บทนำ
บทนำ
ดินแดนสุวรรณภูมิหรือบริเวณแหลมอินโดจีนแห่งนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศคือทิศเหนือจดกับจีนและลาว
ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่าและมหาสมุทรอินเดีย ทิศใต้ติดกับมาเลเซีย
และทิศตะวันออกติดกับลาวและเขมร หางนับรวมเอาประเทศทั้งหมดแล้วดินแดนส่วนนี้คือ
แหลมทองหรือแหลมมหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีน นั้นเอง
ในโลกยุคดึกดำบรรพ์หลายร้อยล้านปีนั้น
สภาพของแผ่นดินในแถบนี้ก็คงเหมือนกับสภาพเดียวกับแผ่นดินอื่น
ตั้งแต่มีการเกิดโลกในระบบสุริยะของดาราจักรและสิ่งที่มีชีวิตที่เกิดขึ้น
แม้จะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งในการรู้ได้แต่ข้อสันนิษฐานและทฤษฎีของผู้ที่ศึกษาให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกได้หมด
โลกในระยะเริ่มแรกนั้นเป็นเพียงกลุ่มก๊าซที่หลุดจากวงจรดวงอาทิตย์
เมื่อกลุ่มก๊าซภายนอกนั้นได้เย็นลงเป็นเปลือกโลกที่หุ้มห่อก๊าซที่ยังร้อนอยู่ภายใน
เปลือกในครั้งแรกนั้นเป็นดินผืนเดียวกัน
ต่อมาโลกได้สร้างก๊าซภายในตัวเองรั่วออกจากรอยแตกของผิวโลก
และการระเบิดภูเขาไฟได้ปล่อยให้ก๊าซมีเทน (methane)
คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย และไอน้ำ ขึ้นมาบนโลก อุกกาบาตจากอวกาศได้พุ่งชนบนโลก
เสียดสีอากาศไหม้เป็นทางลงมาชั้นบรรยากาศบนโลก
ก้อนหินร้อนแดงได้กระทบหินละลายที่อยู่บนโลก
พร้อมกับนำคาร์บอนในรูปสารอินทรีย์มาสู่โลกจำนวนหลายล้านตัน
จนโลกสั้นสะเทือนและหินละลายนั้นได้แตกกระจายอย่างน่ากลัว เช่นเดียวกับดาวหาง
ซึ่งเป็นหินที่ฝังตัวอยู่ในน้ำแข็งก้อนขนาดใหญ่หลายตันจากนอกโลกก็พุ่งชนโลกพร้อมกับน้ำมาให้โลก
แต่โลกยังร้อนจนน้ำนั้นระเหยเป็นไอน้ำไปแม้จะรวมตัวเป็นฝนก็ระเหยเช่นกัน
ต่อให้มีไอน้ำรั่วออกมาจากโลกก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นทะเลหรือมหาสมุทรได้
โลกจึงระอุด้วยภูเขาไฟระเบิด
แผ่นดินไหวพื้นโลกโดนถูกอุกกาบาตและดาวหางวิ่งชนสลับร้อนสลับเย็น ไม่มีออกซิเจน
มีแต่เสียงหินเดือด เสียงระเบิดอยู่นับร้อยล้านปี
จนดลกระบายความร้อนให้เย็นลงฝนตกลงมาถูกกับหินร้อนแล้วกลายเป็นไอน้ำจับตัวเป็นฝนตกหมุนเวียนอยู่เช่นนี้
จึงมีแอ่งน้ำใหญ่ในหลุมอุกกาบาตเกิดขึ้น
น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำของโลกจึงทำให้เกิดแอ่งน้ำและลำธารหลายแห่ง
เมื่อดวงจันทร์ได้ส่งแรงดึงดูดบนโลกจึงเป็นเหตุให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง
จนโลกมาสู่ยุคอาเคียนหรือยุคโบราณ ได้ค้นพบกลุ่มหินวาร์ราวูนา ที่พบบนโลกนั้น
เป็นหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดจากที่มีการค้นพบมา
ส่วนประกอบบนโลกนั้นเป็นหินโลหะขนาดใหญ่ที่เรียกว่า
หินยุคสร้างโลกจากการขุดหินจากก้นทะเลเชื่อว่าจะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอะไรมารบกวนมาตั้งแต่เป็นโลกแรก
