สรุปสถานการณ์ใน
จชต.๑ - ๓๑ ธ.ค.๕๑
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจใน จชต.ระหว่าง ๑ - ๓๑ ธ.ค.๕๑ ยังคงได้แก่การก่อเหตุซึ่งเท่าที่รวบรวมได้มีจำนวน
๑๑๘ เหตุการณ์ โดย จ.ปัตตานีมีการก่อเหตุมากที่สุดคือ ๓๙ เหตุการณ์ ขณะที่
จ.นราธิวาส และ ยะลามีการก่อเหตุเท่ากันคือ จังหวัดละ ๓๗ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลามีการก่อเหตุเพียง
๕ เหตุการณ์ ทั้งนี้พบว่าการก่อเหตุที่ดูเหมือนจะมุ่งเน้นการลอบวาง
ระเบิดซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัยที่สุดในการเพิ่มสติถิ โดยเพิ่มการลอบวางระเบิดต่อเป้าหมายซึ่งเป็น
soft target ที่เป็นไทยพุทธด้วย โดยไม่คำนึง หากจะมีคนอิสลามเข้ามาบาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วยในลักษณะของความย่ามใจ/ได้ใจ
ดังที่เคยเกิดขึ้นใน ต.ค.๔๙ ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่มีการยยึดอำนาจการปกครองเมื่อ
๑๙ ก.ย.๔๙
แกนนำแนวร่วมและ sympathizer อิสลาม กำลังเร่งสร้างประเด็นความไม่เป็นธรรม
มาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างบทบาทตนเองด้วยการนำเสนอและยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล
ซึ่งในบางประเด็นได้กลายมาเป็นการตอกย้ำความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นการชี้นำให้เห็นว่ารัฐเอื้อไทยพุทธมากกว่ามลายูอิสลาม การแสดงความข้องใจ/ไม่ไว้วางใจกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง
หรือการแสดงการเป็นตัวแทนอิสลามต่อรองกับรัฐบาล
ที่สำคัญคือ มีการรวมตัวเป็นกลุ่มพลังร่วมอาชีพอันจะมีผลต่อการต่อรองและการตัดสินใจของรัฐบาล
ขณะที่พบว่าชาวบ้านอิสลามมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อทางการมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการไม่อาบน้ำศพผู้เสียชีวิต การไม่ยอมให้ จนท.เข้าไปตรวจสอบผู้เสียชีวิต
การไม่ยอมให้ปากคำต่อ จนท.ของผู้บาดเจ็บ และการไม่ยอมให้ทหารพัฒนาตั้งฐานในพื้นที่
อย่างไรก็ตามปรากฎว่ารัฐบาลก็ยังคงมุ่งมั่นซื้อและรักษาน้ำใจอิสลามต่อไป
ทั้งโดยการประกาศจะดูแลกันเป็นการพิเศษ การตัดสินปล่อยตัวผู้ต้องหา และการเตรียมนำผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนอิสลามให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการบริหารและการปกครองพื้นที่ของตนเอง
ขณะที่การตรวจค้น/จับกุม ในช่วงรายงานยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น ซึ่งทำให้การจับกุมและวิสามัญแกนนำและแนวร่วมคนร้ายได้อย่างน่าพึงพอใจ
แนวโน้มของสถานการณ์
แนวโน้มของสถานการณ์ใน จชต. ในกรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเชื่อว่าน่าจะเลวร้ายลง
เมื่อพิจารณาจาก
๑. น่าจะมีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานทหารผ่าน กอ.รมน.กับหน่วยงานพลเรือนผ่านการตั้งสำนักงานบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
(สบ.ชต.) จะทำให้การประสานแก้ปัญหา จชต.ที่กำลังได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมต้องสะดุดลงอย่างน่าเสียดาย
๒. กลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาลกำลังเน้นใช้มลายูอิสลามเป็นเครื่องมือสะท้อนความไม่เป็นธรรมเพื่อ
discredit รัฐบาล ซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการใช้ความเด็ดขาดต่อแนวร่วมอิสลาม
ที่กำลังสัมฤทธิ์ผลอยู่
