4 พระบรมธาตุ
4
พระบรมธาตุ
ตำนานที่มาโดยละเอียด
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อายุกว่าพันปี
พระธาตุลำปางหลวง
ลำปาง
โดย
สำนักงานนิตยสารเทียนชัย
ประวัติพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง (1)
เมืองลำปาง เขลางค์นครกับตำนานเจ้าเจ็ดตน
ดินแดงทางภาคเหนือที่เราเรียกว่าดินแดนล้านนาหรือโยนกนั้น
มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มีเจ้าเมืองปกครองต่าง ๆ มากหลายหัวเมือง
เช่น เชียงใหม่ เชียงราย เชียนแสน หริภุญชัย ลัมภะกัปปะนคร พละน่านเจ้า
ซึ่งต่างก็แย่งชิงความเป็นใหญ่ปกครองดินแดนทางล้านนาไทย
เจ้าแผ่นดินองค์ใดมีกำลังกล้าแข็งมีฝีมือมากก็ขยายดินแดนปกครองได้กว้างไกล
เมื่อใดเสื่อมอำนาจบ้านเมืองอ่อนแอก็ถูกเมืองอื่นที่มีกำลังกล้าแข็งกว่ายึดครอง
เป็นเช่นนี้มาตลอดทุกยุคทุกสมัย
จนถึงในระหว่าง พ.ศ. 2272-2275 ดินแดนในล้านนาไทยไม่เป็นปกติสุข
เกิดการจลาจลรบพุ่งแย่งชิงอำนาจกันอยู่ทั่วไป ต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร
ไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนดังสมัยก่อน เมืองเชียงแสน เชียงราย ตกอยู่ในอำนาจของพม่า
เมืองเชียงใหม่มีองค์ดำ (หรือเจ้าองค์นก)
เป็นเจ้าครองเมืองกำลังรบติดพันอยู่กับพม่าเมืองลำพูนมีท้าวมหายศครองเมือง
เมืองแพร่ เป็นน่านต่างก็มีเจ้าเมืองปกครองอยู่
ส่วนเมืองลำปางไม่มีเจ้าผู้ครองนครมีแต่ขุนเมือง 4 คน
ควบคุมอำนาจการปกครองเมืองอยู่แต่ไม่มีสิทธิ์ขาดเพราะต่างก็แก่งแย่งอำนาจกัน
บ้านเมืองระส่ำระสายไม่เป็นปกติสุข
จนกระทั่งมีภิกษุรูปหนึ่งทนเห็นความเดือดร้อนของประชานไม่ไหว
จึงลาสิกขาบทออกมาตั้งตัวเป็นใหญ่ ภิกษุรูปนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดนายาง
(วัดนายางอยู่อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) มีความเชี่ยวชาญทางไสยเวทวิทยาคม
ได้รับการยกย่องจากชาวเมืองมีผู้มาสมัครเป็นลูกศิษย์และบริวารเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งสมภารวัดสามเขากับสมภารวัดบ้านฟ่อน
ก็ลาสิกขาบทออกมาเป็นเสนาซ้ายขวาของสมภารวัดนายาง ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นมาอีกก๊กหนึ่ง
ซึ่งขุนเมืองทั้ง 4 ไม่สามารถปราบปรามได้
ต่อมาเมื่อท้าวมหายศเจ้าเมืองลำพูนทราบข่าว
จึงยกกองทัพเมืองลำพูนลงมาปราบก๊กของสมภารวัดนายางที่เมืองลำปาง
สมภารวัดนางยางก็พาสมัครพรรคพวกบริวารต่อสู้กับกองทัพเมืองลำพูนเป็นสามารถจนถึงขั้นตลุมบอน
ที่ตำบลป่าต้น กองทัพสมภารวัดนายางกำลังพลน้อยกว่าสู้กองทัพลำพูนไม่ได้
ก็แตกหนีมาอยู่ที่วิหารวัดพระธาตุลำปางหลวง
กองทัพลำพูนยกกำลังมาล้อมวัดพระธาตุลำปางหลวงไว้
ครั้นเวลาใกล้รุ่ง
สมภารวัดนายางกับเสนาซ้ายขวากับพวกก็หลบหนีจากที่ล้อมไปได้ พากันหนีลงทางใต้
