4 พระบรมธาตุ
4
พระบรมธาตุ
ตำนานที่มาโดยละเอียด
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อายุกว่าพันปี
พระธาตุพนม นครพนม
โดย
สำนักงานนิตยสารเทียนชัย
ประวัติพระธาตุพนม นครพนม (6)
การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งที่ 5
สมัยพระครูวิโรจน์ รัตโนบล
ล่วงเข้าปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยุคนี้เข้าสู่ประวัติพระธาตุพนมสมัยใหม่ ภายใต้ระบบการปกครองส่วนกลางจากกรุงเทพฯ
เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจรย์เสาร์พระอุปัชฌย์ทา
วัดบูรพารามเมืองอุบล พร้อมคณะพระอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน
ได้ธุดงค์มาจำพรรษาในบริเวณวัดพระธาตุพนม เห็นสภาพองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์
ที่เป็นยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนทั้งสองลุ่มแม่น้ำโขงอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมากจึงคิดจะบูรณปฏิสังขรณ์
แต่ท่านไม่ชำนาญทางการช่าง จึงแนะให้ชาวบ้านไปเชิญพระครูอุดรพิทักษ์คณะเดช
วัดทุ่งศรีเมืองอุบลให้มาช่วยบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม ใน พ.ศ. 2444
เพราะท่านมีชื่อเสียงเป็นพระที่เก่งทางวิปัสสนากรรมฐาน
และมีความรู้เก่งทางช่างปั้นช่างเขียนอยู่ในขณะนั้น
ท่านพระครูอุดรพิทักษ์คณะเดช (บุญรอด สมจิต)
ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะเมืองอุบลราชธานี
ในปี พ.ศ. 2446 ท่านได้เดินทางมาพร้อมคณะโดยทางเกวียนถึงวัดพระธาตุพนม เมื่อวันขึ้น
14 ค่ำ เดือน อ้าย ปีเดียวกันนั้น
แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านและทางวัดเกรงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุมาก
มีความประสงค์ต้องการให้ทำความสะอาดและถอนพวกวัชพืชเถาเคลือทั้งหลายออกไปแต่พระครูวิโรจน์รัตโนบลต้องการจะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สง่างามทั้งองค์
ตกลงกันไม่ได้ท่านจึงเตรียมเดินทางกลับ
ต่อมาชาวบ้านยอมจำนวนเพราะคนทรงเทวดาอารักษ์ขององค์พระธาตุอนุญาตให้ทำเช่นนั้น
ครั้งนั้นก็ไม่มีชาวบ้านหรือพระเณรองค์ใดกล้าร่วมมือลงแรงบูรณะองค์ธาตุแต่ต้นมือ
ด้วยเกรงอำนาจภูตผีองค์พระธาตุ จะบันดาลให้มีเพทภัยเกิดความเดือดร้อนพระครูวิโรจน์รัตโนบลกับคณะสานุศิษย์จึงต้องลงมือทำกันเอง
ในวันแรกท่านให้พระเณรที่มาจากอุบล 10 รูป นั้นเอาไม้พาดเจดีย์
ชำระเคลือเถาต้นโพธิ์ต้นไทรออก ขุดโคลนน้ำท่าความสะอาด
ชาวบ้านที่อยู่ในบ้านพระเณรในวัด ไม่มีใครกล้ามาร่วม ต่างพากันปิดบ้าน
ปิดประตูกุฏิไม่กล้าส่องมองดู ด้วยเกรงว่าเทวดาจะหาว่าเป็นใจกับท่านพระครูวิโรจน์ฯ
ท่านก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ วัน
