การพัฒนาของมนุษย์ก่อนประวัติศาสต
การพัฒนาของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์
เมื่อมนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่สุวรรณภูมิ เมื่อก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐
ปีมาแล้วนั้นมนุษย์ยังเป็นสังคมเดี่ยวเป็นประชากรที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ป่า
จับสัตว์น้ำ หาพืชผักผลไมที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมาเป็นอาหาร
ต้องพึ่งพาตนเองและออกหากินเรื่อยไปไม่เป็นหลักแหล่ง
อาศัยหลบร้อนหลบฝนไปตามถ้ำเชิงผา ไม่รู้จักทำการเพาะปลูก
ไม่รู้จักการเลี้ยงสัตว์ ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติทีมี ฝนตก ฟ้อร้อง น้ำท่วม
ฟ้าผ่า ไฟป่าไหม้ ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น
ภัยอันตรายที่อยู่เหนือการป้องกันเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ล้มตาย
จนกลายเป็นความเกรงและสร้างความเชื่อของมนุษย์ในที่สุด
จนทำการร้องขอสิ่งลึกลับอันตรายที่หาคำตอบไม่ได้เป็นที่พึ่ง
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ มีการยกสัตว์ที่ทำร้ายให้ตาย เป็นเทพเจ้าบูชา เช่น
งูมีพิษ จระเข้ เหยี่ยว เป็นต้น
ต่างพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้
ด้วยการสวดอ้อนวอน ร้องขอ และเซ่นบูชา
มากกว่าหาวิธีแก้ไขหรือควบคุมสภาพธรรมชาติ
ดังการเกิดโรคระบาดหรือความตายเกิดขึ้นก็จะพากันทิ้งถิ่นหาที่อยู่ใหม่
เคลื่อนย้ายไปตามเส้นทางที่ไม่ห่างจากแม่น้ำ
และอาศัยแม่น้ำเป็นหลักในการอยู่อาศัยในที่สุด
เครื่องมือป้องกันตัวของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ใช้ช่วยในการบ่าสัตว์และป้องกันตนเองนั้นในระยะแรกน่าจะค้นหาวิธีการใช้ไม่ปลายแหลมมาก่อนการใช้ก้อนหินเป็นหลัก
ต่อมาเมื่อรู้ก้อนหินมีน้ำหนักและแข็งจนทำอันตรายได้ ก็มีการค้นหาวิธีใช้
แม้ในระยะแรกจะใช้ก้อนหินพอเหมาะมือเป็นเครื่องมือมาก่อน
ต่อมารู้วิธีที่กะเทาะก้อนหินให้มีความแหลมคม สำหรับใช้งานตามต้องการได้
เครื่องมือหินกะเทาะจึงมีวิธีทำการแกนหิน
(หินกรวดจากแม่น้ำที่มีเปลือกหุ้มกะเทาะเอาแกนหินใช้) นั้นมีความแหลมคมโดยรอบนั้น
วิธีกะเทาะนั้นเอาก้อนหินกรวดอีกก้อนมากะเทาะส่วนที่ต้องการออก
โดยตีเป็นสะเก็ดหินออกตามรูปแบที่ต้องการ
คือกะเทาะทั้งสองด้านตรงกันให้สะเก็ดที่กะเทาะออกนั้นสร้างส่วนแหลมคม
เพื่อความคมนั้นบาดหรือแทงได้
เครื่องมือหินจึงรูปแบบแตกต่างกันตามขนาดของหินเรียก
ขวานหินกะเทาะ
ส่วนสะเก็ดที่กะเทาะออกถ้ามีขนาดเล็กและบางหากมีความคมอยู่ก็นำมาใช้เป็นเครื่องมือแล่หนังหรือเนื้อสัตว์ได้
หากมีขนาดย่อมก็ทำเป็นขวานหินตามขนาดใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะออก
ดังนั้นจุดกะเทาะให้เกิดความคม จึงต้องมีวิธีการและกำหนดจุดกะเทาะอย่างมีรูปแบบ
เพื่อให้เกิดรอยแตกต่อเนื่อง คือทำให้ความคมที่สุดสำหรับตัด เฉือน แล่
และขูดสิ่งต่าง ๆ ได้
สำหรับขวานหินกะเทาะทีมีขนาดย่อมนั้นจะผูกติดกับไม้มีง่ามและท่อนไม้ผ่าซีกแล้วมัดด้วยเชือกปอหรือเส้นหนังสัตว์
โดยใช้ส่วนที่เหลือของไม้ง่ามหรือท่อนไม้ เป็นด้ามถือตามต้องการ
ส่วนหินก้อนใหญ่นั้นน่าจะกะเทาะให้พอเหมาะกับมือที่จะใช้ทุบให้แตกมากกว่าใช้ความคม
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์และช่วงเวลานั้น ได้มีการพัฒนาตนเองในหลายเรื่อง เช่น
ที่พักอาศัย
กลุ่มมนุษย์เมื่อก่อนหน้า ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว นิยมที่จะออกล่าสัตว์เป็นอาหารนั้น
ไม่นิยมการสร้างที่อยู่อาศัยถาวร มีการย้ายที่พักไปตามแหล่งธรรมชาติต่าง ๆ
โดยอาจจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนที่พักตามสภาพธรรมชาติ ที่มีช่วงของฤดูแต่ละปี
และสอดคล้องกับแหล่งอาหารทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งพบว่ามีการจัดเพิงพักชั่วคราว
ตามที่โล่งหรือพักอาศัยตามถ้ำ เพิงผา
ซึ่งบางแห่งพบมีการเขียนภาพบนผนังถ้ำเรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปสัตว์ พิธีกรรม
และเครื่องหมายต่าง ๆ
ในฤดูร้อนนิยมทำเป็นเพิงพักตามที่โล่งไม่ไกลจากแหล่งน้ำ
ในฤดูฝนและฤดูหนาวจะเข้าไอยู่ตามถ้ำหรือพิงผาที่สามารถหลบกำบังลมและฝนได้
มนุษย์สมัยนี้น่าจะนินมอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ
และเป็นครอบครัวที่อาจจะเป็นครอบครัวเดียวกันได้
สำหรับการอาศัยถ้ำหรอเพิงผาสำหรับพักอยู่ต่อเนื่องค่อนข้างนานวันนั้นช่วงเวลาประมาณ
๑๐,๐๐๐ -๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว
พบว่าในถ้ำหรอเพิงผานั้นมีการอยู่อาศัยที่ไม่สูงนักและมีร่องรอยหนาราว ๒-๓ เมตร
ส่วนมากนิยมอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ ลำห้วย และชายทะเล
ซึ่งพบว่ามีภาพเขียนสีปรากฏอยู่หลายแห่งและยังมีการใช้เครื่องมือหินแบบฮัวบิเนียอยู่
แต่มนุษย์บางกลุ่มนั้นก็ยังมีการเคลื่อนย้ายที่พักอาศัยหมุนเวียนตามฤดูกาลและแหล่งอาหารเช่นเดิมอยู่
จนช่วงเวลา ๔,๐๐๐ -๒๕,๐๐ ปีมาแล้ว
ชุมชนที่เป็นเกษตรกรรมขนาดกลางได้มีประชากรเพิ่มขึ้นจนต้องขยายชุมชนเป็นหมู่บ้าน
แต่ยังคงอิสระต่อการปกครองตนเองแต่ก็มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ามากขึ้นจนทำให้หัวหน้าชุมชนนั้นมีฐานะเด่นขึ้นมีเครื่องมือเครื่องประดับตกแต่งมากกว่าสมาชิกของชุมชน
โดยเฉพาะมีช่างฝีมือทำการผลิตชิ้นงานที่ประณีต มีแหล่งโลหะผลิตทองแดง
แหล่งผลิตขวานหิน แหล่งผลิตเครื่องประดับแหล่งผลิตภาชนะดินเผา เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อชุมชนมีการเกษ๖รกรรม การเลี้ยงสัตว์ และแหล่งผลิตฝีมือ
จึงทำให้ความสำพันธ์กับการสร้างบ้านที่อยู่อาศัย
ได้พบว่ามีร่องรอยการขุดเสาสร้างที่พักในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
ซึ่งมีผังที่พักเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เชื่อว่าน่าจะยกเสาสูงเพื่อใช้ที่ว่างใต้ถุนบ้านทำกิจกรรม
หรือทำคอกเลี้ยงสัตว์หรือเก็บเครื่องมือใช้สอยขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่ามีพื้นที่สำหรับใช้อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าที่แหล่งเป็นชุมชนเก่ากว่า
ทำให้เชื่อว่าชุมชนนั้นได้มีการรวมกลุ่มกันสร้างบ้านเรือนอยู่เป็นหมู่บ้านถาวรขึ้นแล้ว
ในช่วงเวลา ๒,๕๐๐
ปีมาแล้วนั้นได้มีร่องรอยการรวมกลุ่มสร้างบ้านเรือนเป็นหมู่และมีชุมชนเกิดขึ้นกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่าง
ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะการกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ลุ่ม พื้นที่ดอน
และพื้นที่ลานตะพักน้ำระดับต่าง ๆ
หลายภูมิภาคของประเทศชุมชนบางแห่งนั้นมีขนาดใหญ่กว่าชุมชนอื่น ๆ
ด้วยพบว่าแหล่งโบราณคดีนั้นมีปริมาณโบราณวัตถุจำนวนมาก ดังนั้นในช่วงเวลา ๒,๕๐๐
-๑,๖๐๐ ปีมาแล้ว จึงมีชุมชนขนาดใหญ่เกิดขึ้นร่วมสมัยชุมชนขนาดเล็ก
ทำให้เข้าใจว่าชุมชนขนาดใหญ่นั้นน่าจะเป็นศูนย์กลางชุมชนขนาดเล็กเท่านั้นหรือเป็นชุมชนบริวาร
การทำมาหากิน
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในระยะแรกนั้น ส่วนมากดำรงชีวิตด้วยการหาของป่า
ออกล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำอยู่ เมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ดังนั้นในช่วง ๑๐,๐๐๐
-๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้พบกระดูกของสัตว์ป่าขนาดกลาง เช่น วัวป่า กวาง เก้ง
และหมูป่า ในแหล่งโบราณคดี เช่น ถ้ำผีแมน พบกระดูกวัวป่าและแรด
การล่าสัตว์ขนาดใหญ่ในป่า มนุษย์สมัยนี้น่าจะมีการร่วมมือล่าสัตว์
เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้นมีลักษณะปราดเปรียว วิ่งเร็ว และแข็งแรง
ลำพังมนุษย์คนเดียวไม่สามารถล่าได้ การรวมกลุ่มคนเพื่อช่วยล่าสัตว์นั้น
ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ได้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นแล้วหรือไม่ก็รวมตัวกันบางฤดูกาลที่มีการล่าสัตว์ขนาดใหญ่
สำหรับการล่าสัตว์เล็กที่มีความว่องไว เช่น ลิง กระรอก
ที่อาศัยตามต้นไม้ก็เชื่อว่าน่าจะจักการดักสัตว์
และมีการสร้างมีเครื่องมือยังสัตว์ในระยะไกลประเภทเดียวกับ ธนูที่ใช้ลูกกระสุน
และหน้าไม้ที่ใช้ไม้ซางทำเป็นลูกอก
ซึ่งมีการพบลูกกระสุนดินเผาปนอยู่ในแหล่งโบราณคดี
และกระดูกสัตว์ที่เสี้ยมปลายแหลมเป็นหัวธนู
