภาษีอากร
ตอนที่ ๓ กรมการผู้น้อย
เป็นกรมการของผู้ใดก็จะได้แบ่งปันผลประโยชน์จากทางนั้น
ผลประโยชน์หลักคือ การทำนา
เพราะเจ้าเมืองและกรมการมีที่นากว้างใหญ่ทุกคนขายข้าวได้ทีละ
มากๆ โดยไม่ต้องเสียค่านา
นอกจากนั้นยังมีการแบ่งปันผลประโยชน์จากคุกตะรางอีก
เพราะผู้ใดเป็นตุลาการชำระคดี
ผู้นั้นจะมีคุกตะรางสำหรับขังนักโทษในศาลของตน จึงมีคุกตะรางถึง ๖ แห่ง
โดยแบ่งเป็น ๒ ขนาด คือ ขนาดใหญ่ ๓ แห่ง เป็นของเจ้าเมือง หลวงเมือง
หลวงจ่ามหาดไทย และขนาดเล็ก อีก ๓ แห่ง
เจ้าเมืองจะเป็นผู้อนุญาตให้คนที่ชอบพอและไว้วางใจได้มีผลประโชยน์ที่จะได้จากการมีคุกตะรางของตัวเองคือ
ได้ค่าธรรมเนียม แรงงาน และมีอำนาจในการพิจารณาคดี
นักโทษของคุกตะรางใดเป็นดังเช่นทาส
ในเรือนนั้นทำให้กรมการเมืองอยากจะมีคุกตะรางเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ใดไม่มีคุกตะรางก็จะถูกมองว่าไม่เป็น ผู้ดี เป็นคนชั้นต่ำ
สำหรับราษฎร
นอกจากต้องเสียค่านาแล้ว
ยังถูกเกณฑ์แรงงานและสิ่งของทั้งของกินและของใช้อีก
โดยเฉลี่ยจะถูกเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้งต่อปี
ราษฎรมักต้องยอมเพราะเกรงกลัวเจ้าเมืองและขุนนางมาก โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม
สภาพดังกล่าวเป็นปัญหาที่ทางราชธานีเมืองหนักใจมากทั้งยังมีปัญหากับเมืองข้างเคียง
คือ กับเมืองสงขลาและนครศรีธรรมราชด้วย
เพราะกลุ่มผู้ปกครองของเมืองเหล่านี้มุ่งแต่จะรักษาผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว
จึงมักพบว่าเมื่อโจรผู้ร้ายทำโจรกรรมในเมืองสงขลาแล้วหลบหนีไปเมืองพัทลุง
เจ้าเมืองสงขลาขอให้เจ้าเมืองพัทลุงส่งตัวให้ผู้ร้ายไปให้
แต่เจ้าเมืองพัทลุงมักจะเพิกเฉยส่วนโจรผู้ร้ายที่ทำโจรกรรมในแขวงเมืองพัทลุงแล้วหนีเข้าอยู่ในแขวงเมืองสงขลา
เจ้าเมืองพัทลุงขอให้เจ้าเมืองสงขลาส่งตัวผู้ร้ายไปให้
เจ้าเมืองสงขลาก็มักจะเพิกเฉยเช่นกันหรือกับทางเมืองนครศรีธรรมราชก็เป็นทำนองเดียวกันกับทางเมืองสงขลา
พอจะกล่าวได้ว่าตลอดสมัยระบบกินเมือง
แม้ว่าราชธานีพยายามควบคุมเมืองพัทลุงแต่ก็ควบคุมได้แต่เพียงในนามเท่านั้น
เพราะความห่างไกลจากราชธานีทำให้ราชธานีดูแลไม่ทั่วถึงและไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับกิจการภายในของเมืองพัทลุงด้วยผลประโยชน์ของราชธานีจึงรั่วไหลไปมาก
ประกอบกับในตอนกลางรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ
ไม่ว่ามองไปทางทิศไหน เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมที่จะฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา
โดยเฉพาะทางหัวเมืองแหลมมาลายู อังกฤษถือโอกาสแทรกแชงเข้ามาในหัวเมืองประเทศราชมลายูของไทยและคุกคามหัวเมืองฝั่งตะวันตก
ส่วนบริเวณคอคอดกระตอนเหนือของแหลมมาลายูทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสคุกคามเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้าและขยายอิทธิพลทางการเมือง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิตกเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้นแล้ว ในปลายปี พ.ศ.