กับพบว่าหินก้นทะเลไม่ได้มีอายุเก่าแก่ที่สุด
ดังนั้นหินยุคแรกที่สร้างโลกจึงถูกทำลาย ลม ฝน และการเคลื่อนที่ของพื้นผิวโลก
จากการปั่นป่วนของทะเลและการเปลี่ยนแปลงอากาศที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล
น่าเชื่อว่าธรรมชาติได้มีส่วนลำลายหินดั้งเดิมโลกไปหมดแล้ว
ดังนั้นโลกที่ปรากฏเป็นส่วนที่เคยแตกแยกและถูกบดเป็นผงของก้อนโลหะเดิมของโลก
มีการหลอมละลาย แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ หลายครั้งหลายหน
จึงทำให้ส่วนที่เป็นสสารเดิมของโลกหายากขึ้น
หินที่เชื่อว่าเป็นหินที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกคือ แหล่งหินอิซัว (ภาษาเอสโกโมแปลว่า
ไกลมาก)อยู่บนเกาะกรีนแลนด์ มีอายุประมาณ ๓,๘๐๐
ล้านปี ดังนั้นตั่งแต่การเกิดโลกจนถึงหินอิซัวเกิดขึ้นนั้น เป็นระยะประมาณ ๑,๐๐๐
พันล้านปี จึงน่าเชื่อว่าบนโลกจะไม่เหลือหลักฐานอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
สภาพของโลกในช่วง ๑,๐๐๐
พันล้านปีแรกนั้นคงไม่มีทะเลและแผ่นดิน
ผิวโลกคงจะบางและเนื้อโลกส่วนใหญ่คงจะยังเป็นของเหลว อากาศไม่สามารถใช้หายใจได้
ท้องฟ้าก็มีลักษณะมืดมัว
การเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกคงจะไม่แตกต่างจากดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เช่นกันนักวิทยาศาสตร์
กิลเบิรท์
ได้ตั้งทฤษฎีไว้ว่าได้มีการเกิดลูกหิน (อุกกาบาต) ตกลงบนดวงจันทร์
และกระทบผิวพื้นให้เป็นหลุมเป็นบ่อ ถ้ากลุ่มลูกหินชนิดนี้ได้เคยตกลงบนพื้นโลก
ก็พิสูจณ์ได้ว่าหลุมบ่อที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นเหตุเดียวกันเรื่องนี้ได้มีการสำรวจเนินสูงและทำการวัดสนามแม่เหล็กเพื่อค้นหาก้อนโลหะใต้มหาสมุทรเพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ครั้งนั้นไม่พบอะไร
แม้ว่าต่อมา แดเนียล มอโรบาร์ริงเกอร์
จะเชื่อในทฤษฎีดังกล่าวและทำการขุดก้อนโลหะในหลุมอุกกาบาตต่อ
ก็พบแต่ชั้นผงหินที่ถูกบดละเอียดและเกาะกันแน้น จนการสำรสจในครั้งหลังสุด ยูยีน
ชูเมเกอร์ แห่งองค์การสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา
ได้ทำการศึกษาหลุมยักษ์ที่อยู่บนโลกทุกด้าน
และได้พบว่าชิ้นหินในกำแพงที่เป็นขอบเป็นขอบหลุมนั้นได้กระจัดกระจายออกไปในทะเลทรายไกลนับเป็นหลายกิโลเมตร
ชูเมอร์ได้อิบายว่าหินเหล่านี้กระเด็นออกไปรอบข้างเหมือนดังดอกไม้ที่กำลังผลิกลีบบานออกมาและกลีบดอกอ้าออก
เมื่อขุดลงไปพบว่า ภายใต้พื้นก้นหลุมใหญ่นั้น พบชิ้นหินแตกละเอียดดอกอ้าออก
เมื่อขุดลงไปพบว่า ภายใต้พื้นก้นหลุมใหญ่นั้น พบชิ้นหินแตกละเอียดลงไปอีกถึง ๑๘๐
เมตร ในช่วง ๑๕ เมตร สุดท้านนั้นปรากฏมีหยดอุกาบาตรเล็ก ๆ ที่เคยหลอมละลาย
ขณะที่พบนั้นอยู่ในสภาพแข็งตัว เป็นเหมือนแก้ว อันเป็นข้อยืนยันว่า
การเกิดเช่นนั้นได้นั้นต้องมีการกระแทกจนหลอมละลายอย่างกะทันหันเท่านั้น
ดาวโลกนั้นเชื่อว่ามีดาวอุกาบาทพุ่งเข้ามาชนโลกทุกวัน
