ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี




  บทนำ

บทนำ

 

ดินแดนสุวรรณภูมิหรือบริเวณแหลมอินโดจีนแห่งนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศคือทิศเหนือจดกับจีนและลาว ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่าและมหาสมุทรอินเดีย ทิศใต้ติดกับมาเลเซีย และทิศตะวันออกติดกับลาวและเขมร หางนับรวมเอาประเทศทั้งหมดแล้วดินแดนส่วนนี้คือ แหลมทองหรือแหลมมหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีน นั้นเอง

 

ในโลกยุคดึกดำบรรพ์หลายร้อยล้านปีนั้น สภาพของแผ่นดินในแถบนี้ก็คงเหมือนกับสภาพเดียวกับแผ่นดินอื่น ตั้งแต่มีการเกิดโลกในระบบสุริยะของดาราจักรและสิ่งที่มีชีวิตที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งในการรู้ได้แต่ข้อสันนิษฐานและทฤษฎีของผู้ที่ศึกษาให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกได้หมด

 

โลกในระยะเริ่มแรกนั้นเป็นเพียงกลุ่มก๊าซที่หลุดจากวงจรดวงอาทิตย์ เมื่อกลุ่มก๊าซภายนอกนั้นได้เย็นลงเป็นเปลือกโลกที่หุ้มห่อก๊าซที่ยังร้อนอยู่ภายใน เปลือกในครั้งแรกนั้นเป็นดินผืนเดียวกัน

 

ต่อมาโลกได้สร้างก๊าซภายในตัวเองรั่วออกจากรอยแตกของผิวโลก และการระเบิดภูเขาไฟได้ปล่อยให้ก๊าซมีเทน (methane) คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย และไอน้ำ ขึ้นมาบนโลก อุกกาบาตจากอวกาศได้พุ่งชนบนโลก เสียดสีอากาศไหม้เป็นทางลงมาชั้นบรรยากาศบนโลก ก้อนหินร้อนแดงได้กระทบหินละลายที่อยู่บนโลก พร้อมกับนำคาร์บอนในรูปสารอินทรีย์มาสู่โลกจำนวนหลายล้านตัน จนโลกสั้นสะเทือนและหินละลายนั้นได้แตกกระจายอย่างน่ากลัว เช่นเดียวกับดาวหาง ซึ่งเป็นหินที่ฝังตัวอยู่ในน้ำแข็งก้อนขนาดใหญ่หลายตันจากนอกโลกก็พุ่งชนโลกพร้อมกับน้ำมาให้โลก แต่โลกยังร้อนจนน้ำนั้นระเหยเป็นไอน้ำไปแม้จะรวมตัวเป็นฝนก็ระเหยเช่นกัน ต่อให้มีไอน้ำรั่วออกมาจากโลกก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นทะเลหรือมหาสมุทรได้

 

โลกจึงระอุด้วยภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวพื้นโลกโดนถูกอุกกาบาตและดาวหางวิ่งชนสลับร้อนสลับเย็น ไม่มีออกซิเจน มีแต่เสียงหินเดือด เสียงระเบิดอยู่นับร้อยล้านปี จนดลกระบายความร้อนให้เย็นลงฝนตกลงมาถูกกับหินร้อนแล้วกลายเป็นไอน้ำจับตัวเป็นฝนตกหมุนเวียนอยู่เช่นนี้  จึงมีแอ่งน้ำใหญ่ในหลุมอุกกาบาตเกิดขึ้น น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำของโลกจึงทำให้เกิดแอ่งน้ำและลำธารหลายแห่ง เมื่อดวงจันทร์ได้ส่งแรงดึงดูดบนโลกจึงเป็นเหตุให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง จนโลกมาสู่ยุคอาเคียนหรือยุคโบราณ ได้ค้นพบกลุ่มหินวาร์ราวูนา ที่พบบนโลกนั้น เป็นหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดจากที่มีการค้นพบมา ส่วนประกอบบนโลกนั้นเป็นหินโลหะขนาดใหญ่ที่เรียกว่า หินยุคสร้างโลกจากการขุดหินจากก้นทะเลเชื่อว่าจะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอะไรมารบกวนมาตั้งแต่เป็นโลกแรก กับพบว่าหินก้นทะเลไม่ได้มีอายุเก่าแก่ที่สุด ดังนั้นหินยุคแรกที่สร้างโลกจึงถูกทำลาย ลม ฝน และการเคลื่อนที่ของพื้นผิวโลก จากการปั่นป่วนของทะเลและการเปลี่ยนแปลงอากาศที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล น่าเชื่อว่าธรรมชาติได้มีส่วนลำลายหินดั้งเดิมโลกไปหมดแล้ว  ดังนั้นโลกที่ปรากฏเป็นส่วนที่เคยแตกแยกและถูกบดเป็นผงของก้อนโลหะเดิมของโลก มีการหลอมละลาย แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ หลายครั้งหลายหน จึงทำให้ส่วนที่เป็นสสารเดิมของโลกหายากขึ้น

 

หินที่เชื่อว่าเป็นหินที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกคือ แหล่งหินอิซัว (ภาษาเอสโกโมแปลว่า ไกลมาก)อยู่บนเกาะกรีนแลนด์ มีอายุประมาณ ๓,๘๐๐ ล้านปี ดังนั้นตั่งแต่การเกิดโลกจนถึงหินอิซัวเกิดขึ้นนั้น เป็นระยะประมาณ ๑,๐๐๐ พันล้านปี จึงน่าเชื่อว่าบนโลกจะไม่เหลือหลักฐานอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

สภาพของโลกในช่วง ๑,๐๐๐ พันล้านปีแรกนั้นคงไม่มีทะเลและแผ่นดิน ผิวโลกคงจะบางและเนื้อโลกส่วนใหญ่คงจะยังเป็นของเหลว อากาศไม่สามารถใช้หายใจได้ ท้องฟ้าก็มีลักษณะมืดมัว

               

การเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกคงจะไม่แตกต่างจากดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เช่นกันนักวิทยาศาสตร์

กิลเบิรท์ ได้ตั้งทฤษฎีไว้ว่าได้มีการเกิดลูกหิน (อุกกาบาต) ตกลงบนดวงจันทร์ และกระทบผิวพื้นให้เป็นหลุมเป็นบ่อ ถ้ากลุ่มลูกหินชนิดนี้ได้เคยตกลงบนพื้นโลก ก็พิสูจณ์ได้ว่าหลุมบ่อที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นเหตุเดียวกันเรื่องนี้ได้มีการสำรวจเนินสูงและทำการวัดสนามแม่เหล็กเพื่อค้นหาก้อนโลหะใต้มหาสมุทรเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ครั้งนั้นไม่พบอะไร แม้ว่าต่อมา แดเนียล มอโรบาร์ริงเกอร์ จะเชื่อในทฤษฎีดังกล่าวและทำการขุดก้อนโลหะในหลุมอุกกาบาตต่อ  ก็พบแต่ชั้นผงหินที่ถูกบดละเอียดและเกาะกันแน้น  จนการสำรสจในครั้งหลังสุด  ยูยีน  ชูเมเกอร์  แห่งองค์การสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา  ได้ทำการศึกษาหลุมยักษ์ที่อยู่บนโลกทุกด้าน  และได้พบว่าชิ้นหินในกำแพงที่เป็นขอบเป็นขอบหลุมนั้นได้กระจัดกระจายออกไปในทะเลทรายไกลนับเป็นหลายกิโลเมตร 

 

ชูเมอร์ได้อิบายว่าหินเหล่านี้กระเด็นออกไปรอบข้างเหมือนดังดอกไม้ที่กำลังผลิกลีบบานออกมาและกลีบดอกอ้าออก  เมื่อขุดลงไปพบว่า  ภายใต้พื้นก้นหลุมใหญ่นั้น  พบชิ้นหินแตกละเอียดดอกอ้าออก  เมื่อขุดลงไปพบว่า  ภายใต้พื้นก้นหลุมใหญ่นั้น  พบชิ้นหินแตกละเอียดลงไปอีกถึง  ๑๘๐ เมตร  ในช่วง  ๑๕  เมตร  สุดท้านนั้นปรากฏมีหยดอุกาบาตรเล็ก ๆ  ที่เคยหลอมละลาย  ขณะที่พบนั้นอยู่ในสภาพแข็งตัว  เป็นเหมือนแก้ว  อันเป็นข้อยืนยันว่า  การเกิดเช่นนั้นได้นั้นต้องมีการกระแทกจนหลอมละลายอย่างกะทันหันเท่านั้น

               

ดาวโลกนั้นเชื่อว่ามีดาวอุกาบาทพุ่งเข้ามาชนโลกทุกวัน  อุกาบาตนั้นส่วนใหญ่จะไหม้หมดในบรรยากาศก่อนพุ่งถึงพื้นดินหรือแตกและไหม้เป็นเม็ดฝุ่นลงบนพื้นโลก  ฝุ่นอุกาบาตรนี้ตกลงมาสม่ำเสมอวันละประมาณ  ๑๐๐  ตัน และ  ลอยอยู่ในอากาศ

               

เรื่องของอุกาบาตรนั้น  ในพุทธศตวรรษที่ ๖  ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญว่า  โลกมีหินตกลงจากท้องฟ้า  ไพลนี  นักธรรมชาติวิทยาชาวโลมันได้เขียนถึงและเรียกว่า  หินฟ้าคะนอง  ด้วยปรากฏที่ว่าหินที่ตกลงมานั้นส่งเสียงดัง  ข้อมูลนี้ต่อมาในศตวรรษที่  ๒๒  ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสทำการศึกษาแล้วสรุปว่า  หินตกจากฟ้านั้นไม่มีจริงทั้งที่ ๆ  ต่อมาโลกได้เกิดฝนดาวตก  (อุกกาบาต)  ในเมืองไลเกิล  ห่างจากเมืองปารีสไปทางตะวันตก  ๑๑๐  กิโลเมตร  ก็พบว่ามีหินฟ้าคะนอง  (อุกกาบาต)  ที่ชาวเมืองนำมาแลกกันมากมาย  แต่ไม่สนใจเหมือนหลายครั้งที่มีเหตุการณ์อุกกาบาตตกลงบนโลก

               

ครั้งหลังสุด  อารม์สตอง  อัลดริน  และคอลลินส์  ได้เดินไปดวงจันทร์ตามโครงการอพอลโล  ที่ทำการส่งยานอวกาศลงบนดวงจันทร์  ครั้งนั้นอวกาศได้นำหินดวงจันทร์กลับมา  ๒๐,๐๐๐  ก้อนรวม  ๒๐  กิโลกรัม  เมื่อวิเคราะห์ตัวอย่างหินแล้วทำให้ได้เรียนรู้ถึง  ดวงจันทร์เมื่อ  ๑,๐๐๐  ล้านปี  ที่มการพุ่งชนของอุกกาบาต  ครั้งใหญ่อย่างรุนแรง  เป็นพายุหินอุกกบาตรที่กินเวลานานหลายล้านปี  ดังนั้นผงสีโกโก้ที่นักบินอวกาศเหยียบย่ำบนดวงจันทร์นั้นจึงเป็นผงหินที่ถูกอุกกาบาตพุ่งชน  ผงหินบนดวงจันทร์นี้มีความลึกถึง  ๒๐ เมตร  เป็นสมมุติฐานที่เชื่อว่าผิวหน้าของดวงจันทร์บางส่วนถูกอุกกาบาตชนเป็นประจำ  และเป็นผงหินที่มีอายุมากกว่า  หินอิชัวบนโลก  ประมาณว่าอาจมีอายุถึง  ๔,๖๐๐  ล้านปีเป็นหินที่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกดวงจันทร์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ  ส่วนหินเก่าแก่ก้อนใหญ่คือหินบะซอลห์  ซึ่งปรากฏในทะเลของดวงจันทร์นั้นมีอายุประมาณ  ๓,๑๐๐  ล้านปีถึง  ๓,๘๐๐  ล้านปี  มีอายุเท่า ๆ กันกับหินอิซัวที่อยู่บนโลก

                สรุปแล้วดวงจันทร์กับโลกนั้นน่าจะเกิดพร้อมกันเมื่อประมาณ  ๔,๕๐๐  ล้านปี  ผิวหน้าของดวงจันทร์นั้นถูกอุกกบาตรพุ่งชนอย่างรุนแรงจนร้อนละลายแล้วก็ค่อยเย็นลง  ต่อมา  ๔,๐๐๐  ล้านปี  อุกกาบาตได้พุ่งชนอีกแต่ไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก  แต่เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้น  ทำลายหินเก่าแก่ของดวงจันทร์ทะละพื้นหลุมอุกกาบาตออกมาท่วมผิวหน้าของดวงจันทร์จนเป็นบริเวณกว้าง  เป็นทะเลหินละลายที่เย็นตัวลง  ดวงจันทร์จึงหยุดการเปลี่ยนแปลง  แต่อุกกกาบาตรก็ยังพุ่งชนอยู่เช่นนี้  โลกก็น่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

               

