www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
พระอภัยมณี
ตอนที่
๓๒ ศรีสุวรรณอาสาตีด่านดงตาล
องค์ละเวงวัณฬาถามสองนางพี่น้องถึงความผิดปกติของป่าที่พักอยู่ สองนางพี่น้องจึงทูลว่าป่านี้ชื่อกาลวัน
มีเจ้าป่ารักษาสิงอยู่ในถ้ำกลำพัน กินสัตว์เป็นอาหาร ผู้ใดมายังที่นี้อารักษ์ก็จะแอบสะกดแล้วเอาไปกินเสีย
นางกษัตริย์ทราบความก็นึกหวาดหวั่น ถามสองนางพี่น้องว่าเมื่อรู้เช่นนี้แล้วเหตุใดจึงให้มาพักอยู่
ณ ที่นี้ สองนางพี่น้องทูลตอบว่า บาทหลวงบอกว่าตราพระราหูจะคุ้มภัยได้
กรุงลังกายังไม่สูญประยูรศักดิ์ และข้าศึกจะกลับรักร่วมจังหวัดปัฐพี
นางกษัตริย์ได้ฟังก็ให้นึกอายใจ ถามต่อว่า บาทหลวงทายมาเพียงเท่านั้นหรือยังมีอีก
หรือว่านางกับพระอภัยจะได้เป็นคู่กัน สองนางพี่น้องทูลตอบว่า บาทหลวงทายไว้แต่เพียงเท่านั้น
ค
นางฟังความยามดึกนึกวิตก |
สะอื้นอกอาลัยพระทัยหาย |
คิดถึงพระอภัยแล้วให้อาย |
ช่างเคราะห์ร้ายนี้ไฉนกระไรเลย |
เมื่อต่างชาติศาสนาเป็นข้าศึก |
สุดจะนึกร่วมเรียงเคียงเขนย |
ขอสู้ตายชายอื่นไม่ชื่นเชย |
จนล่วงเลยสู่สวรรค์ครรไล |
ฯลฯ
สองนางพี่น้องอยู่งานขับกล่อมนางกษัตริย์ด้วยกาพย์เพลงพลอดคิดประดิษฐ์กลอน
หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มเสื้อ |
พออุ่นเนื้อนอนสนิทพิสมัย |
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ |
แต่หนาวใจจำกลั้นทุกวันคืน |
แม้มีคู่ชูชิดสนิทนุ่ม |
เหมือนห่อหุ้มผ้าทิพย์สักสิบผืน |
หอมบุปผามาลัยไม่ยั่งยืน |
ไม่ชูชื่นเช่นรสพจมาน |
ฯลฯ
องค์ละเวงวัณฬาฟังเสียงขับก็ชื่นชอบใจจึงเฉือนดินถนันให้เป็นรางวัลพี่น้องสองนาง
ได้รับประทานแล้วก็มีผิวพรรณโสภาผ่องผุดเช่นเดียวกับพระนาง
กล่าวถึงชาวบ้านสิงหลชื่อย่องตอด
เป็นลูกเศรษฐี เป็นคนขี้อายและเขลา พ่อแม่ขอเมียมาให้ก็ไม่ประสีประสาจนเมียทำเอาตาบอด
ย่องตอดก็กระโดดหนีแล้วกลืนลูกตาไว้ มาถึงถ้ำกลำพันพบปีศาจให้ความรู้เลยอยู่ด้วยกันเที่ยวกินเนื้อสัตว์เหมือนผีดิบจนสัตว์ในป่ากาลวันไม่มีเหลือ
คืนวันนั้นย่องตอดออกมาเห็นกองไฟ แต่ไม่เห็นคน ด้วยเทวดารักษาไว้ พอเห็นม้าก็ตรงเข้ามากัดกินที่เหลือก็เอาไปให้ผีจนม้าชักรถหมดไม่มีเหลือ
แล้วเที่ยวค้นไปรอบเขาด้วยกลิ่นมนุษย์ มาถึงรถก็เสกสะกดให้คนหลับ แต่นางกษัตริย์ไม่หลับแล้วกลับตื่น