การเพาะปลุกนั้นน่าจะเกิดจากการเรียนรู้โดยธรรมชาติจากสัตว์ที่กินเมล็ดพืชแล้ว
ถ่ายมูลออกมาให้เมล็ดพืชเติบโต และเมล็ดพืชได้ปลิวไปตกในที่ชุมชื้นแล้วงอก
เป็นต้น การสำรวจโบราณคดีที่ถ้ำผีแมนนั้น พบว่ามีเมล็ดพืชในกลุ่ม น้ำเต้า
แตงกวา และถั่วบางชนิดซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นพื้นที่ถากถางวัชพืชออก
จึงเชื่อว่าในราว ๖,๐๐๐
๙,๐๐๐ ปี มาแล้ว
มนุษย์ได้รู้จักปลูกพืชในพื้นที่ที่ถูกถากถางและกำจัดวัชพืชแล้ว
และทำการเพาะปลูกที่มีการขุดดินถางหญ้าในเวลาต่อมา
แม้จะพบว่าในระยะนั้นมนุษย์ยังใช้เครื่องหินหินกะเทาะแบบฮัวบิเนียนและดำรงชีพด้วยการเข้าป่าล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารก็ตาม
มนุษย์ก็จะรู้จักปลูกพืชและควบคุมดูแลให้มีผลผลิตมากขึ้น
ต่อมาราว ๔,๕๐๐
๔,๐๐๐ ปีมาแล้วกลุ่มประชากรบางกลุ่มได้รู้จักการเพาะปลูก
และการเลี้ยงสัตว์บางชนิด เช่น วัว หมู ไก่ แม้ว่าจะผลิตอาหารเองได้บ้าง
ก็ยังอาศัยการเข้าป่าล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารอยู่เช่นเดิม
แหล่งโบราณคดีที่พบว่ามีการเพาะปลูกเป็นชุมชนเกษตรกรรมนั้น คือ
แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
และแหล่งโบราณคดีโนนนกทาซึ่งเป็นเมล็ดข้าวที่ถูกเผาจนเป็นถ่านสีดำและมีแกลบข้างผสมในเนื้อดินที่ทำภาชนะดินเผา
โดยมีส่วนผสมที่มีปริมาณมาก จนน่าจะเชื่อว่ามีการปลูกข้าวขึ้นแล้ว
และน่าจะมีทั้งข้าวที่ขึ้นตามดอนและข้าวที่เป็นผลผลิตจาก
วิธีปลูกข้าวในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำขัง ในลักษณะนาเลื่อนลอย เมื่อราว ๒,๗๐๐
๒,๕๐๐ ปีมาแล้วนั้น
มนุษย์จึงรู้จักวิธีปลูกข้าวแบบนาดำที่มีการยกคันดินทดน้ำเข้านา
และน่ารู้จักใช้แรงสัตว์เข้าช่วยในการไถนาเพาะปลูกข้าวด้วย
เมื่อชุมชนมีข้าวมีพืชมากพอก็เกิดกาติดต่อแลกเปลี่ยนของและผลิตของพื้นที่ระหว่างชุมชนในภูมิภาคเดียวกันและต่างพื้นที่
ที่พบว่ามีลูกปัดและกำไลจากเปลือกหอยทะเลได้เข้ามาใช้ในพื้นที่แล้ว
เครื่องประดับ
ในช่วงเวลา ๒,๕๐๐ -๑,๖๐๐ ปีมาแล้วนั้น
ชุมชนก่อนประวัติสาสตร์ที่มีการใช้เหล็กเป็นเครื่องมือนั้น
ไดมีลูกปัดแก้วลูกปัดหินทำจากดมราหรือหินคาร์นีเลียน หินโมกุล หรือหินอาเกต
และผลึกคว๊อทสีต่าง ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และช่วงเวลา ๒,๓๐๐
๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
นั้นการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนนั้นมีบทบาทต่อชุมชนที่ห่างไกลมากขึ้น
พบว่ามีลูกปัดที่ทำมาจากหินกึ่งอัญมณีรุ่นแรกในแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง เช่น
คลองท่อม จังหวัดกระบี่ เป็นต้น
ลูกปัดนี้เป็นเครื่องประดับที่ผลิตด้วยเทคนิควัฒนธรรมอินเดียมายังดินแดนสุวรรณภูมิ