๒๔๓๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเร่งรัดให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทยรีดจัดการปกครองหัวเมืองในแหลมมลายูเสียใหม่เพื่อดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี
ทำให้เมืองพัทลุงถูกรวมการปกครองเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราชในพ.ศ.
๒๔๓๙ เนื่องจากกรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า
เมืองพัทลุง เป็นหัวเมืองบังคับยากเช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช
สงขลา และหัวเมืองประเทศราชมลายู
จึงทรงรวมหัวเมืองเหล่านี้เข้าเป็นมณฑลนครศรีธรรมราช
ให้ตั้งศูนย์การปกครองที่เมืองสงขลา โดยทรงมอบหมายให้พระยาสุขุมนัยวินิต
(ปั้น สุขุม)
เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล
สมัยระบบเทศาภิบาล
ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๓๙ - ๒๔๗๖
ช่วงนี้เมืองพัทลุงรวมอยู่ในการปกครองของมณฑล
นครศรีธรรมราช
สังกัดกระทรวงมหาดไทย รัฐบาลพยายามทำลายอำนาจและอิทธิพลของตระกูลจัน-ทโรจวงศ์
และตระกูล ณ พัทลุง เพื่อดึงอำนาจเข้าสู่พระราชวงศ์จักรี
การดึงอำนาจการปกครองหัวเมืองเข้าสู่พระราชวงศ์จักรีในกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
มีหลักการปกครองอยู่ว่า
อำนาจจะต้องเข้ามารวมอยู่ที่จุดเดียวกันหมดรัฐบาลกลางจะไม่ให้การบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นอยู่กันเพียง
๓ กระทรวงคือ กรมมหาดไทย กรมกลาโหม และกรมท่า
และจะไม่ยอมให้เจ้าเมืองต่างๆ
มีอำนาจอย่างที่เคยมีมาในสมัยระบบกินเมืองระบบการปกครองแบบใหม่นี้เรียกว่า
ระบบเทศาภิบาล
หลักต่างๆ
ของการปกครองตามระบบเทศาภิบาลที่ระบุไว้ในประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย
ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ.
๒๔๓๗)
ซึ่งรวมหัวเมืองทั้งหมดไว้ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย
ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.
๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐)
และในข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ.
๑๑๗ (พ.ศ.