กองทัพลำพูนไล่ติดตามมาทันกลางทางจึงเกิดการต่อสู้รบกันอีก
สมภารวัดนายางกับพวกเหลือแต่ไม้ค้อน (ตะพด) กับไม้เสา รั้วสวน
เป็นอาวุธเข้าต่อสู้กับกองทัพเมืองลำพูนเป็นสามารถ จนทัพลำพูนจวนจะแพ้อยู่แล้ว
บังเอิญสมภารวัดนายางถูกกระสุนของทัพลำพูนที่ระหว่างคิ้วล้มลง
เสนาซ้ายขวาเข้าช่วยประคองถูกกระสุนล้มลงทั้งคู่ เสนาวัดบ้านฟ่อนถูกกระสุนที่หางตา
เสนาวัดสามขาถูกที่หัวเข่า ถึงแก่มรณกรรมทั้งสามคน
ส่วนพลพรรคเมื่อเห็นหัวหน้าเป็นอันตรายต่างก็แตกพ่ายหลบหนีไป
ที่หนีไม่ทันก็ถูกทัพลำพูนฆ่าตายที่นั่น
เมื่อกองทัพลำพูนรบชนะแล้วก็ตั้งพักอยู่ในวัดพระธาตุลำปางหลวง
แล้วก็ให้พลพรรคไปเรียกเก็บเงินภาษี
บังคับเกณฑ์เอาข้าของเงินทองทรัพย์สินข้าวปลาอาหารไปบำรุงกองทัพ
เมื่อผู้ใดไม่ยินยอมขัดขวางไม่ยอมให้หรือไม่มีก็จับตัวมาลงโทษทารุณกรรมต่าง ๆ
บ้างก็ถึงแก่ชีวิต เป็นทุกขเวทนานัก
ผู้หญิงลูกสาวใครสวยงามก็ถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอ
ครั้งนั้นชาวเมืองลำปางได้รับความเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก
ท้าวมหายศเจ้าเมืองลำพูนคิดที่จะยึดเมืองลำปางขณะที่กองทัพมีความหึกเหิมเพราะชนะศึกมาใหม่
ๆ จึงคิดอุบายแต่งตั้งให้ นายทหารเอก คือ หาญฟ้าแมบ หาญฟ้าง้ำ หาญฟ้าฟื้น
ซ่อนอาวุธเข้าไปเจรจาความเมือง ต่อขุนเมืองทั้ง 4 ที่ครองเมืองลำปาง คือ
แสนหนังสือ แสนเทพ นายเรือน จเรน้อย และท้าวขุนทั้งหลายมาประชุมกันที่สนามว่าการ
ครั้นได้ทีก็พร้อมกันไล่ฟันแทง ขุนเมืองลำปางล้มตายลงหลายคน
กองทัพเมืองลำพูนก็ยกกำลังหนุนเข้ามาปล้นเอาเมืองลำปาง
ฆ่าฟันผู้คนจุดเพลิงเผาผลาญบ้านเมือง บ้านเรือนราษฎรเสียหายเป็นอันมาก
พวกขุนเมืองที่หนีเอาตัวรอด มีท้าวลิ้นก่านจเรน้อย
นายน้อยธรรมราษฎรชาวเมืองต่างแตกหนีกระจัด กระจายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ
ที่คิดว่าปลอดภัย คือ ประตูผา เมืองลอง เมืองตีม เมืองต้า เมืองเมาะ เมืองวาง
ทิ้งให้เมืองลำปางในครั้งนั้นเป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอาศัยเพราะต่างกลัวกองทัพเมืองลำพูน
ครั้นนั้นชาวลำปางต่างก็หาทางจะกอบกู้บ้านเมือง
เพียงแต่รอคอยโอกาสอยู่ ต่อมามีพระมหาเถระรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระแก้วชมพู
เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเป็นอันมาก
ท่านคิดที่จะกอบกู้นครลำปางให้เป็นอิสระจากกองทัพลำพูนซึ่งมายึดครองเมืองอยู่นั้น
เมื่อได้ซ่อนสุมผู้คนจนได้กำลังพอสมควรแล้ว
จึงไปหาท้าวลิ้นก่านกับจเรน้อยที่หนีกองทัพลำพูนไปอยู่ประตูผา เหนือเมืองลำปาง
เจรจาขอให้ขุนเมืองทั้งสองกอบกู้เมืองลำปาง
แต่ขุนเมืองทั้งสองไม่กล้าเกิดท้อถอยเสียแล้ว