๓. การเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับการหนุนช่วยจากอิสลามผ่าน พธม.น่าจะทำให้เกิดการต่อรองผลประโยชน์ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย
จะส่งผลกระทบต่อขวัญ กำลังใจทำให้ผู้ปฏิบัติในพื้นที่เกิดความลังเลและไม่กล้าตัดสินใจ
สถิติและนัยของการก่อเหตุ<
การก่อเหตุในช่วง ๑ - ๓๑ ธ.ค.๕๑ เท่าที่รวบรวมได้ สรุปได้ว่า มีการก่อเหตุ
๑๑๘ เหตุการณ์ เพิ่มขึ้นจาก ๑๐๐ เหตุการณ์ใน
พ.ย.๕๑โดยเป็นการก่อเหตุกระจายกันไป ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน โดย จ.ปัตตานีมีการก่อเหตุสูงสุด ๓๙ เหตุการณ์ ทั้งนี้ อ.ยะรัง
มีการก่อเหตุสูงสุด ๑๕ เหตุการณ์ และ อ.สายบุรี ๗ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.นราธิวาส
๓๗ เหตุการณ์ โดย อ.บาเจาะ มีการก่อเหตุสูงสุด ๘ เหตุการณ์ และ อ.รือเสาะ
๗ เหตุการณ์ เท่ากับ จ.ยะลา การก่อเหตุ ๓๗ เหตุการณ์ โดย อ.เมือง มีการก่อเหตุสูงสุด
๑๓ เหตุการณ์ และ อ.รามัน ๑๑ เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา
มีการก่อเหตุเพียง ๕ เหตุการณ์ เท่านั้น โดยแยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล
๕๖ เหตุการณ์ รองลงมาคือการวางระเบิด ๒๘ เหตุการณ์ (เป็นการวางระเบิด Hard
Target ๑๗ เหตุการณ์) การซุ่มโจมตี (hard target ) เกิดขึ้น
๑๗ เหตุการณ์ การวางเพลิง/เผา ๑๐ เหตุการณ์ และการก่อกวน เหตุการณ์
อาทิ การถอดน๊อตเสาไฟฟ้า หมุดรางรถไฟ ยิงกราดบ้านเรือน เผาเรือน โยนระเบิดใส่รถ
๗ เหตุการณ์
ข้อสังเกตุของการก่อเหตุใน ธ.ค.๕๑
พบว่ามีลักษณะของ
๑. การรุกเพื่อเป็นฐานพลังให้กับแกนนำที่เป็นนักการเมืองและที่แอบแฝงอยู่ในรูปขององค์กรเอกชน/
หากมีข้อเสนอต่อรองจากรัฐบาล
๒. ความย่ามใจ/ได้ใจ ในลักษณะเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเกือบตลอดปี ๒๕๕๐
๓. การวางระเบิดโดยเฉพาะการมุ่งเป้าต่อ soft traget ที่เป็นไทยพุทธ
โดยไม่คำนึงหากจะมีคนอิสลามเข้ามาบาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วย ในลักษณะเดียวกับที่เคยเกิดใน
ต.ค.๔๙
๔. การกระจายการกอ่เหตุใน ๓ จชต.ให้มีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งหากจะเกิดการจต่อรองใด
ๆ ขึ้น น้ำหนักการต่อรองจะได้ครอบคลุมทั้ง ๓ จังหวัด
๕. การสูญเสียของ จนท.ในช่วงรายงานสูงขึ้นอย่างน่าวิตกดังเช่นกรณีการหลอกล่อให้
จนท.ไปติดกับโดนระเบิด ที่ร้านขายของชำ ม.๑ ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม
๕ ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านบาดเจ็บ ๑๒ ราย เมื่อ ๕ ธ.ค.๕๑ กรณีการลอบวางระเบิดข้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล
(อบต.) บูกิต หมู่ ๑๒ ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง ทำให้ทหารบาดเจ็บ ๘ ราย เมื่อ
๒๓ ธ.ค.๒๕๕๑ กรณีการซุ่มยิง จนท.ทหารร้อย ร.๑๕๒๒ ที่ ม.๙ ต.ปะแต อ.ยะหา เป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต
๑ นาย บาดเจ็บ ๓ นาย เมื่อ ๒๙ ธ.ค.๕๑ กรณีการสดักซุ่มยิง จนท.ทหารสังกัดร้อย
ร.๘๐๑๓ ที่ ม.๕ ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ซึ่งทำให้ทหารเสียชีวิต ๑ นาย
บาดเจ็บ ๖ นาย เมื่อ ๒๙ ธ.ค.๕๑
การตรวจค้น/จับกุม
การตรวจค้น/จับกุม ในช่วงรายงานยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น ซึ่งทำให้การจับกุมและวิสามัญแกนนนำและแนวร่วมคนร้าย
ได้อย่างน่าพึงพอใจ ทั้งนี้ การตรวจค้นและจับกุมที่สำคัญ อาทิ
- การจู่โจมตรวจค้นบ้านของนายดอเลาะ โต๊ะโมง
ที่หมู่ ๕ ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ เมื่อ ๔ ธ.ค.๕๑จนสามารถจับกุมนายนาซรูดิง
มาเยาะกาเซะ ผู้ต้องหา คดีสังหาร น.ส.จูหลิง
ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงรือปะ ต.เฉลิม อ.ระแงะ คดียิงเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนังงานรถไฟเสียชีวิตบนขบวนรถไฟสายนครศรีธรรมราช
เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๕๑ และคดียิงนางลัดดา สุทธามณี เจ้าของร้านขายเสื้อผ้า หลังสถานีรถไฟลาโล๊ะ
อ.รือเสาะ เสียชีวิตเมื่อ ๒ พ.ย.๕๑
- การจับกุมตัว นายตูรีคี มะตง และนายมะรอเซะ
ดือราแม ผู้ต้องหา คดีลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่บริเวณลานจอดรถตลาดกลางผลไม้และหน้าร้านน้ำชาตรงข้ามที่ว่าการอำเภอสุคิริน
อ.สุคิริน จ.นราธิวาส เมื่อ ๔ พ.ย.๕๑
- การปิดล้อมหมู่บ้าน ปะกาลือสง หมู่ ๖ ต.ตุยง อ.หนองจิก เมื่อ ๑๒ ธ.ค.๕๑
ซึ่งสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาและผุ้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงได้จำนวน ๖ คน
ซึ่งในจำนวนนี้คือ นายมูหามัด เจะและ แกนนำในพื้นที่
- การปิดล้อมการตรงวจพื้นที่ บ้านลำดา ม.๓ ต..ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา และได้เกิดยิงปะทะกับกลุ่มคนร้าย
เป็นเหตุให้ จนท.ตร.ได้รับบาดเจ็บ ๑ นาย คนร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ๑ คน
และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ ๘ คน เมื่อ ๒๑ ธ.ค.๕๑
ข้อสังเกต ของการตรวจค้นและจับกุม
๑. การจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยในบริเวณที่เกิดเหตุ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
โดยผู้ถูกจับกุมบริเวณที่เกิดเหตุทั้งหมด ไม่เคยมีหมายจับและไม่มีประวัติและไม่ใช่แกนนำแนวร่วม
ขณะที่การโปรยตะปูเรือใบหรือตัดต้นไม้ขวางทางเพื่อสะกัดกั้นการติดตามของ จนท.กลับไม่ค่อยพบ
๒. การมอบตัว/แสดงตัวของผู้หลงผิด ซึ่งมีทั้งชาวบ้าน
ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่น รวม ๑๕๘ คน จากพื้นที่
๖ หมู่บ้านของ ๒ ตำบล คือ ต.สาวอ ๕๘ คน และ ต.บาตง จำนวน ๑๐๐ คน เมื่อ ๑๑
ธ.ค.๕๑ นำมาโดยแกนนำแนวร่วมจาก ต.สาวอ
ความเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วมและsympathizer
อิสลาม
นักวิชาการ/NGO /ทนายความอิสลาม ได้ฉวยโอกาสที่รัฐบาลยังตั้งตัวไม่ติด ระดมเสนอข้อเรียกร้องต่าง
ๆ เพื่อเสริมสร้างบทบาทของกลุ่ม และเพิ่มความเข้มข้นของมลายูอิสลาม ซึ่งในบางประเดินได้กลายมาเป็นการตอกย่ำความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นการชี้นำให้เห็นว่ารัฐเอื้อไทยพุทธมากกว่ามลายูอิสลาม การแสดงความข้องใจ/ไม่ไว้วางใจกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง
หรือการแสดงการเป็นตัวแทนอิสลามต่อรองไม่ให้มีการตั้งหน่วยทหารพัฒนาในที่ดินอิสลาม
ที่สำคัญคือมีการรวมตัวเป็นกลุ่มพลังร่วมอาชีพ
อันจะมีผลต่อการต่อรองและการตัดสินใจของรัฐบาล ขณะที่ ชาวบ้านอิสลามมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อทางการมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการไม่อาบน้ำศพผู้เสียชีวิต การไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบผู้เสียชีวิตและไม่ยอมให้ทหารพัฒนาตั้งฐานในพื้นที่
การเคลื่อนไหวของแกนนำ และ sympathizer
- ผศ.....อาจารย์ประจำวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
(ม.อ.ปัตตานี) กล่าวหาว่ารัฐลำเอียงเข้าข้างไทยพุทธ โดยยกตัวอย่างการสนับสนุนอาวุธป้องกันตนเองว่า
หมู่บ้านชาวไทยพุทธได้รับการสนับสนุนอาวุธจากทางการ ขณะที่ชุมชนอิสลามไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน
- สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย นำโดยนาย.....ตัวแทนทนายความ - นาย.....หัวหน้าฝ่ายสิทธิมนุษยชน
สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย และ น.ส.....ผู้ประสานงานโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมร่วมมือกับตัวแทนทนายความหลายประเทศในอาเซียน เตรียมจัดตั้ง
"สมาคมทนายความมุสลิมอาเซียน"
ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อสร้างพลังในการเรียกร้องสิทธิและความถูกต้องให้กับประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้
- นาย ....หัวหน้าฝ่ายสิทธิมนุษยชน สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.)แสดงความไม่เชื่อมั่นว่าการใช้กฎหมายความมั่นคงแล้วจะไม่มีการละเมิดหลักการตามกฎหมาย
การเบี่ยงเบนคดีและความโปร่งใสตรวจสอบได้
- น.ส....ผู้ประสานงานโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เสนอให้มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการอิสระเพื่อการตรวจสอบศึกษา
วิเคราะห์ การกำหนดนโยบายการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกาย ชื่อเสียง และทรัพย์สินของประชาชน" ขึ้น
- นาย .....เลขาธิการศูนย์ทหารความมุสลิม ต้องการให้มีองค์กรอิสระที่ไม่ใช่รัฐอยู่ในกระบวนการพิจารณาเบี่ยงคดีตามมาตรา
๒๑ เช่น สภาทนายความ เป็นต้น
- สถาบันอิศรา ตีพิมพ์บทความ ๓ บทความ เพื่อปลุกให้คนอิสลามเกลียดชัง/หวาดระแวงทหารมากขึ้น
ได้แก่ บทความเรื่องเหยี่อไฟใต้ฝากการบ้านถึงรัฐบาล ปชป. เรื่องกระสุนจากความหวาดระแวง..นาทีชีวิตของพ่อลูกบนรถเบรคแตกพุ่งชนด่านตรวจ
และเรื่องศาลยกคำร้องคดีประวัติศาสตร์ภารโรงหายตัวลึกลับภรรยาเหลี่ยร่ำไห้ลั้นขอสู้ต่อ
- นาย....แห่งโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิและอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ
เสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งสรุปได้ว่า ให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีอำนาจในการออกกฎระเบียบใด
ๆ เพื่อใช้ในการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรัฐจะต้องจัดสรรให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ
๗๐โดยเฉพาะต้องมีศาล
ชารีอะฮฺเพื่อตัดสินคดีความที่มีมุสลิมเป็นคู่กรณี แยกจากศาลทั่วไป
- รายการ "ดีสลาตัน ณ แดนใต้ ซึ่งริเริ่มโดยนาย.....ผู้อำนาวยการ ส.ส.ท.เป็นความพยายามรวมตัวกันของผู้แทนทั้งภาควิชาการ
ภาคประชาสังคมและสื่อท้องถิ่น เพื่อนำเสนอข้อมูลชายแดนใต้ และโดยเฉพาะข้อมูลจากโลกภายนอกที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมในภูมิภาคอื่น
ๆ และข่าวสารของประเทศมุสลิมเพื่อบ้าน
การเคลื่อนไหวของชาวบ้าน
- ชาวบ้านได้ให้เด็กปิดกั้นทางไม่ให้ จนท.เข้าไปภายในบ้านที่นายมูฮำหมัด บือโต
จาก ต.กอลำ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกยิงเสียชีวิต ทำให้ จนท.ไม่สามารถทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายได้
เมื่อ ๑ ธ.ค.๕๑
- ชาวบ้าน หมู่ ๕ ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี กว่า ๑๐๐ คน รวมตัวกันต่อต้านการตั้งฐานปฏิบัติการของทหารพรานในพื้นที่บ้านลานช้าง
โดยมีนักศึกษาและนักสิทธิมนุษยชนจากคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพของนาง .....เข้าร่วมแสดงบทบาทนำในการเจรจาจนเป็นผลสำเร็จ
- นายรุสลัน กาซอ นายมูฮำหมัดรุสลี ยีดา และ