จึงใช้ตราราหูตีถูกหัวย่องยตอดล้มสลบ มนต์ที่มันสะกดก็คลาย ผู้คนตื่นขึ้นมาจับมันมัดไว้
ค
โฉมเฉลาเล่าเรื่องให้รู้แจ้ง |
พอส่งแสงสูรย์สว่างกลางเวหา |
ต่างพิศดูผู้ตายคล้ายคุลา |
มีแต่ตาข้างเดียวดูเขี้ยวโง้ง |
ทั้งหน้าง่ายรายเริ่มโดนเมียข่วน |
ผมแต่ล้านมีผูกจมูกโด่ง |
ใบไม้นุ่งรุงรังสันหลังโกง |
ดังผีโป่งปากเหม็นเช่นกุมภา |
ฯลฯ
พอย่องตอดฟื้นก็สลัดเชือกที่มัดหลุด นางกษัตริย์เอาตราพระราหูตีซ้ำจนมันรู้สึกเหมือนจะสิ้นชีวิต
เห็นนางกษัตริย์ดูตัวนารายณ์จึงกลัวฤทธิ์ลงกราบกราน เมื่อถูกนางถามจึงเล่าเรื่องเดิมของตนให้ฟัง
บอกใครฆ่าตนก็ไม่ตาย เว้นแต่ตราพระราหูตนสู้ไม่ได้ และขอให้ใช้ตนแทนม้าที่ตนกินไปจนกว่าจะหาม้ามาได้
ตนก็จะกลับมาอยู่ที่ถ้ำอย่างเดิม
นางกษัตริย์ได้ฟังจึงปรึกษากันว่าใครจะเห็นเป็นอย่างไร สองนางพี่น้องต่างรู้ตามที่ครูสั่งว่าครั้งนี้จะได้ใช้ทหารเช่นย่องตอดที่ใครฆ่าไม่ตาย
จะได้ใช้ออกรบ นางกษัตริย์เห็นด้วยแล้วให้ย่องตอดพาไปถ้ำที่อยู่ของครูบา พวกผีกลัวตาพระราหูก็พากันหนีหายไปหมด
ค
ยุพาว่าพระองค์จะทรงปราบ |
ให้ราบคาบเจตแคว้นแดนสิงหล |
อันพวกผีมิได้เห็นเป็นสกนธ์ |
จะใช้คนสัประยุทธ์สุดทำนอง |
ควรจะหาอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ |
ซึ่งสถิตถ้ำเขาเป็นเจ้าของ |
เข้าโรมรันกันเองคุ้มเกรงครอง |
จึงจะต้องตามเล่ห์ประเวณี
ฯ |
ค
นางกษัตริย์ตรัสว่าเวลานี้ |
จะบัตรพลีเทวดารักษาศาล |
ถวายกรฟ้อนรำให้สำราญ |
เจ้าตามมารดาฟ้อนจะสอนไว้ |
ฯลฯ
แล้วรำร่ายฉายฉะประปลายบาท |
กระหวัดวาดไว้จังหวะดูสะสวย |
สองบังอรฟ้อนตามงามระทวย |
ดำเนินนวยนาดกายชะม้ายเมียง |
แล้วร้องบวงสรวงศาลหวานวิเวก |
ทั้งทุ้มเอกอักษรชะอ้อนเสียง |
เครื่องเสวยเคยถวายไว้รายเรียง |
ทั้งหมากเมี่ยงมังสาสุราบาน |
บุปผาพวงจวงจันทน์คันธรส |
ทั้งเครื่องสาดของเราทั้งคาวหวาน |
ขอศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรงค์องค์พระกาฬ |
มาสิงศาลสำหรับช่วยดับร้อน |
ฯลฯ
ค
นางละเวงเกรงบาปไม่หยาบหยาม |
ขนานนามตามอยู่ที่ภูผา |
ชื่อพระกาฬศาลเจ้าชาวลังกา |
จึงเรียกมาตามกันทุกวันนี้ |
อันนามถ้ำกลำพันอันอุบาทว์ |
เกิดปีศาจสาปนามไว้ตามที่ |
ชื่อว่าเขาเจ้ารำประจำปี |