จึงแจ้งให้พระมหาเถรเจ้าเลือกหาผู้ที่มีฝีมือมีความสามารถกอบกู้บ้านเมือง
ถ้าหากผู้ใดสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไปกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จก็ขอมอบบ้านเมืองให้ผู้นั้นปกครองสืบไป
ตอนแรกพระมหาเถระเจ้าวัดพระแก้วชมพูจะลาสิกขาบทเพราะหาผู้กอบกู้บ้านเมืองมิได้
ครั้นได้ปรึกษาญาติโยมและศิษย์ทั้งหลายต่างขอนิมนต์ไว้ก่อน
ขอให้ครูบาเจ้าซึ่งชำนาญเรื่องโหราศาสตร์ให้ลงเลขทำนายดู
พระมหาเถระเจ้าก็ทำตามตำราที่ร่ำเรียนมาก็เห็นว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ หนานทิพช้าง
หนานทิพช้างผู้นี้เป็นพรานป่าชาวบ้านคอกวัว (แถวข้างวัดศรีล้อม
ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง) บางแห่งก็ว่าเป็นคนบ้านปงยางคก
อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม กล้าหาญ
มีกำลังฝีมือเข้มแข็ง ชำนาญในการใช้ปืนและธนูเป็นอันมาก และเคยเป็นหมอคล้องช้างป่า
คนทั้งหลายจึงเรียกว่าทิพช้าง
พระมหาเถระเจ้าจึงให้คนไปถามทิพช้างว่ารับจะกอบกู้บ้านเมืองจากข้าศึกชาวลำพูนหรือไม่
ทิพช้างก็รับรองอย่างแข็งขันว่า พวกข้าศึกชาวลำพูนก็คนเดินดิน
กินข้าวเหนียวเหมือนกับเรา เราหาเกรงกลัวไม่
พระมหาเถระเจ้าจึงตั้งให้ทิพช้างเป็น เจ้าทิพเทพบุญเรือน
เป็นหัวหน้าคุมคน 300 คน คุมคนไปรบกับกองทัพเมืองลำพูน
ที่ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง
เจ้าทิพเทพบุญเรือนจึงจัดกองกำลังให้หนานนันต๊ะสาร กับหนานชัยพล
น้อยไชยจิตเป็นแม่กอง คุมไพร่พลชาวบ้านผู้กล้าหาญและมีฝีมือเข้มแข็ง แบ่งพลเป็น 3
กอง ๆ ละ 100 คน ยกออกจากเวียงดิน บ้านคอกวัวของทิพช้าง
(ภายหลังได้สถาปนาเป็นเวียงดิน อยู่ทางเหนือเมืองลำปาง)
มุ่งตรงไปวัดพระธาตุลำปางหลวงที่กองทัพ ซึ่งมีท้าวมหายศตั้งพักไพร่พลอยู่
เวลาขณะที่เจ้าทิพเทพบุญเรือนยกกำลังพลไปถึงนั้น
เป็นเวลากลางคืนค่อนข้างดึก
จึงให้กำลังคนล้อมวัดพระธาตุลำปางหลวงไว้อย่างแข็งแรงทุกด้านเมื่อจัดวางกำลังเรียงรายโดยรอบแล้ว
เจ้าทิพเทพบุญเรือน ก็ลอดคลานเข้าไปทางท้องร่อง สำหรับระบายน้ำเวลาฝนตก
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดเข้าไปในวัด
เมื่อเจ้าทิพเทพบุญเรือนลอดเข้าไปถึงวัดชั้นในแล้วก็เข้าไปถามยามรักษาการณ์ว่า
ท้าวมหายศเจ้าเมืองลำพูนอยู่ที่ไหน ยามรักษาจึงถามว่ามีธุระสิ่งใดหรือ
เจ้าทิพเทพบุญเรือนก็ตอบว่า เจ้าแม่เทวีเมืองลำพูน (ชายาท้าวมหายศ)
ใช้ให้ส่งหนังสือด่วนให้ท้าวมหายศ ยามรักษาได้ฟังดังนั้นก็หลงเชื่อว่าเป็นความจริง
จึงอนุญาตให้เจ้าทิพเทพบุญเรือนเข้าไปหาท้าวมหายศซึ่งกำลังเล่นหมากรุกกับทหารคนสนิทและนางบำเรอที่วิหารหลวง
ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือ
เมื่อเจ้าทิพเทพบุญเรือนเห็นและแน่ใจว่า
