สรุปสถานการณ์ใน
จชต.๑ - ๓๑ ต.ค.๕๑
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจใน จชต. ใน ต.ค.๕๑ ยังคงได้แก่ การก่อเหตุซึ่งดูเหมือนจะลดพลังลง
หากยังมีความพยายามที่จะรักษาระดับความถี่ของการก่อเหตุเอาไว้ ขณะที่การตรวจค้นและจับกุมอย่างต่อเนื่อง
ยังคงสามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหว และการก่อเหตุของแนวร่วมได้อย่างน่าพอใจ
จนทำให้แกนนำ แนวร่วมและผู้อุปถัมภ์ (sympathizers)
อิสลาม ต้องพยายามขัดขวางพร้อม ๆ ไปกับการ ทำลายความน่าเชื้อถือ (discredit)
รัฐบาล และการเพิ่มความแปลกแยก / ความเข้มข้นของการเป็นมลายูอิสลามใน ๓ จชต.
ด้วยการเพิ่มรูปธรรมของความแตกต่างด้านเชื้อชาติ และศาสนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขณะที่รัฐบาลก็ยังมุ่งมั่นซื้อใจอิสลามอย่างไม่ลดละ
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ครูไทยพุทธซึ่งเป็นผู้สืบสานของวัฒนธรรมไทยพุทธ
โดยเฉพาะภาษาไทยต้องถอยร่นออกจาก ๓ จชต.อย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้มของเหตุการณ์ในสภาวะที่การต่อสู้ของการเมือง
นอกสภากำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดุลยภาพ และดูเหมือนว่าฝ่ายรัฐกำลังจะได้เปรียบนั้น
ระดับความรุนแรง หรือการคลี่คลายปัญหาใน จชต. น่าจะขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติในพื้นที่เป็นสำคัญ
และน่าจะคุมสภาพได้หากหน่วยงานที่รับผิดชอบ สามารถประสานความร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ
สถิติและนัยของการก่อนเหตุ
การก่อเหตุในช่วง ต.ค.๕๑ เท่าที่รวบรวมได้ แม้จะไม่ครบถ้วน แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้นัยสำคัญของเหตุการณ์ผิดพลาดไปนั้น
สรุปได้ว่า มีการก่อเหตุ ๘๒ เหตุการณ์ ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการเกิดเหตุ
๙๕ เหตุการณ์ ใน ก.ย.๕๑ ทั้งนี้ จ.นราธิวาส มีการก่อเหตุมากที่สุด ๓๗
เหตุการณ์ โดย อ.
บาเจาะ มีการก่อเหตุสูงสุด
๘ เหตุการณ์ รองลงมาคือ จ.ปัตตานี มีการก่อเหตุ ๓๓ เหตุการณ์ โดย อ.ยะรัง
มีการก่อเหตุสูงสุด ๘ เหตุการณ์ ขณะที่ จ.ยะลา มีการก่อเหตุน้อยผิดปกติ ๑๐
เหตุการณ์ ส่วน จ.สงขลา มีการก่อเหตุเพียง ๒ เหตุการณ์ เท่านั้น โดยแยกเป็นการลอบยิงตัวบุคคล
๕๐ เหตุการณ์ รองลงมาคือ การวางระเบิด ๑๓ เหตุการณ์ (เป็นการวางระเบิดต่อ
เป้าหมายที่สามารถป้องกันตนเองได้ (Hard Target) ๘ เหตุการณ์) การซุ่มโจมตีเกิดขึ้น
๑๒ เหตุการณ์ การวางเพลิง / เผา ๗ เหตุการณ์
การก่อเหตุ ดูเหมือนจะลดลง หากยังมีความพยายามที่จะรักษาระดับความถี่ของการก่อเหตุ
โดยเฉพาะที่ จ.ปัตตานี ซึ่งแกนนำแนวร่วมดูเหมือนจะสันทัดการเมืองมากกว่า จ.ยะลา
และ จ.นราธิวาส นั้น พบว่าการก่อเหตุเริ่มถี่ผิดปกติ ในช่วงตั้งแต่ ๑๖ ตุลาคม
๒๕๕๑ เช่นเดียวกับ จ.นราธิวาส ขณะที่ จ.ยะลา ก็ได้มีความพยายามก่อเหตุ
เพื่อชดเชยกับความถี่ที่ลดลง ด้วยการลอบวางระเบิดบริเวณตลาดสดพิมลชัย
ในเขตเทศบาลนครยะลา ทำให้มีทหารบาดเจ็บสาหัส ๓ นาย และพลเรือน บาดเจ็บอีก
๕ คน เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๕๑ นอกจากนี้ ยังพบความพยายามจะแสดงศักยภาพต่อ เป้าหมายที่สามารถป้องกันตนเองได้
(Hard terget)
เพื่อคงไว้ซึ่งความฮึกเหิมและศรัทธาของแนวร่วม
ด้วยการลอบวางระเบิด และซุ่มโจมตีชุดลาดตระเวนของทหาร ๒๐ เหตุการณ์ ใกล้เคียงกับ
๒๓ เหตุการณ์ใน ก.ย.๕๑ ทั้งยังเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง และด้วยการก่อเหตุให้ได้หลายครั้งต่อวัน
ดังเช่นความพยายามก่อเหตุถึง ๗ เหตุการณ์ เมื่อ ต.ค.๕๑ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเผาสถานที่
และการลอบยิงตัวบุคคล
การตรวจค้นและจับกุมของเจ้าหน้าที่
ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และอย่างสัมฤทธิผล ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้ จำนวน
๙ ครั้ง สามารถสกัดกั้นการก่อเหตุ และการก่อเหตุครั้งใหญ่ ด้วยการวางระเบิดได้หลายครั้ง
อีกทั้งยังมีการจับกุมและกำจัดแนวร่วม คนสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ การตรวจค้นที่
ต.มะนังดาลำ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ๒ คน
เมื่อ ๑๔ ต.ค.๕๑ การตรวจค้น ๓ จุด ในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหา
ระดับปฎิบัติการ RKK ๑ คน พร้อมของกลาง เมื่อ ๑๕ ต.ค.๕๑ การตรวจค้นที่ ต.ดอน
อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ซึ่งคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต ๑ คน และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวน
๖ คน เมื่อ ๑๖ ต.ค.๕๑ การตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ๖๐ แห่ง ที่ อ.รือเสาะ
และ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งสามารถจับกุมตัวแกนนำฝ่ายเศรษฐกิจของกลุ่ม
RKK ได้ ๑ คน พร้อมผู้ต้องสงสัยอีก ๗ คน เมื่อ ๒๔ ต.ค.๕๑ การตรวจค้นที่
ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งคนร้ายเสียชีวิต ๒ คน เมื่อ ๒๔ ต.ค.๕๑ การตรวจค้นเป้าหมาย
๕ จุด ที่ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส พบแหล่งประกอบวัตถุระเบิด พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้
๕ คน เมื่อ ๒๙ ต.ค.๕๑ การตรวจค้นที่ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จำนวน ๒ จุด
สามารถตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม เครื่องกระสุน และวัตถุประกอบระเบิด ได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อ ๓๐ ต.ค.๕๑
อย่างไรก็ตามการปฎิบัติการ จะต้องรอบคอบ เนื่องจากมีการเฝ้าจับผิดเพื่อแข่งขันสร้างผลงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน
ซึ่งในช่วงรายงาน
ได้ออกมาส่งนัย ความไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าวแล้ว
ความเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วมและผู้อุปถัมภ์ (sympathizers) อิสลาม
ที่น่าสนใจในช่วงรายงานมีทั้งการพยายาม
รัฐบาล และทั้งความพยายามเพิ่มความเข้มข้นของการเป็นมลายูอิสลาม ใน
๓ จชต. ดังนี้
การทำลายความน่าเชื่อถือ (discredit)
รัฐบาล ด้วยการเข้าไปร่วมล้มล้างรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล
รวมทั้งการโหมซ้ำเติมเมื่อรัฐเกิดความผิดพลาด และพลาดพลั้ง และการรื้อฟื้นเหตุการณ์ตากใบ
ดังนี้
- ได้ออกแถลงการณ์ประฌามการใช้ความรุนแรง ในการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา
โดยอ้างว่า เป็นการปิดโอาสในการเจรจาเพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติ เช่นรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
ที่ประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการใช้ความรุนแรง
และคัดค้านการยกเลิกการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี ลงในวันที่
๑๘ เม.ย.๒๕๔๔ โดยอ้างว่า จะเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐ ใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติ
อีกทั้งยังเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
- ประฌามการใช้ความรุนแรงของภาครัฐ ในการสลายการชุมนุม รวมทั้งเรียกร้องให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทบทวนบทบาท
และเป้าหมายในการชุมนุม
- จัดงานรื้อฟื้นเหตุการณ์ตากใบ เพื่อตอกย้ำความแตกต่างของ จนท.ไทยพุทธ
กับชาวบ้านมลายูอิสลาม
- นำภาพเหตุการณ์ที่ตากใบ มาเปิดเผย เพื่อสรุปว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด
ประเทศหนึ่งของโลก
- ให้ความเห็นว่า รัฐพยายามถ่วงเวลาในการดำเนินคดีกับ จนท.