นายบือราเฮง มูนะ
ซึ่งถูกยิงบาดเจ็บ เมื่อ ๒๖ ธ.ค.๕๑ ที่ ม.๒ ต.หนองจิก จ.ปัตตานี ไม่ยอมให้การกับเจ้าหน้าที่
- ญาติของนายดาโอ๊ะ เจ๊ะนิ
ซึ่งอยู่ในสังกัดของนาย....ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อ ๙ ธ.ค.๕๑ ไม่ได้มีการอาบน้ำศพ
ตามที่นายดาโอ๊ะ เคยสั่งไว้ก่อนเสียชีวิต
การซื้อใจอิสลามของรัฐบาล
๑. รัฐบาลเตรียมจัดตั้งองค์กรใหม่
โดยให้ผู้นำศาสนา ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบจ.เทศบาล อบต. กำนัน
ผุ้ใหญ่บ้าน และผุ้ทรงคุณวุฒิภาคประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอิสลามเข้าร่วมในการหยุดวงจรความไม่สงบและพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
๒. ผู้สมัครผู้ว่า กทม.สังกัด ปชป. ประกาศจะให้ความสำคัญกับอิสลามมากขึ้น
โดยจะสนับสนุน
๑. จัดให้มีการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรีบยนที่มีนักเรียนมุสลิม
ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป
๒.พัฒนาบุคลากรอิสลามศึกษา
๓. พิจารณาปรับอัตราค่าตอบแทนกับบบุคลากรอิสลามศึกษาและ
๔. เพิ่มโครงการบ้านหนังสือประจำมัสยิด เพื่อให้ชาวบ้านมุสลิมและเยาวชนสามารถเข้ารับการบริการได้สะดวก
และส่งเสริมความรู้ด้านต่าง ๆ นอกจากนี้จะมีมาตรการส่งเสริมการค้าอุตสาหกรรมค้าอุตสาหกรรมฮาลาล
คือส่งเสริมการขายและส่งออกอาหารมุสลิม เพื่อให้แม่บ้านชาวมุสลิม ประกอบอาหารที่มีรสชาติ
สามารถค้าขายในตลาดสากลได้
๓. ยกฟ้อง นายกอเซ็ง หรืออูเซ็ง หรือมะนาเซ
หรือชาการิม เจาะเลาะ หรือเจาะเลาะ หรือเจ๊ะเล๊าะ "ซาการิม (pulo) จำเลยในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฎเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร
สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเพื่อเป็นกบฎ และสมคบกันเป็นช่องโจร เพื่อกระทำความผิด
เมื่อ ๑ ธ.ค.๕๑
แนวโน้มของสถานการณ์
สถานการณ์ใน จชต.มีแนวโน้มน่าจะเลวร้ายลง เมื่อพิจารณาจาก
๑. การสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่าง หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการควบคุม/แก้ไขปัญหาใน
๓ ๑ จชต. โดยเฉพาะสำนักงานบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สบ.ชต.) ที่จะตั้งขึ้นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์
กับ กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า ที่มีแม่ทัพภาคที่ ๔ เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งแย่งอำนาจและงบประมาณอันจะนำไปสู่การเป็นศัตรูกันระหว่างหน่วยงาน
ของทหารกับพลเรือนอย่างน่าวิตก
๒. กลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาลกำลังเน้น "ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม" ในการต่อสู้กับรัฐบาล
ดังนั้นจึงเชื่อว่า จะต้องมีการโหมกระพือประเด็นความไม่เป็นธรรมโดยการยกกรณีอิสลามใน
๓ จชต.มาใช้ในการ รัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการใช้ความเด็ดขาดต่อแนวร่วมอิสลาม
ที่กำลังสัมฤทธิ์ผลอยู่
๓. พธม. ซึ่งสามารถชุมนุมยือเยื้อได้ก็เพราะแรงหนุนจากอิสลามจากชายแดนใต้
ดังนั้นจึงน่าจะมีการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการฉวยโอกาสเรียกร้องต่อรองจาก
และนักการเมืองอิสลาม ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย ในเรื่องการปกครองแบบพิเศษตามวิถีอิสลาม
ที่มีศาลศาสนาเป็นของบตนเอง อันจะส่งผลกระทบทำให้ผู้ปฏิบัติในพื้นที่เกิดความลังเลและความไม่กล้าตัดสินใจ
|