อุกาบาตนั้นส่วนใหญ่จะไหม้หมดในบรรยากาศก่อนพุ่งถึงพื้นดินหรือแตกและไหม้เป็นเม็ดฝุ่นลงบนพื้นโลก
ฝุ่นอุกาบาตรนี้ตกลงมาสม่ำเสมอวันละประมาณ ๑๐๐ ตัน และ ลอยอยู่ในอากาศ
เรื่องของอุกาบาตรนั้น ในพุทธศตวรรษที่ ๖ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญว่า
โลกมีหินตกลงจากท้องฟ้า ไพลนี นักธรรมชาติวิทยาชาวโลมันได้เขียนถึงและเรียกว่า
หินฟ้าคะนอง ด้วยปรากฏที่ว่าหินที่ตกลงมานั้นส่งเสียงดัง
ข้อมูลนี้ต่อมาในศตวรรษที่ ๒๒
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสทำการศึกษาแล้วสรุปว่า
หินตกจากฟ้านั้นไม่มีจริงทั้งที่ ๆ ต่อมาโลกได้เกิดฝนดาวตก (อุกกาบาต)
ในเมืองไลเกิล ห่างจากเมืองปารีสไปทางตะวันตก ๑๑๐ กิโลเมตร
ก็พบว่ามีหินฟ้าคะนอง (อุกกาบาต) ที่ชาวเมืองนำมาแลกกันมากมาย
แต่ไม่สนใจเหมือนหลายครั้งที่มีเหตุการณ์อุกกาบาตตกลงบนโลก
ครั้งหลังสุด
อารม์สตอง อัลดริน และคอลลินส์ ได้เดินไปดวงจันทร์ตามโครงการอพอลโล
ที่ทำการส่งยานอวกาศลงบนดวงจันทร์ ครั้งนั้นอวกาศได้นำหินดวงจันทร์กลับมา ๒๐,๐๐๐
ก้อนรวม ๒๐ กิโลกรัม เมื่อวิเคราะห์ตัวอย่างหินแล้วทำให้ได้เรียนรู้ถึง
ดวงจันทร์เมื่อ ๑,๐๐๐ ล้านปี ที่มการพุ่งชนของอุกกาบาต ครั้งใหญ่อย่างรุนแรง
เป็นพายุหินอุกกบาตรที่กินเวลานานหลายล้านปี
ดังนั้นผงสีโกโก้ที่นักบินอวกาศเหยียบย่ำบนดวงจันทร์นั้นจึงเป็นผงหินที่ถูกอุกกาบาตพุ่งชน
ผงหินบนดวงจันทร์นี้มีความลึกถึง ๒๐ เมตร
เป็นสมมุติฐานที่เชื่อว่าผิวหน้าของดวงจันทร์บางส่วนถูกอุกกาบาตชนเป็นประจำ
และเป็นผงหินที่มีอายุมากกว่า หินอิชัวบนโลก ประมาณว่าอาจมีอายุถึง ๔,๖๐๐
ล้านปีเป็นหินที่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกดวงจันทร์โดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ
ส่วนหินเก่าแก่ก้อนใหญ่คือหินบะซอลห์
ซึ่งปรากฏในทะเลของดวงจันทร์นั้นมีอายุประมาณ ๓,๑๐๐ ล้านปีถึง ๓,๘๐๐ ล้านปี
มีอายุเท่า ๆ กันกับหินอิซัวที่อยู่บนโลก
สรุปแล้วดวงจันทร์กับโลกนั้นน่าจะเกิดพร้อมกันเมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปี
ผิวหน้าของดวงจันทร์นั้นถูกอุกกบาตรพุ่งชนอย่างรุนแรงจนร้อนละลายแล้วก็ค่อยเย็นลง
ต่อมา ๔,๐๐๐ ล้านปี อุกกาบาตได้พุ่งชนอีกแต่ไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก
แต่เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้น
ทำลายหินเก่าแก่ของดวงจันทร์ทะละพื้นหลุมอุกกาบาตออกมาท่วมผิวหน้าของดวงจันทร์จนเป็นบริเวณกว้าง
เป็นทะเลหินละลายที่เย็นตัวลง ดวงจันทร์จึงหยุดการเปลี่ยนแปลง
แต่อุกกกาบาตรก็ยังพุ่งชนอยู่เช่นนี้
โลกก็น่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบนดวงจันทร์กับดาวโลกน่าจะอยู่ในเหตุการณ์และลักษณะเดียวกันคือ
เกิดพายุฝนดาวตก (พายุหินอุกกาบาต) ทำให้พื้นผิวโลกเป็นหลุมเป็นบ่อ
ในทวีปแอนตาร์กติกา ใกล้ภูเขายามาโต๊ะ อยู่ตรงส่วนใต้ทวีปอาฟริกา
นักสำรวจญี่ปุ่นพบอุกกาบาตสีดำเก้าก้อนวางอยู่เป็นกลุ่มบนพื้นน้ำแข็ง
แสดงว่าพื้นน้ำแข็งเป็นแหล่งรวบรวมอุกกาบาตได้เป็นอย่างดี
และหลังจากการทำสำรวจหลายปี คณะสำรวจจึงทำการรวบรวมอุกกาบาตได้ถึง ๓,๐๐๐ ชิ้น
พายุหินดาวตกปรือพายุหินอุกกาบาต นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดระบบสุริยะ
ซึ่งมีดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ รวมทั้งดาวโลก
เชื่อกันว่าน่าจะมีดาวโลกอยู่ในระบบสุริยะอื่นอีกหลายโลก
(จนเชื่อว่าน่าจะมีมนุษย์ในโลกอื่นอีกเช่นกัน)
และรอบดวงอาทิตย์นั้นก็มีเศษดาวที่เหลืออยู่ลอยอยู่รอบดวงอาทิตย์
นอกจากนี้ยังมีเศษดาวอีกส่วนหนึ่งเข้าไปรวมอยู่ในบริเวณดาวเคราะห์น้อย
ซึ่งเป็นก้อนหินและก้อนโลหะมีขนาดต่าง ๆ
ตั้งแต่ลูกปิงปองไปจนมีขนาดใหญ่หลายสิบกิโลเมตรอยู่ในวงโคจรระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี
และกลุ่มดาวหางซึ่งเป็นน้ำแข็งผสมเศษหินอยู่เป็นกลุ่มรอบดวงอาทิตย์ที่มีวงโคจรไกลที่สุดเลยวงจรของดาวพลูโลที่อยู่ไกลสุดออกไปอีก
ดาวหางนี้อาจมีจำนวนถึงล้านล้านดวง
ด้วยเหตุนี้วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่ตัดวงโคจรปกติของดาวเคราะห์จึงมักมีเหตุชนกันขึ้นอย่างหนีไม่พ้น
และการชนกันแต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดาราจักรและระบบสุริยะซึ่งชูเมเกอร์เชื่อว่าการชนนั้นเป็นกระบวนการพื้นฐานที่สุดในทางธรณีวิทยา
ผิวโลกจึงมีสภาพเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ด้วยมีลม น้ำ และภูมิอากาศ
ทำหน้าที่กัดกร่อนพื้นผิวโลกอยู่เป็นเวลานาน โลกในระยะแรกนั้นหลอมเหลว
เมื่อผิวโลกจับกันจนแข็งเป็นแผ่นครั้งใดก็ถูกชนจนแตกและกลับหลอมละลายขึ้นใหม่
โลกมีลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นโลกในครั้งแรกจึงมีแต่ก้อนหินที่ร้อนแรง
ส่องแสงเรืองทั่วทั้งก้อน พื้นมีแต่ทะเลทราย ปราศจากพื้นดิน
มหาสมุทรและพืชสีเขียว โลกมีสภาพนี้อยู่ตั้งแต่ ๔,๖๐๐ ล้านปี ถึง ๓,๖๐๐
ล้านปี
ดังนั้นเรื่องโลกดึกดำบรรพ์ การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
จึงมีเวลายาวนานสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ บนผิวโลก เช่น ภูเขาไฟระเบิด
ทำให้ละลายพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้สอ้นสูญพันธุ์
ชิ้นดินของโลกที่ทับถมกันมาหลายร้อยล้านปีนั้นได้บันทึกซากสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหินแข็งและซากดึกดำบรรพ์
(FOSSIL)
มากมาย
ในระยะเวลาที่ยาวนานนั้นมิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้น
และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต้องใช้เวลานับเกือบสี่พันล้านปีสำหรับการวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตไปสู่การเกิดของมนุษย์อยู่บนโลก
โลกเมื่อ ๖๐
ล้านปีนั้นมีความเชื่อว่า มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจาก ไพรเมท (PRIMATE)