๒๔๔๑)
ตามกฎหมายเหล่านี้ประเทศไทยเริ่มจัดส่วนราชการบริหารตามแบบใหม่
มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามลำดับของสายการบังคับบัญชาจากต่ำสุดไปจนถึงขั้นสูงสุดดังนี้
ชั้นที่ ๑
การปกครองหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครอง
ชั้นที่ ๒
การปกครองตำบล มีกำนันปกครอง
ชั้นที่ ๓
การปกครองอำเภอ มีนายอำเภอปกครอง
ชั้นที่ ๔
การปกครองเมือง มีผู้ว่าราชการเมืองปกครอง
ชั้นที่ ๕
การปกครองมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครอง
การวางสายการปกครองเป็นลำดับชั้นกล่าวนับเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเก่าใน
หัวเมืองไปเป็นอีกรูปหนึ่ง ราษฎรซึ่งไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียง
เคยเป็นเพียงบ่าวไพร่ก็ได้มีโอกาสเลือก ผู้ใหญ่บ้าน
กำนันขึ้นเป็นหัวหน้า
ซึ่งเท่ากับได้มีโอกาสเสนอความต้องการของตนเองให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการเมืองทราบ
ผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองหรือพวกพ้องที่เคยทำอะไรตามใจชอบก็กระทำไม่ได้เสียแล้ว
เพราะมีข้าหลวงเทศาภิบาลมาคอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล การกินเมือง
ซึ่งเคย กิน
จากภาษีทุกอย่างต้องกลับกลายเป็นเพียง กิน
เฉพาะเงินเดือนพระราชทานในฐานะ ข้าราชการ
เพราะรัฐบาลเริ่มเก็บภาษีเองและเมื่อนายอำเภอ ผู้ว่าราชการเมือง
และกรมการเมืองมีฐานะเป็นข้าราชการ ก็ต้องถูกย้ายไปตามที่ต่างๆ
ตามคำสั่งของรัฐบาล
ไม่ผักพันเป็นเจ้าเมืองเจ้าของชีวิตของชาวชนบทอยู่เพียงแห่งเดียวตามระบบเดิม
กำนันผู้ใหญ่จะได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ ได้ส่วนลดจากการเก็บค่านา ค่าน้ำ
ค่าราชการ
อนึ่งการปกครองในระบบเทศาภิบาล
รัฐบาลยังต้องการให้ราษฎรมีความผูกพันกับรัฐบาล
และมีความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติ
รัฐบาลใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ โดยมอบหมายให้จัดเป็นสถานศึกษา
เพราะจัดเป็นองค์กรที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ทั่วพระราชอาณาจักรโดยไม่ต้องเปลืองเงินทองของรัฐในการก่อสร้าง
และเป็นแหล่งจูงใจให้ราษฎรเข้ามาเรียนหนังสือได้และมอบหมายให้กรมหมื่นวชิรญานวโรรสพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงเป็นพระราชาคณะธรรมยุติกนิกายรับผิดชอบร่วมกับกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ
เพราะรัฐบาลถือว่าธรรม-ยุติกนิกายเป็นตัวแทนของรัฐฝ่ายสงฆ์ส่วนตัวแทนฝ่ายฆราวาสคือกระทรวงมหาดไทย
หรือกรมหมื่นดำรงราชานุภาพทั้งสองพระองค์จึงทรงกำหนดแบบแผนเดียวกันทั่วพระราชอาณาจักร
คือ ใช้หนังสือแบบเรียนเร็วเป็นตำราเรียน
และมีผู้อำนวยการสงฆ์เป็นผู้ตรวจตราและจัดการภายใต้การบังคับบัญชาของข้าหลวงเทศาภิบาล
ที่เมืองพัทลุง
พระยาสุขุมนัยวินิตข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชจัดการปก
ครองตามแบบแผนทุกระดับ
ที่สำคัญคือ ให้สร้างที่ว่าราชการเมืองขึ้น
เพื่อให้ผู้ช่วยราชการเมืองและกรมการไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ราชการให้เป็นสัดส่วน
ไม่ปะปนกับงานส่วนตัวเหมือนอย่างในสมัยระบบกินเมืองแต่การคัดเลือกบุคคลเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ
นั้น รัฐบาลใช้ปะปนกันทั้งคนเก่าและคนใหม่ตลาดสมัยระบบเทศาภิบาล
พอจะแบ่งได้เป็น ๒ ระยะ คือ
ระยะแรก ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๓๙-๒๔๕๒
รัฐบาลใช้วิธีประนีประนอม กล่าวคือ ในระยะ ๕-๖
ปีแรก ยอมให้เชื้อสายตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล ณ พัทลุง
ข้าราชการในระบบเก่ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้ผลประโยชน์ตามแบบเก่าบ้าง เช่น
ให้พระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร)
เจ้าเมืองเปลี่ยนฐานะเป็นผู้ช่วยราชการเมือง
แต่ก็ให้พระพิศาลสงคราม(สอน)
ผู้ช่วยราชการเมืองสิงห์บุรีเป็นผู้ช่วยราชการเมือง
รับผิดชอบแผนกสรรพากรหรือดูแลการเก็บเงินผลประโยชน์ของแผ่นดิน
เมื่อพระพิศาลถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.