                        ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบนดวงจันทร์กับดาวโลกน่าจะอยู่ในเหตุการณ์และลักษณะเดียวกันคือ  เกิดพายุฝนดาวตก (พายุหินอุกกาบาต)  ทำให้พื้นผิวโลกเป็นหลุมเป็นบ่อ  ในทวีปแอนตาร์กติกา  ใกล้ภูเขายามาโต๊ะ  อยู่ตรงส่วนใต้ทวีปอาฟริกา  นักสำรวจญี่ปุ่นพบอุกกาบาตสีดำเก้าก้อนวางอยู่เป็นกลุ่มบนพื้นน้ำแข็ง  แสดงว่าพื้นน้ำแข็งเป็นแหล่งรวบรวมอุกกาบาตได้เป็นอย่างดี  และหลังจากการทำสำรวจหลายปี  คณะสำรวจจึงทำการรวบรวมอุกกาบาตได้ถึง  ๓,๐๐๐  ชิ้น

               

พายุหินดาวตกปรือพายุหินอุกกาบาต  นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดระบบสุริยะ  ซึ่งมีดวงอาทิตย์  ดาวเคราะห์  ดวงจันทร์  รวมทั้งดาวโลก  เชื่อกันว่าน่าจะมีดาวโลกอยู่ในระบบสุริยะอื่นอีกหลายโลก  (จนเชื่อว่าน่าจะมีมนุษย์ในโลกอื่นอีกเช่นกัน)  และรอบดวงอาทิตย์นั้นก็มีเศษดาวที่เหลืออยู่ลอยอยู่รอบดวงอาทิตย์  นอกจากนี้ยังมีเศษดาวอีกส่วนหนึ่งเข้าไปรวมอยู่ในบริเวณดาวเคราะห์น้อย  ซึ่งเป็นก้อนหินและก้อนโลหะมีขนาดต่าง ๆ  ตั้งแต่ลูกปิงปองไปจนมีขนาดใหญ่หลายสิบกิโลเมตรอยู่ในวงโคจรระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี และกลุ่มดาวหางซึ่งเป็นน้ำแข็งผสมเศษหินอยู่เป็นกลุ่มรอบดวงอาทิตย์ที่มีวงโคจรไกลที่สุดเลยวงจรของดาวพลูโลที่อยู่ไกลสุดออกไปอีก  ดาวหางนี้อาจมีจำนวนถึงล้านล้านดวง

               

ด้วยเหตุนี้วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่ตัดวงโคจรปกติของดาวเคราะห์จึงมักมีเหตุชนกันขึ้นอย่างหนีไม่พ้น  และการชนกันแต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดาราจักรและระบบสุริยะซึ่งชูเมเกอร์เชื่อว่าการชนนั้นเป็นกระบวนการพื้นฐานที่สุดในทางธรณีวิทยา

               

ผิวโลกจึงมีสภาพเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ด้วยมีลม  น้ำ  และภูมิอากาศ  ทำหน้าที่กัดกร่อนพื้นผิวโลกอยู่เป็นเวลานาน  โลกในระยะแรกนั้นหลอมเหลว  เมื่อผิวโลกจับกันจนแข็งเป็นแผ่นครั้งใดก็ถูกชนจนแตกและกลับหลอมละลายขึ้นใหม่  โลกมีลักษณะเช่นนี้  ดังนั้นโลกในครั้งแรกจึงมีแต่ก้อนหินที่ร้อนแรง  ส่องแสงเรืองทั่วทั้งก้อน  พื้นมีแต่ทะเลทราย  ปราศจากพื้นดิน  มหาสมุทรและพืชสีเขียว  โลกมีสภาพนี้อยู่ตั้งแต่  ๔,๖๐๐  ล้านปี  ถึง  ๓,๖๐๐  ล้านปี

               

ดังนั้นเรื่องโลกดึกดำบรรพ์  การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต  จึงมีเวลายาวนานสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ บนผิวโลก  เช่น  ภูเขาไฟระเบิด  ทำให้ละลายพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้สอ้นสูญพันธุ์  ชิ้นดินของโลกที่ทับถมกันมาหลายร้อยล้านปีนั้นได้บันทึกซากสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหินแข็งและซากดึกดำบรรพ์ (FOSSIL)  มากมาย

               

ในระยะเวลาที่ยาวนานนั้นมิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้น  และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต้องใช้เวลานับเกือบสี่พันล้านปีสำหรับการวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตไปสู่การเกิดของมนุษย์อยู่บนโลก

               

โลกเมื่อ  ๖๐  ล้านปีนั้นมีความเชื่อว่า  มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจาก  ไพรเมท  (PRIMATE)  และต่อมา  ๑๒ – ๒๘  ล้านปี  ได้วิวัฒนาการเป็น  ไดรโอพิเธกัส  (DSIO-PITHECUS)  คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างมนุษย์กับลิง  แล้วประมาณ  ๑๒ – ๑๔  ล้านปี  จึงวิวัฒนาการเป็นรามาพิเธกัส  (RAMAPITHECUS)  ต่อมาประมาณ  ๔-๕  ล้านปีจึงวิวัฒนาการต่อมาเป็นออสเตรโลพิเธกัส  (AUSTRALOPITHECUS)  และโฮโมฮาบิลิส  (HOMO  HABILES)

               

ออสเตรโลพิเธกัสนี้คือฮาโทนิคที่เป็นบรรพบุรุษของโฮโม  อิเลคตัส  (HOMO  ELECTUS)  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์  การสำรวจพบเรื่องราวของมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ในแต่ละแห่งของโลกนั้น  ได้ทำให้มีชื่อเรียกแตกต่างกัน  เช่น  มนุษย์ชวา  คือ  ซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ในพบในชวาเรียกพิทธีแคนโทรปัส  (PITHECANTHROPUS)  มนุษย์ปักกิ่ง  คือ  ซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่พบในจีนเรียกไซนานโทรปัส  (SINANTHROPUS)  และซากมนุษย์ที่พบในแอฟริกาเหนือเรียกว่า  แอทแลนโทรปัส  (ATLANTHROPUS) และ

ทีแลนโทรพัส  (TELANTHROPUS)  ซึ่งเป็นมนุษย์คล้ยวานรที่เกิดในช่วง  ๑,๐๐๐,๐๐๐  ปีถึง  ๕๐๐,๐๐๐  ปีถือว่าเป็บบรรพบุรุษของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

               

จากการสำรวจเรื่องราวของมนุษย์ดึกดำบรรพ์นั้นได้พบว่าในสมัยไพลสโตซีนเมื่อ  ๒  ล้านปีนั้น  มีมนุษย์คล้ายวานรเกิดขึ้นมากมาย  และพบว่าทวีปแอฟริกานั้นเป็นแหล่งของมนุษย์คล้ายวานรในยุคเก่านั้น  ในเวลาต่อมานั้นมนุษย์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ได้เดินทางต่อไปยังทวีปยุโรป  จีนและเอเชียจน ถึงเกาะชวา

 

                ต่อมาเมื่อประมาณ  ๓๐๐,๐๐๐  ปี  บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคปัจจุบันคือ  โฮโม  ซาเปียน  (HOMO  SAPIEN)  ได้เกิดขึ้นและวิวัฒนาการจนเป็นมนุษย์ปัจจุบัน  แต่มนุษย์ปัจจุบันนั้นคือ  มนุษย์พันธุ์  ซาเปียน  (SAPIEN)  เป็นมนุษย์โดยตรงคือมนุษย์นีอัลเดอร์ธัลและมนุษย์โครมันยอง  จึงไม่ใช่โฮโม  อิเลคตัส  ในกลุ่มมนุษย์คล้ายวานร

               

มนุษย์ดึกดำบรรพ์นั้น  ได้เรียนรู้ที่จะดำรงอยู่บนโลกจากธรรมชาติ  พบว่ารู้จักใช้เครื่องมือหินและถาชนะดินเผา  รู้จักเครื่องมือเหล็ก  การเพาะปลูกและก่อไฟ  ต่อมามนุษย์นี้ได้แยกย้ายอพยพเผ่าพันธุ์ไปเติบโตในพื้นที่จ่าง ๆ  มีลักษณะที่ปรับตัวในบริบทของภูมิประเทศ  ภูมิอากาศ  และมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างบ้านแปงเมือง  ทำให้เกิดมนุษย์เชื้อชาติต่าง ๆ  ขึ้นทั่วโลก

               

สำหรับปรากฏการธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก  ทำให้มนุษย์ได้เชื่อถือเอาสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงพากันนับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้าหรือเทพเจ้าสูงสุด  ตั้งแต่นั้นมา

 

แนะนำข้อมลเพิ่มเติม บทนำ

เชิญแนะนำข้อมูลเพิ่มเติม

ชื่อ / Email
ข้อความ
  

 


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์