ความพยายามในการเพิ่มความเข้มข้นของการเป็นมลายูอิสลามใน
๓ จชต. ของผู้อ้างว่าเป็นมลายูอิสลาม
ยังเป็นไปอย่างมุ่งมั่น มั่นคง และต่อเนื่อง ดังนี้
- กำลังผลักดันให้รัฐบาลส่งมลายูอิสลามจาก ๓ จชต. ไปศึกษาวิชาแพทย์ต่อในต่างประเทศ
หลังจากประสบความสำเร็จ ในการส่งมลายูอิสลามเข้าศึกษาในสถาบันแพทย์ทั่วประเทศ
ด้วยวิธีพิเศษมาแล้ว
- อ้างความพร้อมของอิสลามใน ๓ จชต. เตรียมเดินทางไปศึกษาการดำเนินการของศาลชารีอะฮ์
ในต่างประเทศ มุสลิมและประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม
- พยายามกีดกันและต่อต้านการเคลื่อนย้ายของคนไทยจากภาคอื่น
และผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เข้าไปตั้งรกรากอยู่อาศัย และประกอบอาชีพใน
๓ จชต. ....ในขณะที่การส่งเสริมให้อิสลามใน
๓ จชต. กระจายตัวออกไปตั้งรกรากทั่วทุกแห่งของประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ เป็นต้นมา
ความเคลื่อนไหวของรัฐ
นอกเหนือจากการป้องปรามการก่อเหตุ ได้แก่ ความพยายามซื้อใจอิสลาม
ทั้งการสร้างงาน การออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำพิธีทางสาสนา และการเตรียมให้ผู้หลงผิดเข้ามอบตัว
โดยไม่ต้องโทษ
- กอ.รมน.
ได้จำทำโครงการสร้างงานให้อิสลาม ๖๐,๐๐๐ คน ระหว่าง กันยายน ๒๕๕๑ - กันยายน
๒๕๕๒ ซึ่งก็น่าจะเป็นปัญหาอยู่ เพราะการว่างงานของคนอิสลามส่วนหนึ่งอยู่ที่
ความไม่ต้องการจะทำงาน และไม่มีงานที่ต้องการจะทำให้ทำ
- ศอ.บต.
ได้นำเงินงบประมาณร่ายจ่ายแผ่นดิน มาเป็นค่าเดินทางให้กับอิสลามทั้ง ๙๔ คน
ๆ คนละประมาณ ๑๓๕,๐๐ บาท / คน เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจจ์ ซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มความรู้สึกถึง
ความไม่เป็นธรรมให้แก่ศาสนิกชนของศาสนาอื่น ๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย
- สมช.
ให้ความเห็นชอบที่จะให้นำ มาตรา ๒๑ ของกฎหมายความมั่นคง
ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิด ด้านความมั่นคง เข้ามอบตัว และจะไม่ถูกดำเนินคดีเอาผิด
ในลักษณะคล้าย ๆ กับการอภัยโทษอย่างอ่อน เหมือนกับนโยบาย ๖๖/๒๓ ที่แก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ในอดีตด้วย
มาใช้
การเคลื่อนไหวของคนไทยพุทธใน ๓ จชต.