มีแต่เฒ่าชัยวงศาผู้ใหญ่บ้านดอนกลางเท่านั้นที่คอยมารับใช้ช่วยเหลือ พอผ่านไปได้ 7
วัน เห็นชาวบ้านธาตุมายืนขัดหลังดูภายนอก
ต่อมาได้ 15 วัน
คนทั่วสารทิศทราบข่าวการบูรณพระธาตุพนมต่างหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวา
ฝั่งขวาเจ้าเมืองท่าแขกยกหินปูนที่ภูเขาเหล็กไปให้ทั้งลูก
เกณฑ์คนเป็นพันขนส่งจากเชิงเขาถึงฝั่งแม่น้ำโขงทางยาว 4 กม. โดยยืนเรียงแถว
เจ้าเมืองสกลนครและหนองคายปวารณาให้ช้างใช้ลากเข็นตอนนี้ประชาชนภิกษุสามเณร
คนแก่คนเฒ่าหนุ่มสาวลามไหลมาจากทุกทิศ
ระหว่างดำเนินการบูรณะนั้นเป็นคราวประจวบเหมาะกับเกิดคดีผีบุญขึ้นที่อำเภอตระการพืชผลจังหวัดอุบลราชธานี
ประชาชนเกรงไปตามคำนายของผีบุญว่าสัตว์เลี้ยงจะเป็นยักษ์
ของมีค่าทั้งหลายจะแปรสภาพเสื่อมค่าไป หินกรวดทรายจะกลับกลายเป็นเงินเป็นทอง
เงินทองที่ครอบครองจะกลายเป็นกรวดหิน ชาวบ้านหวาดหวั่นตื่นกลัวข่าวลือกันทั่วไป
เหตุนี้จึงมีผู้มีจิตศรัทธานำเงิน
และสิ่งมีค่ามาบริจาคเป็นทุนให้พระครูวิโรจน์รัตโนบล
เป็นทุนในการบูรณะองค์พระธาตุเป็นจำนวนมาก จนเกินงบประมาณที่ต้องการ
มีเก็บไวเป็นทุนบูรณะครั้งต่อไปได้อีก
ท่านพระครูวิโรจน์ใช้เวลาบูรณะองค์พระธาตุพนมประมาณ 2 เดือน
จึงสำเร็จ ถึงเดือน 3 วันเพ็ญได้ฉลองสมโภชและนมัสการพระธาตุพนม
จึงถือวันนี้เป็นประเพณีเทศกาลประจำปีตั้งแต่นั้นสืบมาจนทุกวันนี้
การบูรณะองค์พระธาตุนั้น ได้ขูดกะเทาะปูนเก่าที่ชำรุดแล้วโบกใหม่
โบกปูนแต่พื้นถึงยอดและกำแพงที่ชำรุดต่าง ๆ
เติมลายปูนเป็นบางส่วนทาสีประดับกระจกกระเบื้องเคลือบปิดทองส่วนบนติดดาวที่ระฆัง
ลงรักปิดทองที่ยอด สิ้นทองคำเปลว 3 แสนแผ่น
แผ่แผ่นเงินแผ่นทองคำขึ้นหุ้มยอดพระธาตุหมดเงินหนัก 300 บาท ทองคำหนัก 50 บาท
แก้วเม็ด 200 แก้ว ประดับ 120 หีบ โปงทองหล่อ 1 ใบ มีทองหนัก 2 แสน
บูรณะตั้งแต่ฐานชั้นที่ 3 ขึ้นไป ซ่อมแซมถึงกำแพงแก้วชั้นใน และชั้นกลาง
ทาน้ำปูนพระธาตุและปูนลานพระธาตุ
การบูรณะพระธาตุพนมของพระครูวิโรจน์รัตโนบลนั้นมีความสำคัญเทียบเท่ากับการบูรณะของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว เป็นการฟื้นฟูปลุกขวัญและชีวิตจิตใจของชุมชนขึ้นใหม่
หลังจากที่ซบเซาไปเป็นเวลาร่วมศตวรรษ
หลังจากนั้นท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล
ได้กลับมาสร้างซุ้มประตูหน้าวัดให้อีกใน พ.ศ. 1449 ในปลายปีนั้น
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงเดชานุภาพ
ได้เสด็จมาพักแรมที่บริเวณวัดพระธาตุพนมในระหว่างเดินทางมาตรวจราชการมณฑลอิสาน
พระองค์ท่านเกิดความเลื่อมใสในองค์พระธาตุจึงได้สร้างระฆังถวายไว้ 2 ลูก
ทั้งยังให้ย้ายอำเภอเมืองเรณูนคร มาตั้งไว้ที่ตำบลธาตุพนมด้วย (ร.ศ. 126)