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นโบราณ |
ฯลฯ
องค์ละเวงวัณฬาพาโยธากลับเข้าเมืองลังกา ถามข่าวเรื่องผลึกทราบว่า ข้าศึกยังอยู่วังที่สร้างใหม่
จึงกำชับขุนนางและไพร่พลทั้งหลายป้องกันรักษาเมือง
อย่าประมาทราชการท่านทั้งหลาย |
ศึกไม่วายแต่ละวันนั้นจะดับ |
เร่งระดมสมทบไว้รบรับ |
เร่งกำชับด่านทางอย่างวางใจ |
ฯลฯ
ฝ่ายทหารการศึกได้ฝึกปรือ |
จะแก้มือเมืองผลึกยังตรึกความ
ฯ |
จากนั้นพระสังฆราชได้มาพบถามเรื่องราวที่ผ่านมา นางกษัตริย์ก็เล่าให้ฟัง รวมทั้งที่ได้กินดินถนัน
แล้วเชือดชิ้นดินให้พระสังฆราชฉัน
บาทหลวงดูรู้ความตามตำรา |
จึงบอกว่าของอยู่ในใต้แผ่นดิน |
กำหนดนั้นพันปีผุดทีหนึ่ง |
เสียงตึงตึงแตกฟุ้งจรุงกลิ่น |
เกิดตรงไหนไอเหงื่อเหมือนเกลือกิน |
พื้นแผ่นดินก็เป็นโป่งที่ตรงนั้น |
มนุษย์เราชาวเมืองเรียกเกลือโป่ง |
เพราะปล่องโปร่งเปลวกลิ่นดินถนัน |
ได้ผลกินกลิ่นเนื้อเหมือนเจือจันทน์ |
บอกแล้วฉันชิมหวานสำราญใจ
ฯ |
ขณะนั้นมีทูตถือสารของพระอภัยเข้ามา บาทหลวงให้เปิดออกอ่าน มีความว่า
ค
ในสารว่าพระองค์ทรงสวัสดิ์ |
สืบกษัตริย์ศาสนาภาษาสยาม |
มาหยุดนั่งฝั่งสมุทรหยุดสงคราม |
เพราะมีความเสน่หาให้อาวรณ์ |
คิดถึงวันสัญญาเวลาดึก |
มิได้นึกแหนงหน่ายสายสมร |
ฯลฯ
แม้นตัวตายหมายฝังไว้ลังกา |
แม่วัณฬาละฉันให้รัญจวน |
หรือลืมคำทำสัตย์มธุรส |
เกินกำหนดนึกคอยละห้อยหวน |
ฯลฯ
จะทำสัตย์มธุรสพจมาน |
ตามโบราณร่วมจังหวัดปัฐพี |
ไม่รบพุ่งมุ่งหมายทำลายล้าง |
จะสืบสร้างเสน่หามารศรี |
แม่เหมือนเพชรเม็ดเท่าเขาคีรี |
แม้นไม่มีเรือนทองก็หมองนวล |
ถึงมียศงดงามแต่ยามตื่น |
ไม่แช่มชื่นเช่นเจ้าของครองสงวน |
งามละมอมจอมขวัญอย่ารัญจวน |
จงคิดควรคำสารที่อ่านเอย
ฯ |
ค
นางฟังความหวานไหวฤทัยหวั่น |
ให้อัดอั้นอายเอกเขนกเฉย |
บาทหลวงว่าข้าคิดไม่ผิดเลย |
แต่พอเอ่ยออกก็เป็นเห็นไรฟัน |
ฯลฯ
ค
บาทหลวงว่าข้าไม่บอกไว้ดอกหรือ |
สัญชาติชื่อว่าผู้ชายตายเพราะหญิง |
จนของ้อของอนถึงวอนวิง |
ราวกะวิ่งเข้ามาวานสังหารกาย |
ฯลฯ
อันลมปี่ดีแต่เพราะเสนาะหู |
ที่จะสู้ลมปากยากหนักหนา |
แต่ความรักมักจะออกกระบอกตา |
จะเป็นข้าพวกเขาชาวชมพู |
ฯลฯ
นางกษัตริย์ได้ทำหนังสือตอบพระอภัย ให้ทูตที่ถือหนังสือมาไปถวายพระอภัย ทอดไมตรี
แม้มิจริงสิ่งสัตย์สะบัดสบถ |
ไม่เลยลดเลยพระองค์อย่าสงสัย |
จะสู้รบขบฟันจนบรรลัย |
ไม่ขอไปเป็นข้านางมาลี |
แม้พระองค์ทรงสัตย์สันทัดเที่ยง |
จะโลมเลี้ยงแล้วไม่อางขนางหนี |
ให้เห็นจริงสิ่งสัตย์สวัสดี |
ไม่มีที่กีดขวางเหมือนอย่างนั้น |
จะได้ไปคำนับอภิวาท |
เชิญพระบาทบรเมศวร์มาเขตขัณฑ์ |
ฯลฯ
พระอภัยได้อ่านสารแล้ว มิได้ออกโอษฐ์ว่าอะไร ศรีสุวรรณได้ท้วงติงไปหลายประการ
ถ้าพระองค์สงสารกับว่านเครือ |
อย่าชิดเชื้อช่วงชิงผู้หญิงพาล |
อันพาราฝรั่งทั้งทวีป |
จะเร่งรีบรบรับแต่กับหลาน |
มิได้เมืองเคืองขาดราชการ |
จึงล้างผลาญชีวันให้บรรลัย |
จะยกทัพนับโกฎิมาเกี้ยวชู้ |
ใครจะสู้ส่งลำเลียงเสบียงไหว |
จะอ้อยอิ่งวิงวอนจนอ่อนใจ |
เห็นพวกไพร่จะผอมโซเพราะโลกีย์
ฯ |
ค
สินสมุทพูดจากประสาจิต |
แม้ไม่คิดรบพุ่งเอากรุงศรี |
จะบวชเข้าเอาบุญเป็นมุนี |
ไปอยู่ที่เกาะแก้วเสียแล้วกัน |
ฯลฯ
ค
พระอภัยไม่พูดกับโอรส |
ด้วยทรงยศเธอรักเขาหนักหนา |
แต่เกรงน้องข้องขัดหัทยา |
จึงแกล้งว่าพี่ก็ไม่อาลัยมัน |
ฯลฯ
ถ้าได้ทีตีกระทั่งถึงวังใน |
ใครอย่าได้ฆ่าฟันนางวัณฬา |
ด้วยเดิมทีพี่เขากับเรานั้น |
เหมือนพงศ์พันธุ์ผูกรักกันหนักหนา |
จะปราบปรามตามทำนองของน้องยา |
แต่อย่าฆ่าคิดล้างให้วางวาย
ฯ |
ศรีสุวรรณและสินสมุทได้ฟังก็ยินดี ทูลลามาจัดทัพให้พราหมณ์สามมานพ เป็นทัพหน้า
สินสมุท เป็นทัพหนุน ศรีสุวรรณ เป็นทัพหลวง
ฝ่ายทัพหน้า สานนให้คนบอกชาวบ้านว่า ใครไม่สู้ให้อยู่บ้าน จะไม่ไปย่ำยีไม่ต้องหนีไปไหน
กล่าวถึงชาวเมืองชื่อ อิเรน เป็นคนโบราณมีฝีมือรำขวาน รักษาด่านชั้นนอกเป็นคอกเนิน
ริมวิถีมีลำแม่น้ำกว้าง |
ทั้งสองข้างโขดดอนสิงขรเขิน |
เป็นร่องกลางทางเซาะจำเพาะเดิน |
มีเชิงเทินรายรอบขอบบุรี |
เจ้าเมืองถือขวาน มีลูกสาวอายุยี่สิบปี สวยโสภา ไม่มีผัวกลัวจะมีลูก อยากทำศึกฝึกหัดเพลงอาวุธ
จนรู้เชิงรบครบครัน เมื่อศึกมาถึงด่านก็ให้ กปิตันไปตั้งหลังเขา มูรหุ่มคุมทหารอยู่ชานเขา
กำลังพลขี่ม้าทั้งหมด บังอลูอยู่ที่ลำแม่น้ำคด ทั้งสามกองมีกำลังกองละหมื่น
ฝ่ายทัพพราหมณ์สานน มาถึงท้ายด่าน พบทัพม้าฝ่ายลังกา จึงให้หยุดกำลังพล แล้วไปเจรจาว่า
ทัพชาวผลึกไม่คิดร้าย ด้วยเจ้านายทั้งสองฝ่ายปรองดองกัน ขออย่าให้ขวางหนทาง
ฝ่ายปลัดได้ฟังก็ขัดใจสั่งทหารเข้ารบ กปิตันถูกธนูพราหมณ์วิเชียร ถูกลูกทั้งสองข้างตกม้าตาย
แล้วยิงปลัดถูกหูถึงแก่ความตาย
เจ้าเมืองเห็นเหตุการณ์จึงควบสิงห์เข้ามารุกรบ วิเชียรยิงธนูไปสี่ลูก แต่ไม่ถูก
เพราะสามารถคาบคีบหนีบไว้ได้ แล้วใช้ขวานฟันฟาดพราหมณ์วิเชียรเกือนสลบ สานน
โมรา ก็ล่าหนี เจ้าเมืองก็ตามตี
สินสมุทเห็นทัพพราหมณ์ แตกหนีจึงเร่งพลเข้าตีไปกลางทัพ จนพบพวกทัพที่จับพราหมณ์ก็ชิงตัวมาได้ทั้งสามคน
แล้วเข้ารบกับอิเรน วิเชียรเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกตาเจ้าเมือง พลัดตกจากสิงห์ แล้ววิ่งขึ้นหลังม้าคว้าขวานมารบต่อ
ฝ่ายลูกสาวเจ้าเมืองอยู่หน้าป้อม เขาล้อมบิดาอยู่ก็ถอดกระบี่ แล้วขับม้ามาช่วย
โมรากับสานนเข้ารับมือ บังอลู มูรหุ่ม เข้ารบรุมกันนายออกไปเข้าด่าน
สินสมุทกับสามเจ้าพราหมณ์ ก็เข้าตั้งล้อมเมืองด่านไว้ แล้วบอกข่าวไปยังพระอนุชาศรีสุวรรณ
ฝ่ายฝรั่งนายทหารทั้งหลายรักษาด่านไว้แล้ว หารือกันว่าเจ้าเมืองบาดเจ็บไม่ควรออกรบ
เห็นว่าถ้าองค์ละเวงวัณฬา ส่งกำลังหมื่นพันมาช่วยสมทบ จึงค่อยออกรบกับข้าศึก
แต่เจ้าเมืองไม่เห็นด้วย
ฝ่ายผู้เฒ่าเจ้าเมืองเคืองตะคอก |
อย่าเพิ่งบอกเฟื่องฟุ้งถึงกรุงศรี |
เราเป็นชายฝ่ายเจ้าเป็นสตรี |
ชีวีมีมิให้องค์ออกสงคราม |
อายุเราเล่าก็จวนหกสิบห้า |
ถึงแม้ว่าวายวางลงกลางสนาม |
สู้บรรลัยไว้ชื่อให้ลือนาม |
จะสงครามปล่อยแก่พอแก้อาย |
ฯลฯ
อนึ่งเล่าเขามาล้อมอยู่พร้อมพรั่ง |
เปรียบเหมือนดังโรคตัดอัติสาร |
จะวางยาแม้มิหายคงวายปราณ |
แม้นเสียด่านก็เหมือนดังเสียลังกา |
ฯลฯ
แล้วบอกว่าข้าศึกมีชัยคงจะประมาท จึงให้จัดกำลังเป็นหกทัพยกออกไปโจมตีตอนสามยาม
ให้มุรหุ่มคุมทหารเข้าด้านซ้าย บังอลูเข้าด้านขวา หัศเกนสมทบกับมลิปาสารวัด
ยันตังอังกฤษให้อยู่กับเจ้าเมือง แล้วสั่งบุตรให้อยู่ตรวจตราการข้างใน สั่งว่าถ้าตนตายให้ไปเฝ้าองค์วัณฬา
ถวายตัวสามิภักดิ์จะได้ปรากฏเกียรติต่อไป
ฝ่ายศรีสุวรรณปรึกษาการกลศึกกับแล้วเห็นว่าอย่าประมาทพวกฝรั่งคงจะคิดอ่านมาสู้รบอีก
จึงวางกลศึกไว้ว่าถ้ามีศึกมาเข้าตีตอนดึก ให้ทำเป็นแตกตื่นหนีไป ให้ข้าศึกตามตีออกไปนอกภูเขา
ให้โมรากับสานนคุมกำลังย้อนมาทางขวาและทางซ้าย พวกทมิฬของสินสมุทให้โอบหลังล้อมไว้
แล้วตีกลับเข้ามาตัดหัวตัวนาย แล้วทำลายประตูเมืองเข้าไปในเมือง จากนั้นก็แกล้งหยุดตีฆ้องกลอง
และราไฟเสีย
ฝ่ายอิเรนเตรียมทัพไว้พร้อมแล้ว คอยสดับตรับฟังข้าศึก เมื่อเสียงเกราะเคาะขานหายไป
ทั้งแสงไฟก็โทรมลง นึกว่าพวกกองทัพข้าศึกหลับ จึงให้กองทัพของตนถือชุดอาวุธสั้นเข้าปะปนกันไป
จะได้สังเกตเห็นเป็นสำคัญ ยกกำลังออกไปนอกกำแพง พวกโยธาฝ่ายศรีสุวรรณก็ทำทีแตกหนีไป
พวกชาวด่านเห็นข้าศึกหนีก็เข้าโจมตีติดพัน
ฝ่ายสินสมุทหยุดยกเข้าวกหลัง สกัดกั้นไว้ที่ประตูป่า วิเชียรขับทัพหลังตั้งประจัญไว้
โมราพาทหารเข้าด้านซ้าย สานนอ้อมไปทางด้านขวา ขับโยธาเข้าแทงฟันประจัญบาน
ฝ่ายบังอลูมูรหุ่มที่คุมทัพอยู่ก็ถูกฝ่ายศรีสุวรรณตีแตกมาจนถึงป่าตาลก็ถูกล้อม
อิเรนเห็นผิดท่าที พอจวบรุ่งเช้าก็เรียกไพร่พลกลับ สินสมุทก็เข้ามาโจมตีกระทบกับโมรากับสานน
การรบเข้าขั้นตะลุมบอน ฝ่ายเมืองผลึกฮึกหาญเข้าสังหารฝ่ายฝรั่งตายกลาดเกลื่อน
อิเรนถูกลูกธนูจนเลือดอาบทั่วตัว เห็นว่าจะถูกจับเป็น จึงเรียกศิษย์อังกฤษให้ตัดหัวตน
เพื่อไม่ให้ศีรษะกับตัวไม่มีผู้ใดได้พบเห็น ยันตังจำต้องทำด้วยความจำใจแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าผูกคอไว้แล้วขับม้าหนีไปยังเมืองลังกา
ทัพเมืองผลึกจับไพร่พลข้าศึกได้เป็นจำนวนมาก สานนฆ่ามาตา โมราฆ่าบังอลู วิเชียรฆ่ามูรหุ่ม
แล้วสามพราหมณ์ก็ตามมาถึงหน้าด่านแล้วให้ประจานศพฝรั่งทั้งหลาย เอาศพตัวนายเสียบเรียงไว้เคียงกัน
แล้วร้องบอกชาวด่านว่าใครไม่สู้ ก็จะยกโทษให้ใครสู้จะฆ่าเสีย และให้เปิดประตูด่านให้กองทัพเข้าไป
ตอนที่
๓๓ ย่องตอดสะกดทัพ
ฝ่ายลูกสาวเจ้าเมืองเตรียมการป้องกันอย่างเต็มที่ เห็นฝ่ายเมืองผลึกเอาศพนายทัพมาเสียบไว้ก็ตกใจ
แต่ยังไม่เห็นบิดาของตน ทั้งยันตังที่สั่งไว้ก็ยังไม่กลับ จึงเที่ยวเดินตรวจพลอยู่
ค
ฝ่ายสามพราหมณ์สามทัพไม่ยับยั้ง |
หมายจะพังป้อมประตูเข้าสู้ไล่ |
ให้เอาโซ่ทำคั่นเป็นบันได |
ขึ้นชิงชัยชาวพลบนกำแพง |
พวกฝรั่งทั้งสิ้นเอาหินทิ้ง |
บ้างยืนยิงปืนสั้นเกาทัณฑ์แผลง |
แต่หักหาญราญรอนจนอ่อนแรง |
ฝรั่งแทงล้มตายลงหลายคน
ฯ |
สินสมุทเห็นทัพหน้าถอยก็ลงจากสิงห์ ปีนป้อมกำแพงเข้าปล้นค่าย สามพราหมณ์ก็ตามเข้ามารุกรบ
ฝ่ายลูกสาวเจ้าเมืองเห็นนายทัพข้าศึกก็ยิงด้วยธนูถูกกรอกปากสินสมุทพลัดตกลงมาจากกำแพงแทบสิ้นชีวิต
แต่สินสมุทได้ชักลูกดอกออกแล้วภาวนาคาถา แผลนั้นก็หาย แล้วคิดแค้นแหงนดูเห็นเป็นผู้หญิง
จึงลุกขึ้นขับทัพไปชั้นบน พอเข้าไปใกล้กลไกที่มีตารางคลุมอยู่ก็ถูกตารางครอบกำลังพลทมิฬเอาไว้
ไพร่พลของชาวด่าน ก็ยกเอาหินมาทุ่มทิ้งลงไป แล้วเปิดประตูจั่นหับออกจับกุมพลทมิฬเหล่านั้น
ศรีสุวรรณยกทัพตามมาทันจึงช่วยแก้กันออกไปได้ทั้งไพร่นาย พอตกค่ำก็ถอยทัพมาตั้งค่าย
แล้วปรึกษากันว่ากลไกของฝรั่งนั้นมีอยู่หลายอย่างมาก ถ้าโหมหักเข้าตีเมืองก็จะเปลืองกำลังทหาร
จะคิดอ่านกันอย่างไร
โมราเสนอว่าจะผูกเรือยนต์รบบรรจุกำลังพลทั้งนายไพร่แล่นไปตามข้ามภูเขาเข้าไปข้างใน
ทุกคนก็เห็นด้วย
ฝ่ายลูกสาวเจ้าเมืองเห็นข้าศึกกลับออกไปแต่ยังไม่ถอยหนีไปไหน จึงต้อนชาวเมืองขึ้นทำหน้าที่พร้อมกับทหาร
แล้วปรึกษาเสนา
บอกหนังสือชื่อนางอยู่ต่างพ่อ |
ให้ส่งต่อเป็นระยะไปถวาย |
คนเร็วรับขับม้าจนตาลาย |
ถึงบ้านรายรับกันเป็นหลั่นไป |
อันเยี่ยงอย่างข้างฝรั่งนั้นอย่างนั้น |
ทางสามวันวันหนึ่งเดินถึงได้ |
แต่ลังกามาด่านปราการไพร |
ประมาณได้สามวันดังพรรณนา
ฯ |
ฝ่ายยันตังรีบเดินทางมาถึงเมืองลังกาก็เอาหัวครูถวายแก่นางวัณฬาแล้วทูลแถลงแจ้งกิจจาให้ทราบ
ค
นางละเวงเพ่งพิศคิดสังเวช |
น้ำพระเนตรหลั่งลงน่าสงสาร |
เพราะสัตย์ซื่อถือนายสู้วายปราณ |
โปรดประทานศพไว้ให้ยันตัง |
เลื่อนศีรษะเป็นพระอุปราช |
บรรจุไว้ในปราสาทบาทหลวงฝัง |
พอผู้ถือหนังสือของนางรำภาส่าหรีมาเฝ้าในใบบอกว่านางได้รักษาด่านได้ฆ่าข้าศึกล้มตายไปหลายพัน
ข้าศึกยังถอยไปตั้งมั่นอยู่ บิดาของนางหายไปยังไม่กลับมา ถ้าแม้นไม่ไปช่วยให้ทัพในวันรุ่งก็เหลือกำลังที่จะรักษาด่านไว้ได้
ค
นางทรงฟังสรรเสริญว่าเกินหญิง |
ขยันยิ่งเสียกว่าชายนายทหาร |
ให้ตั้งนางต่างบิดาบัญชาการ |
เป็นผู้ผ่านพารารักษาเมือง |
ทั้งเครื่องยศกลดกระบี่มีสำหรับ |
หมวกประดับขนนกการเวกเหลือง |
เสื้อสุหร่ายลายทองดูรองเรือง |
ทั้งเกราะเครื่องแต่งรบมีครบครัน |
แล้วตั้งยังตังเป็นปลัดด่านคุมทหารหมื่นหนึ่ง
แต่งตั้งให้วิรุญกับกุนตันเป็นขุนนาง ให้ยกพลคนละหมื่นไปรักษาด่านไว้ทั้งสามคนรีบคุมกำลังเดินทางไปทั้งกลางวัน
และกลางคืน เป็นเวลาสองวันครึ่งก็ถึงค่ายดงตาลราย แล้วแจ้งความตามรับสั่งให้นางรำภาทราบ
พอนางอ่านดูรู้ว่าบิดาตายก็เสียใจล้มสลบไป
|