ในช่วงรายงานพบว่า คนไทยพุทธทั้งชาวบ้าน และข้าราชการยังคงถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง
ดังนี้
- พบว่าเด็กวัยรุ่นไทย ในพื้นที่อิสลามกำลังประสบปัญหาการถูกหลอกล่อให้เข้าสู่วงการค้ายาเสพติด
และมีพฤติกรรมมั่วสุมกับอบายมุข ที่สำคัญคือ มีการใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือหากิน
อย่างน่าวิตกโดยกรณีแรกมักพบที่ อ.เบตง ส่วนกรณีหลังพบที่
ต.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา
- ข้าราชการครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต ๑ ยื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่
รีไทร์ ๙๕ คน แต่ทางสำนักงานเขตพื้นที่ ฯ สามารถพิจารณาให้เข้าโครงการได้เพียงร้อยละ
๕๐ ของจำนวนข้าราชการทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีครูที่ต้องการขอย้ายตัวเอง ออกจากพื้นที่อีกจำนวน
๒๓๖ คน อีกด้วย
- นายก อบต.ยะรม อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งได้รับการเลือกตั้งด้วยใบแดง
เมื่อ ๓๑ ส.ค.๕๑ ได้จัดม๊อบขับไล่ ปลัด อบต. เพราะไม่พอใจที่การเลือกตั้งครั้งนี้
มีคนไทยพุทธได้รับเลือกเข้ามาถึง ๙ คน และตนเองต้องใบแดง จนเป็นผลสำเร็จทำให้
ปลัด อบต. ต้องถูกโยกย้าย ภายใน ๒ พ.ย.๕๑
แนวโน้มของปัญหา
จุดรวมความเชื่อมั่น และศรัทธาของประชาชน ได้ถูกการเมืองฉุดลากลงมาทำลายแล้ว
อย่างสิ้นเชิง ทำให้การแพ้ชนะการทางเมือง ต้องไปขึ้นอยู่กับพลังของกลุ่มที่เอาด้วย
กับกลุ่มของตนเองเป็นสำคัญ อันจะทำให้การแพ้ชนะทางการเมืองต้องยืดเยื้อต่อไป
ระดับความรุนแรงของปัญหา ใน จชต. จึงขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติในพื้นที่เป็นสำคัญ
ซึ่งหาก จนม.สามารถประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยรับผิดชอบได้ ก็เชื่อว่าน่าจะคลี่คลาย
/ ควบคุม สถานการณ์ได้พอสมควร
อย่างไรก็ตาม การปลุกปั่น / ยุแยกให้ชาวบ้านเกลียดชังตำรวจ และไม่ไว้ใจทหาร
รวมทั้งการฉุดดึงสถาบันลงมาคลี่คลายภาวะความจนตรอก ได้มีส่วนทำให้ขวัญ / กำลังใจ
จนท./ ข้าราชการและศรัทธาของประชาชนใน จชต. ถอถอยลง จนส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ที่ดูเหมือนกำลังได้เปรียบ
แนวร่วมถดถอยลงอย่างน่าเสียดาย และปัยหาราคายางพาราตกต่ำ น่าจะเป็นอีกปัญหาที่พรรคการเมือง
จะเข้าไปแสวงประโยชน์ นำมาใช้แทรกแซง/ก่อความสับสนเพื่อ ทำลายความน่าเชื่อถือ
(discredit) รัฐบาล อันจะทำให้กระบวนการแก้ปัญหาการป้องปราม การเคลื่อนไหวของแนวร่วมมีอุปสรรคเพิ่มขึ้น
อนึ่ง พบว่าการก่อเหตุใน จ.ยะลา ในช่วงเวลารายงานเกิดขึ้นน้อยอย่างผิดปกติ
เมื่อเทียบกับการเกิดเหตุใน จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี ดังนั้น จึงเชื่อว่าแนวร่วมจะกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมก่อเหตุ
และน่าจะมีการก่อเหตุมากขึ้น ในช่วงเวลาต่อไป
|