๒๔๔๑ ก็จัดให้พระอาณาจักร์บริบาล (อ้น
ณ ถลาง) เครือญาติของตระกูลจันทโรจวงศ์มาแทน
คงเป็นเพราะรัฐบาลยังไม่มีเงินเดือนสำหรับข้าราชการประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง พระยา-สุขุมนัยวินิตจำต้องถนอมน้ำใจกลุ่มผู้ปกครองเดิม
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมาก และมีเงินมากแต่ใน
พ.ศ. ๒๔๔๖ เมื่อพระยาวรวุฒิไวยฯ
(น้อย)
จางวางซึ่งเป็นคนหัวเก่าถึงอนิจกรรมรัฐบาลก็ปลดพระยาอภัยบริรักษ์ฯ
(เนตร)
ผู้ว่าราชการเมืองลงเป็นจางวาง
หลังจากนี้รัฐบาลพยายามแต่งตั้งเชื้อสายและพวกพ้องของตระกูลเจ้าเมืองในแหลมมลายูในสมัยระบบกินเมืองมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพัทลุงแทนตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล
ณ พัทลุง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าราชการเมืองบ่อยครั้งในระยะตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๔๖ -๒๔๔๙
โดยผลัดเปลี่ยนเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ถึง ๔ คน
คือ พระสุรฤทธิ์ภักดี (คอยู่ตี่ ณ
ระนอง) บุตรชายพระยารัตนเศรษฐี (คอชิมก๊อง)
อดีตข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลชุมพรและหลานพระยารัษฎานุประดิษฐ์
(คอซิมปี๊)
ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต พระศิริธรรมบริรักษ์ (เย็น
สุวรรณปัทมะ)บุตรเขยของพระยาวิเชียรศรี (ชม
ณ สงขลา) พระแก้วโกรพ (หมี
ณ ถลาง) และพระกาญจนดิฐบดี (อวบ
ณ สงขลา) ตามลำดับ จนในที่สุดใน พ.ศ.
๒๔๕๒ พระกาญจนดิฐบดี (อวบ ณ สงขลา)
เป็นผู้ว่าราชการเมือง
โจรผู้ร้ายลักโคกระบือทั่วเขตเมืองพัทลุงจนทางราชการระงับไม่อยู่ ทั้งๆ
ที่เป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่ขณะทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
เสด็จประพาสเมืองพัทลุง พระกาญจนดิฐบดีถูกปลดออกจากราชการในปีนั้นเอง
ระยะหลัง ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๕๒ ๒๔๗๖
ดูเหมือนว่าเป็นระยะที่รัฐบาลใช้มาตรการค่อนข้างเด็ดขาดเพื่อลดอิทธิพลของตระกูลจันทโรจวงศ์และตระกูล
ณ พัทลุง ที่ยังหลงเหลืออยู่อีก
โดยจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองเช่น
หม่อมเจ้าประสบประสงค์พระโอรสองค์ใหญ่ในกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
พระวุฒิภาคภักดี (ช้าง ช้างเผือก)
เนติบัณฑิต หลวงวิชิตเสนี (หงวน
ศตะรัตน์) เนติบัณฑิต
ทำให้โจรผู้ร้ายกำเริบหนักจนดูราวกับว่าเมืองพัทลุงกลายเป็นอาณาจักรโจร
โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๔๖๖สมัยพระคณาศัยสุนทร
(สา สุวรรณสาร)
เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
มีขุนโจรหลายคนที่สำคัญ อาทิ นายรุ่ง ดอนทราย
เป็นหัวหน้าโจรได้รับฉายาว่า ขุนพัฒน์หรือขุนพัทลุง นายดำหัวแพร
เป็นรองหัวหน้า ได้รับฉายาว่า เจ้าฟ้าร่มเขียวหรือขุนอัสดงคต
ทางมณฑลต้องส่งนายพันตำรวจโทพระวิชัยประชาบาล (บุญโกย
เอโกบล) และคณะมาตั้งกองปราบปรามอยู่ตลอดปี
ทำให้การปล้นฆ่าสงบลงอีกวาระหนึ่ง แต่ปีถัดมารัฐบาลสั่งให้ย้ายศูนย์ปกครองจากตำบลลำปำมาตั้งที่บ้าน
วังเนียง ตำบลคูหาสวรรค์
อาจเป็นเพราะทางราชการเกิดความระแวงว่าตระกูลจันทโรจวงศ์
และตระกูล ณ พัทลุง