และต่อมา ๑๒ ๒๘ ล้านปี ได้วิวัฒนาการเป็น
ไดรโอพิเธกัส (DSIO-PITHECUS)
คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างมนุษย์กับลิง แล้วประมาณ ๑๒
๑๔ ล้านปี จึงวิวัฒนาการเป็นรามาพิเธกัส (RAMAPITHECUS)
ต่อมาประมาณ ๔-๕ ล้านปีจึงวิวัฒนาการต่อมาเป็นออสเตรโลพิเธกัส (AUSTRALOPITHECUS)
และโฮโมฮาบิลิส (HOMO HABILES)
ออสเตรโลพิเธกัสนี้คือฮาโทนิคที่เป็นบรรพบุรุษของโฮโม อิเลคตัส (HOMO
ELECTUS) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์
การสำรวจพบเรื่องราวของมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ในแต่ละแห่งของโลกนั้น
ได้ทำให้มีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น มนุษย์ชวา คือ
ซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ในพบในชวาเรียกพิทธีแคนโทรปัส (PITHECANTHROPUS)
มนุษย์ปักกิ่ง คือ ซากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่พบในจีนเรียกไซนานโทรปัส (SINANTHROPUS)
และซากมนุษย์ที่พบในแอฟริกาเหนือเรียกว่า แอทแลนโทรปัส (ATLANTHROPUS)
และ
ทีแลนโทรพัส (TELANTHROPUS)
ซึ่งเป็นมนุษย์คล้ยวานรที่เกิดในช่วง ๑,๐๐๐,๐๐๐ ปีถึง ๕๐๐,๐๐๐
ปีถือว่าเป็บบรรพบุรุษของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
จากการสำรวจเรื่องราวของมนุษย์ดึกดำบรรพ์นั้นได้พบว่าในสมัยไพลสโตซีนเมื่อ ๒
ล้านปีนั้น มีมนุษย์คล้ายวานรเกิดขึ้นมากมาย
และพบว่าทวีปแอฟริกานั้นเป็นแหล่งของมนุษย์คล้ายวานรในยุคเก่านั้น
ในเวลาต่อมานั้นมนุษย์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ได้เดินทางต่อไปยังทวีปยุโรป
จีนและเอเชียจน ถึงเกาะชวา
ต่อมาเมื่อประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ปี บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคปัจจุบันคือ โฮโม ซาเปียน
(HOMO SAPIEN)
ได้เกิดขึ้นและวิวัฒนาการจนเป็นมนุษย์ปัจจุบัน แต่มนุษย์ปัจจุบันนั้นคือ
มนุษย์พันธุ์ ซาเปียน (SAPIEN)
เป็นมนุษย์โดยตรงคือมนุษย์นีอัลเดอร์ธัลและมนุษย์โครมันยอง จึงไม่ใช่โฮโม
อิเลคตัส ในกลุ่มมนุษย์คล้ายวานร
มนุษย์ดึกดำบรรพ์นั้น
ได้เรียนรู้ที่จะดำรงอยู่บนโลกจากธรรมชาติ
พบว่ารู้จักใช้เครื่องมือหินและถาชนะดินเผา รู้จักเครื่องมือเหล็ก
การเพาะปลูกและก่อไฟ ต่อมามนุษย์นี้ได้แยกย้ายอพยพเผ่าพันธุ์ไปเติบโตในพื้นที่จ่าง
ๆ มีลักษณะที่ปรับตัวในบริบทของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
และมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างบ้านแปงเมือง ทำให้เกิดมนุษย์เชื้อชาติต่าง ๆ
ขึ้นทั่วโลก
สำหรับปรากฏการธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก
ทำให้มนุษย์ได้เชื่อถือเอาสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงพากันนับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้าหรือเทพเจ้าสูงสุด
ตั้งแต่นั้นมา
|