บุคคลตรงหน้านั้นคือท้าวมหายศจึงคลานเข้าส่งหนังสือปลอมมานั้นส่งมอบให้ท้าวมหายศ
เมื่อท้าวมหายศรับหนังสือแล้วเจ้าทิพเทพบุญเรือนก็ถอยออกมา
ยกปืนที่ติดตัวมายิงท้าวมหายศทันที ท้ายมหายศถูกกระสุนล้มลงขาดใจตายกลางวงหมากรุก
(ลูกกระสุนนั้นยังทะลุไปถูกรั้วทองเหลือของเจดีย์ตามที่เห็นอยู่ทุกวันนี้)
แล้วเจ้าทิพเทพบุญเรือนก็รีบหนีเล็ดลอดออกไปตามทางระบายน้ำเก่าที่เข้ามา
แล้วนำทหารลำปางฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือตายก็แตกหนีพ่ายไป
เจ้าทิพเทพบุญเรือนยกทัพไล่ตีติดตามไปจนถึงดอยดินแดน (ดอยผีปันน้ำ)
จึงให้เลิกทัพกลับและแวะนมัสการพระที่วัดปงยางคก ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยบวชเรียนอยู่
ณ วันนั้น ต่อมาจึงมีประเพณีเมื่อถึงเทศกาลทานข้าวสลาก
(กิ๋นก๋วยสลาก)
ประจำปีต้องมีที่วัดปงยางคกก่อนวัดอื่นในเมืองลำปางและเลยมาขอขมาเทพารักษ์และพระธาตุลำปางหลวง
เมื่อขับไล่ปราบกอบทัพเมืองลำพูนแตกพ่ายไปแล้ว
พระมหาเถระเจ้าพระแก้วชมภู
พร้อมด้วยประชาราษฎร์ชาวเมืองลำปางทั้งหลายก็พร้อมใจกันแต่งตั้งปราบดาภิเษก
สรงน้ำมุรธาภิเศกให้หนานทิพช้าง หรือเจ้าทิพเทพบุญเรือน สถาปนาให้เป็นที่
เจ้าพระยาสุละวะภาไชยสงคราม เจ้าผู้ครองเมืองลำปางในปี พ.ศ. 2275 (จุลศักราช
1094) ในครั้งนั้น
นครลำปางตั้งตัวเองเป็นอิสระปกครองตัวเองไม่ขึ้นต่อเมืองเชียงใหม่หรือกรุงศรีอยุธยา
เจ้าพระยาสุละวะไชยสงคราม (เจ้าทิพช้าง) ครองเมืองลำปางนาน 27 ปี
จนลุปี พ.ศ. 2302 (จุลศักราช 1121) ก็ถึงแก่ทิวงคต มีโอรสธิดากับเจ้าแม่ปิมลาเทวีรวม
6 คน คือ
1. เจ้าชายอ้าย (ถึงแก่กรรมยังเยาว์วัย)
2. เจ้าชายแก้ว (ได้ครองเมืองแทนพระบิดา เป็นบิดาของเจ้าเจ็ดตน)
3. เจ้านางคำ
4. เจ้าชายคำภา
5. เจ้าชายพ่อเรือน
(ถึงแก่กรรมในการรบกับท้าวลิ้นก่านบุตรพ่อเมืองคนเก่า)
6. เจ้านางกลม
หลังจากท้าวพระยาสุละวะภาไชยสงครามทิวงคต
ท้าวลิ้นก่านพ่อเมืองคนก่อน
ซึ่งหนีไปอยู่ประตูผาตั้งแต่ครั้นศึกเมืองลำพูนได้ยกกำลังมาปล้นแย่งชิงเมืองจากเจ้าชายแก้ว
ซึ่งได้ขึ้นครองเมืองแทนบิดา
เจ้าชายแก้วกับเจ้าชายพ่อเรือนต่อสู้กำลังทัพท้าวลิ้นก่านไม่ได้ก็อพยพถอยมาอยู่ที่เมืองแพร่
(บ้างก็ว่าเมืองลอง) ส้องสุมรวมพลได้ผู้คนพอสมควรแล้ว
ก็ยกกลับมารบกับท้าวลิ้นก่านอีก ในการรบคราวนี้ เจ้าชายพ่อเรือนน้องชายเจ้าชายแก้ว
ถูกปืนตายในที่รบเจ้าชายแก้วก็หนีไปหาโป่อภัยคามินี แม่ทัพพม่า
ซึ่งขณะนั้นยึดครองเมืองเชียงใหม่กับลำพูนอยู่
พม่าจึงส่งเจ้าชายแก้วไปยังกรุงอังวะ
ต่อมาพระเจ้าอังวะให้เกณฑ์หัวเมืองฝ่ายเหนือมารบไทย
ให้โป่ชุกยกทัพมาและนำตัวเจ้าชายแก้วมาด้วย กองทัพพม่าตีเมืองลำปางแตก
จับท้าวลิ้นก่านฆ่าเสีย แล้วคืนเมืองลำปางให้เจ้าชายแก้ว
พระเจ้ากรุงอังวะสถาปนาให้เจ้าชายแก้วเป็นเจ้าฟ้าชายแก้ว (บางแห่งเรียก
เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว) เป็นเจ้าครองเมืองลำปางต่อไปในปี พ.ศ. 2307 (จุลศักราช 1126)
โอรสธิดาของเจ้าฟ้าชายแก้วอันเกิดกับเจ้าแม่จันทาเทวี
ที่เป็นเชื้อสายของพญาสุละวะภาไชยสงคราม (เจ้าทิพช้าง)
ที่ต่อมาได้ครองเมืองเชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน ลำปาง ลำพูน คือ
1. เจ้ากาวิละ ประสูติ พ.ศ. 2285 ต่อมาได้เจ้าครองเมืองลำปาง 7 ปี
แล้วทรงโปรดฯ ให้เป็นพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ ภายหลังได้เลื่อนขึ้นรับสุพรรณบัตรเป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีฯ
พระเจ้าขันธเสมานครเชียงใหม่ที่ 1
2. เจ้าคำโสม ประสูติ พ.ศ. 2287 ได้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองลำปางที่
2 ต่อจากพระเจ้าบรมราชาธิบดี (กาวิละ)
3. เจ้าน้อยธรรมลังกา
ประสูติ 2289 ได้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 2
หรือเรียกกันว่าเจ้าช้างเผือก
4. เจ้าดวงทิพย์ ประสูติ 2291 ได้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองลำปางที่ 3
ต่อจากเจ้าคำโสม
5. เจ้านางศรีโนชา ประสูติ 2293
เป็นพระชายากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (ชาวเหนือเรียกว่าแม่ครอกศรีอโนชา
มีพระธิดา 1 องค์ ทรงพระนามว่า เจ้าหญิงกุลทอง
6. เจ้านางศรีวรรณา ประสูติ พ.ศ. 2295
7. เจ้าหมูหล้า ประสูติ พ.ศ. 2297 ได้เป็นอุปราชเมืองลำปาง
ถึงแก่อนิจกรรมที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2358 อายุได้ 39 ปี
8. เจ้าคำฟั่น ประสูติ พ.ศ.2299 ได้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ 3
หรือเรียกกันว่า เจ้าหลวงเศรษฐี
9. เจ้าบุญมา ประสูติ พ.ศ. 2303 ได้เป็นเจ้าเมืองลำพูนที่ 2
รวมโอรสและธิดาของเจ้าฟ้าชายแก้ว ชาย 7 คน หญิง 3 คน รวมเป็น 10 คน
ที่เรียกกันว่า เจ้าเจ็ดตน นั้นนับเฉพาะที่เป็นชายเท่านั้น
เจ้าทั้งเจ็ดองค์นี้เป็นต้นตระกูลวงศ์ ณ เชียงใหม่ ณ ลำปาง ณ ลำพูน
ส่วนเชื้อสายเจ้าเจ็ดตนที่อยู่ทางเชียงรายส่วนมากใช้นามสกุล เชื้อเจ็ดตน
เป็นเชื้อสายของ ทิพช้าง วีระบุรุษแห่งเขลางค์นคร เช่นกันสืบมาจนทุกวันนี้
ส่วนเจ้าผู้ครองเมืองลำปางสืบต่อกันมาอีก 14 คน
ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองคนสุดท้ายคือ เจ้าราชบุตร (เจ้าแก้ว ผาบเมือง ณ ลำปาง พ.ศ.
2465 นับแต่นั้นมา ตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองลำปางก็ถูกล้มเลิกไป
เช่นเดียวกับตำแหน่งเจ้าเมืองในจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งถูกสั่งเลิกหมด
ให้ปกครองแบบมณฑลจังหวัด
โดยการส่งข้าหลวงจากส่วนกลางไปปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว