สรุปสถานการณ์ใน
จชต.๑ - ๓๑ ส.ค.๕๑
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญใน จชต.ในช่วง ๑ - ๓๑ ส.ค.๕๑ ยังคงได้แก่การก่อเหตุ
ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้มีจำนวน ๑๐๑ เหตุการณ์
สูงกว่าการก่อเหตุจำนวน ๘๖ เหตุการณ์ ใน ก.ค.๕๑ โดยเป็นการก่อเหตุต่อเป้าหมายที่เป็น
hard target ค่อนข้างชัดเจน และอย่างค่อนข้างมีคุณภาพ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากแนวร่วมมีความพร้อมในการก่อเหตุครั้งใหญ่
แต่โอกาสยังไม่เอื้ออำนวย และการฉวยโอกาสจากความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
โดย จ.ปัตตานี มีการก่อเหตุสูงสุด ๓๖เหตุการณ์
รองลงมาได้แก่ จ.นราธิวาส ๓๕ เหตุการณ์ จ.ยะลา
๒๓ เหตุการณ์ และ จ.สงขลา ๑๐ เหตุการณ์ อย่างก็ตามในการก่อเหตุดังกล่าว
มีการหลอกล่อให้ จนท.เข้าไปโดนระเบิดอย่างได้ผลถึง ๒ ครั้ง น่าจะแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมอย่างยิ่งของทั้ง
จนท.และเครื่องมือในการตรวจจับวัตถุระเบิด
การตรวจค้น/จับกุมอันเป็นมาตรการสกัดการเคลื่อนไหวอย่างเสรี
และการป้องปรามการก่อเหตุครั้งใหญ่ ที่ได้ผลในระดับหนึ่งนั้นดูเหมือนว่ากำลังจะตกอยู่ในสภาพของ
"จุดแข็งที่อาจกลายเป็นจุดอ่อน" อย่างน่าวิตก จากความพลาดพลั้งในการปฏิบัติที่ไม่แนบเนียนของ
จนท.และจากการที่บรรดาแกนนำแนวร่วมและ sympathizer ตั้งแต่สถาบัน....นาง....ตลอดจน
นาย...พยายามเข้ามาเคลื่อนไหวสกัดกั้นด้วยการหาวิธี discredit รัฐบาล
บั่นทอนคงวามมั่นใจของ จนท.และสร้างความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติและศาสนาอย่างได้ผล
ดังจะเห็นได้ชัดจากกรณีการตรวจค้นปอเนาะดาลอที่ จ.ปัตตานี ซึ่งทางกลุ่มแกนนำและ
sympathizer สามารถกดดันจนทางการต้องเปิดการเจรจา และยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของปอเนาะในที่สุด
ซึ่งผลจากการเพลี้ยงพล่ำของรัฐในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้บรรดานักศึกาาอิสลามซึ่งได้เพลาบทบาทลงตั้งแต่กลาง มิ
.ย.๕๐ โหมกระแสเข้าไปแทรกแซงการตรวจค้น/จับกุมนักศึกษาที่ จ.ยะลา ได้อีกครั้งหนึ่ง
และล่าสุดคือการทำหนังสือเรียกนางแยนะ สะแลแม นักสิทธิมนุษยชนท้องถิ่นให้ไปพบ
อันเป็นการเปิดโอกาสให่สื่อนำไปชี้นำให้สาธารณชนเห็นว่าทหารกำลังข่มขู่/คุกคามชาวบ้าน
การเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วมและ sympathizer
ในช่วงรายงานพบว่านอกจากจะกำลังมุ่งเพิ่มอภิสิทธิ์กับคนอิสลามแล้ว
ยังมุ่งเน้นการพลิกสถานการณ์ที่ดูเหมือนงจะเป็นรองทางด้านการทหาร โดยการสกัดกั้นมาตรการการตรวจค้น/ตรวจจับ
และการเรียกร้องขอเปิดการเจรจากับรัฐบาลไทย ขณะที่รัฐบาลยังคงพยายามซื้อใจอิสลามอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการให้เงินสนับสนุนผู้เดินทางไปทำพิธีทางศาสนาที่นครเมกกะ
และการขยายและเพิ่มทุนให้แก่นักศึกษาอิสลามในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนนำทั่วประเทศ
การก่อเหตุมีแนวโน้มจะมีจำนวนถี่ขึ้น โดยเฉพาะ
อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา เมื่อพิจารณาจากการประการแรก การที่แนวร่วมยังไม่มีโอกาสก่อเหตุครั้งใหญ่
ประการที่ ๒ การยกเลิกเคอร์ฟิวใน อ.ยะหา และ อ.กันยายนของทุกปี เป็นช่วงการสร้างผลงานของจข้าราชการให้เข้าตาผู้บังคับบัญชา
และโดยเฉพาะใน จชต. ข้าราชการจะชะลอการทำงานหรือการกระทำใด
ๆ อันจะเป็นการเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหรือทำให้อิสลามไม่พอใจ
การก่อเหตุที่มุ่งเน้นต่อ
การก่อเหตุในช่วง ๑ - ๓๑ ส.ค.๕๑ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่ามีการก่อเหตุ