มีส่วนร่วมกับพวกโจรจึงต้องการทำลายอิทธิพลของสองตระกูลนั้นในเขตตำบลลำปำ
และสร้างศูนย์การปกครองแห่งใหม่ให้เป็นเขตของรัฐบาลอย่างแท้จริง
ประกอบกับในขณะนั้นรัฐบาลได้สร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านตำบลคูหาสวรรค์แล้วการคมนาคมระหว่างจังหวัดพัทลุงกับส่วนกลางและจังหวัดใกล้เคียงจึงสะดวกกว่าที่ตั้งเมืองที่ตำบลลำปำ
ประชาชนก็อพยพมาตั้งบ้านเรือนทำมาค้าขายมากขึ้น
สมัยระบบประชาธิปไตย
(ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๗๖-ปัจจุบัน)
เมื่อมีการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระ
มหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญใน พ.ศ.
๒๔๗๕ แล้ว รัฐบาลใหม่ประกาศใช้พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ ๒๔๗๖
ทำให้ระบบเทศาภิบาลถูกยกเลิกไป
ส่วนภูมิภาคมีอำนาจมากขึ้น
จังหวัดพัทลุงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในอาณาจักรไทย
ตามระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
๒๔๗๖ จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหาร
ราชการแผ่นดิน
มีผู้บริหารเป็นคณะเรียกว่า คณะกรมการจังหวัด
ประกอบด้วยข้าหลวงประจำจังหวัด ปลัดจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดโดยข้าหลวงประจำจังหวัดทำหน้าที่เป็นประธาน
แต่คณะกรมการจังหวัดจะต้องรับผิดชอบในราชการทั่วไปร่วมกัน
และกรมการแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อกระทรวงทบวงกรมที่ตนสังกัด
สำหรับอำเภอก็มีคณะบริหาร เรียกว่าคณะกรมการอำเภอ
ประกอบด้วย นายอำเภอปลัดอำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ
เป็นเจ้าหน้าที่ประจำอำเภอ โดยมีนายอำเภอเป็นประธาน
แต่คณะกรมการอำเภอจะต้องรับผิดชอบในราชการทั่วไปร่วมกัน
และกรมการแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อกระทรวง ทบวง กรม
ที่ตนสังกัด
ต่อมาใน พ.ศ.
๒๔๙๕
รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินโดยให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล
เนื่องจากจังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม
พ.ศ. ๒๔๗๖ ไม่เป็นนิติบุคคล
นอกจากนั้นอำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะกรมการจังหวัด
ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงบุคคลเดียวและฐานะของกรมการจังหวัดก็เช่นเดียวกัน
เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหาราชการแผ่นดินในจังหวัดก็ได้แก้ไขเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
จนกระทั่ง พ.ศ.
๒๕๑๕
ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ตามนัยประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕
โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด และอำเภอ จังหวัดนั้น
ได้รวมท้องที่หลายๆ อำเภอ ขึ้นเป็นจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การตั้ง ยุบ
และการเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด
ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินใน
จังหวัด
ซึ่งกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฉบับดังกล่าวนี้ได้บังคับใช้จนถึงปัจจุบันนี้
|