๑๐๑ เหตุการณ์ สูงกว่าการก่อเหตุ จำนวน ๘๖ เหตุการณ์
ในช่วง ๑ - ๓๑ ก.ค.๕๑ โดย จ.ปัตตานี มีการก่อเหตุสูงสุด
๓๖ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.นราธิวาส ๓๓ เหตุการณ์
ขณะที่ จ.ยะลา มีการก่อเหตุ ๒๓ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา
มีการก่อเหตุ ๑๐ เหตุการณ์ โดบยแยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล
๕๕ เหตุการณ์ (รวมการฟัน ๒ เหตุการณ์ และแทง ๑ เหตุการณ์) รองลงมาคือการวางระเบิด
๒๗ เหตุการณ์ กดารซุ่มโจมตี/ยิง ๑๕ เหตุการณ์ การวางเพลิง/เผา ๓ เหตุการณ์
และการก่อกวน ๑ เหตุการณ์ โดยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม ๑๗๗ คน แยกเป็นไทยพุทธทั้งจนท.และชาวบ้านเสียชีวิต
๗ บาดงเจ็บ ๙๐ คน รวม ๙๗ คน ขณะที่อิสลามเสียชีวิต ๒๖ คน บาดเจ็บ ๕๔ คน รวม
๘๐ คน
ทั้งนี้การก่อเหตุมีลักษณะของการมุ่งกระทำต่อเป้าหมายทหาร/ตำรวจ และในลักษณะที่ไม่สามารถก่อเหตุใหญ่ได้
แม้จะมีความพร้อมหากโอกาสไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งมีลักษณะเป็ยนการกระทำของผู้ที่ได้รับการฝึกมาแล้ว
โดยเฉพาะมีการลวง จนท.เข้าไปติดกับถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรก ม.๒ ต.กอลำ อ.ยะรัง
เมื่อ ๑๐ ส.ค.๕๑ แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ครั้งที่ ๒ ที่ม.๗ ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์
เมื่อ ๑๓ ส.ค.๕๑ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม ๑๐ คน และครั้งที่ ๓
ที่เขตเทศบาล อ.สุไหงโกลก เมื่อ ๒๑ ส.ค.๕๑ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวม
๓๕ คน นอกจากนี้ยังพบว่า ความเป็นไทยพุทธยังคงเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง
โดยเห็นจากการลอบวางละเบิดบริเวณท่าเรือ
ม.๓ ต.เกาะสะท้อน ต.ตากใบ เมื่อ ๑๔ ส.ค.๕๑ ซึ่งทำให้คนงานไทยพุทธบาดเจ็บ ๘
คน และการลอบวางระเบิดที่เขตเทศบาล อ.สุไหงโกลก เมื่อ ๒๑ ส.ค.๕๑ ซึ่งทำให้คนไทยพุทธบาดเจ็บและเสียชีวิต
รวม ๓๐ คน
การตรวจค้น/จับกุม
"จากจุดแข็งที่กำลังกลายเป็นจุดอ่อน"
สำหรับยการตรวจค้น/จับกุม อันเป็นมาตรการสกัดการเคลื่อนไหวอย่างเสรี และการป้องปรามการก่อเหตุครั้งใหญ่ที่ได้ผล
ในระดับหนึ่งนั้น ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสภาพของ "จุดแข็งที่อาจกลายเป็นจุดอ่อน"
อย่างน่าวิตก จากความพลาดพลั้งในการปฏิบัติที่ไม่แนบเนียน และจากการที่บรรดาแกนนำแนวร่วมและsympathizer
เข้ามาเคลื่อนไหว
รัฐบาล บั่นทอนความมั่นใจของ จนท. และสร้างความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติและศาสนา
โดยเฉพาะในกรณีปอเนาะดาลอ ซึ่งทำให้ จนท.ต้องเปิดการเจรจา และจ่ายค่าชดเชยใให้กับทางปอเนาะในที่สุด
ต่อมาเมื่อมีการตรวจค้นและจับกุมนักศึกษา ๕ คน (นายอิสมาแอ เต๊ะ นายอามีซี
มานาก นายรุสลัน ตุหยง นายแวรอซี ลาเต๊ะ และนายมะรอมลี ลาเต๊ะ) ที่ในเขตเทศบาลนครยะลา
เมื่อวันที่ ๑๕ ส.ค.๕๑ ก็ปรากฎว่ากลุ่มองค์กรเอกชน อาทิ ฮิวแมน ไรท์ วอชท์
และองค์กรนิรโทษกรรมสากล รวมทั้งเครือข่ายนักศสึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน กลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษาชายแดนใต้
และองค์กรภาคีก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องและชี้นำให้สังคมหวาดระแวงต่อการปฏิบัติการของ
จนท.อีกเช่นกัน ทั้งโดยการออกแถลงการณ์และการชุมนุมแสดงความไม่พอใจ จนต้องมีการเจรจาและยินยอมให้กลุ่มนักศึกษาเข้าเยี่ยมผู้ที่ถูกจับกุม
การเคลื่อนไหวของแนวนำแนวร่วมและ sympathizer
การเคลื่อนไหวของแนวนำแนวร่วมและ sympathizer ในช่วงรายงานพบว่านอกจากการมุ่งเน้นการพลิกสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นรองทางด้านการทหาร
โดยการสกัดกั้นมาตรการตรวจค้น/ตรวจจับ และยังพบการเรียกร้องขอเปิดการเจรจากับรัฐบาลไทย
เพื่อผ่อนคลายแรงกดดันจากมาตรการป้องปรามการก่อเหตุของรัฐบาลไทย รวมทั้งการมุ่งกดดันให้ทางราชกสารไทยเพิ่มอภิสิทธิ์กับคนอิสลามอีกด้วย
สถาบัน....นำประเด็นการตรวจค้น รร.สมบูรณ์ศาสน์/ปอเนาะดาลอ ม.๕ ต.ตันหยงดาลอ
อ.ยะหริ่ง เมื่อ ๑ ส.ค.๕๑ มาลงเป็นบทความ ๒ บทความ บทความแรก เสียงครวญจากปอเนาะดาลอ
ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และบทความที่สอง รัฐหวั่นน้ำผึ้งหยดเดียว เปิดเวทีเคลียร์ใจปอเนาะดาลอ
ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างด้าว เพื่อชี้นำให้เห็นว่ารัฐบาลกระทำรุนแรงเกินไปเป็นการไม่ให้เกียรติสถาบันอันเก่าแก่
พร้อมทั้งคุกคามที่จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก จนในที่สุดเมื่อ ๕ ส.ค.๕๑ หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งพลเรือน
ตำรวจ ทหาร ได้ตัดสินใจจัดเวทีเพื่อสร้างความเข้าใจขึ้นที่สถาบันปอเนาะสมบูรณ์ศาสน์
พร้อมทั้งต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับปอเนราะแห่งนี้เพื่อลดแรงกดดัน
- นาง....ได้ส่งอาสาสมัครเข้าไปยังปอเนาะดาลอ จ.นราธิวาส เช่นเดียวกับ เคยที่เข้าไปแทรกแซงการดำเนินการของ
จนท.ที่ปอเนาะยือนือเระ จ.นราธิวาส มาแล้ว พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ชี้นำสังคมให้เห็นว่า
มีความไม่ชอบมาพากลในการตรวจค้น พร้อมทั้งกดดันให้ จนท.ฝ่ายความมั่นคงและนิติวิทยาศาสตร์เปิดเผยข้อเท็จจริง
และส่งเรื่องให้มีการไต่สวนการตายโดยไม่ชักช้า เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหมด
- นาย...จากโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
พยายามชี้นำให้สังคมเห็นว่านักศึกษาทั้ง ๕ คน จะไม่ได้รับความเป็นธรรม พร้อมทั้งเตรียมประสานเพื่อขอเข้าเยี่ยมนักศึกษากลุ่มนี้
- นาย ....ประธานเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.) และสมาชิกสหพันธ์นิสิตนักศึกษา
แห่งประเทศไทย (สนนท,) เรียกร้องให้ภาครัฐชี้แจงเหตุผลของการจับกุมอย่างตรงไปตรงมาด้วย
เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และต้องดำเนินการจับกุมนักศึกษาตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด
- กลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา.....และองค์กรภาคี จำนวน ๑๔๐ คน ชาย ๖๐ คน หญิง
๘๐ คน ได้เดินทางมาร่วมชุมนุมบริเวณหน้า ศฝร.ภ.๙ เมื่อ ๒๔ ส.ค.๕๑ เพื่อแสดงความไม่พอใจ
กรณี จนท.ฉก. ๑๑ จับกุมนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา จำนวน ๕ คน เมื่อ ๑๕
ส.ค.๕๑ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางการชี้แจงเหตุผลของการจับกุมนักศึกษาดังกล่าว
สาธารณชนต่อภาคอย่างตรงไปตรงมา
- นาย...สส.จากพรรคเพื่อแผ่นดิน อภิปรายในสภาเมื่อ ๗ ส.ค.๕๑ แสดงความไม่พอใจกรณีนักเรียนพยาบาลอิสลาม
๓,๐๐๐ คน ที่กระจายไปศึกษาตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ เกิดความไม่พอใจและอึดอัดใจต่อกฎ
ระเบียบของ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช และวิทยาลัย ฯ ตรัง จนต้องทำหนังสือร้องเรียนมาที่นาย....พร้อมทั้งคุกคามว่าหากกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่เร่งแก้ไขแล้วเหตุการณ์จะลุกลามขยายวง
กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติและศาสนา ที่สำคัญมีการปราบปรามไม่ให้
จนท.เข้าไปใช้บรรดานักเรียนพยาบาลอิสลามเป็นหูเป็นตา/เสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ
โดยอ้างว่าพยาบาลต้องเป็นกลางในการดูแล และคุ้มครองคนเจ็บป่วย
- นาย ....หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศขององค์กรปลอดปล่อยรัฐปัตตานีหรือพูโล
(Patani United Liberation : PULO ) ให้สัมภาษณ์ชี้นำให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นใน
จชต.เป็นผลมาจากความพยายามในการต่อสู้เพื่อรักษาวัฒนธรรมของชาวมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย
ที่ถูกทางการไทยล่วงละเมิด พร้อมทั้งเร่งรัฐให้รัฐบาลไทยเปิดการเจรจาสงบศึกกับ
PULO โดยอ้างว่าเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การยุติความขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย
- วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี)
และโครงการพัฒนาหลักสูตรปอเนาะ หรือ ซีพีอาร์ - โปรเจค (CPR - Project
) มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาอิสลามชั้นสูงในประเทศไทย
ร่วมกับสถาบันนานาชาติแห่งแนวคิดอิสลาม (The Internation Institute Thought
- IIIT ) มาเลเซีย กำหนดจัด "การประชุมวิชาการนานาชาติว่าด้วยระบบการศึกษาอิสลามในสังคมกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อยเป็นมุสลิม
ยุทธศาสตร์และภาพกว้าง ระหว่าง ๒๓ - ๒๕ ส.ค.นี้ ที่หอประชุมเช็คดาวุด อัลฟะฏอนี
วิทยาลัยอิสลามศึกษา (วอศ.) ม.อ.ปัตตานี
การซื้อใจอิสลามของทางราชการยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ขณะอิสลามกำลังรุกคืบกดดันให้รัฐบาลยอมรับความเป็นอิสลามที่ต้องมีอภิสิทธิ์และต้องได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
อยู่นั้นก็ปรากฎว่ารัฐบาลยังคงพยายามซื้อใจอิสลามอย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วงรายงานทั้งการให้เงินสนับสนุนผู้เดินทางไปทำพิธีทางศาสนาที่นครเมกกะ
และการขยายและเพิ่มทุนให้แก่นักศึกษาอิสลามในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ
- สั่งให้ผ่อนปรนลดเวลาเคอร์ฟิว (มาตรการห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาล) ในพื้นที่
อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เนับถือศาสนาอิสลาม ได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มที่
- ขยายเวลาการให้ทุนนักเรียนอิสลามใน จชต.เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
๙ แห่ง ที่หมดวาระลงในปีการศึกษา ๒๕๕๑ ต่อไปอีก ๕ ปี (๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) อีกทั้งยังเพิ่มทุนการศึกษาจากเดิม
๑๖ ทุน เป็น ๔๔ ทุน เพื่อให้ครบ ๔๔ อำเภอ อีกทั้งเพิ่มวงเงินทุนจาก ๒๐,๐๐๐
บาท เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท สำหรับสายวิทย์ และ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็น ๓๐,๐๐๐ บาท สำหรับสายอักษร
นอกจากนี้ยังมีโครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี ๒๕๕๑
- ๒๕๕๕ อีก ๕๐๐ ทุน
- เปิดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจญ์ ประจำปี ๒๕๕๒ ของจัวหวัดชายแดนภาคใต้
รุ่นที่ ๑ จำนวน ๑,๕๐๐ คน โดยการอบรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้มีความรู้ความเข้าใจ
ในหลักการ และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อให้การประกอบพิธีดำเนินไปอย่างครบสมบูรณ์ตามหลักศาสนา
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ส่งคณะอามีรุ้ลฮัจญ์ และ จนท.จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอ.บต.) ไปดูแลอย่างใกล่ชิดอีกด้วย ขณะที่ ศอ.บต.ก็จะให้เงินช่วยเหลือผู้ที่จะเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์
๘๘ ราย ๆ ละ ๑ แสนบาท ถ้าเป็นหญิงเพิ่มคนติดตามอีก ๑ คน
|