ที่มีการติดต่อค้าขายกันมากกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เครื่องมือหินและโลหะ
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์รู้จักที่จะคิดทำเครื่องมือจากก้อนหินเพื่อใช้งานต่าง ๆ
และมีการพัฒนารูปแบบให้เหมาะสมตามการใช้งานซึ่งมีการสร้างเครื่องมือหินจากแกนหินและเครื่องมือหินจากสะเก็ดหิน
กล่าวคือ
เมื่อราว ๖๐๐,๐๐๐
-๔๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้วได้มีการใช้เครื่องมือหินกะเทาะแบบง่าย โดยทำจากหินกรวดแม่น้ำ
โดยนำมากะเทาะโดยตรงจากค้อนหิน (ก้อนหิน) ด้วยกัน
เพื่อให้เกิดรอยแตกแยกต่อเนื่องกันไม่กี่แห่งเพื่อให้มีคมที่ขอบก้อนหินนั้น
สำหรับใช้ขุด ทุบ สับ ตัด และเขียน
เครื่องมือหินกะเทาะที่ทำจากกรวดแม่น้ำรุ่นแรกนี้เป็นประเภทเครื่องมือแกนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือขุดสับและสับตัด
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะประเภทนี้คือ
มนุษย์โฮโมอิเลคตัส ชนิดโฮโม เซเปียนส์เซเปียนส์ ที่มีชีวิตอย่เมื่อ ๔๐,๐๐๐
ปีมาแล้ว
ต่อมาราว
๔๐,๐๐๐-๑๒,๐๐๐ ปี ได้มีการทำเครื่องมือหินกะเทาะแบบใหม่ขึ้น
มีขนาดเล็กกว่าเครื่องมือหินรุนแรก
โดยใช้สะเก็ดหินชิ้นใหญ่มาตกแต่ด้วยก้อนหินให้เกิดรอยแตกเล็ก ๆ
อย่างต่อเนื่องและตามรรูปแบบที่กำหนด
จนทำให้เกิดความคมกว่ามีประสิทธิภาพใช้ตัดและเฉือนได้ เรียกว่า
เครื่องมือสะเก็ดหิน ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างและไม่มีรูปแบบแน่นอน
เมื่อประมาณ
๑๒,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ได้มีการสร้างเครื่องมือหินแบบฮัวบิเนียน
พบที่เมืองฮัวบินห์ในเวียดนามครั้งแรก
เป็นเครื่องมือกะเทาะประเภทแกนหินที่ทำจากหินกรวดแม่น้ำ
แต่มีรูปแบบแตกต่างไปจากเครื่องมือหินกรวดรุ่นแรก คือมีลักษณะประกอบด้วย
๑.เครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียว เหลือผิวหินเดิมไว้ ส่วนหนึ่งมากบ้างน้อยบ้าง
จึงมีรูปทรงรูปไข่ ทรง
สามเหลี่ยม
ทรงแผ่นกลมแบน สำหรับเครื่องมือหินทรงรูปไข่ ทรงสามเหลี่ยม ทรงแผ่นกลมแบน
สำหรับเครื่องมือหินทรงรูปไข่ที่กะเทาะผิวเดิมออกด้านเดียวจนหมด
โดยเหลือผิวของก้อนหินด้าน
หนึ่งไว้นั้นเรียกว่า เครื่องมือหินแบบสุมาตราลิทล์
๒.เครื่องมือหินกะทำทั้งสองด้านที่มีรูปทรงแตกต่างกันทั้งรูปไข่
สามเหลี่ยมและทรงกลม
๓.
เครื่องมือหินที่เป็นหัวขวาน (SHOT
AXES)
หรือขวานสั้นโดยกะเทาะหน้าเดียวหรือสองหน้า ให้
กะเทาะแนวขวางให้ปลายด้านซ้ายหักออกเพื่อใช้ให้เป็นด้ามของเครื่องมือ
๔.เครื่องมือหินกะเทาะที่ขัดฝนเฉาะส่วนคมเพื่อใช้งาน
คือกะเทาะเป็นรูปหัวขวานที่มีการขัดฝนด้านคม
เท่านั้น
ไม่ขัดเรียบทั้งสิ้น
๕.เครื่องมือหินกะเทาะแบบอื่น ๆ มีรูปทรงต่าง ๆ เป็นเครื่องมือสะเก็ดหิน
เครื่องมือแกนหิน และ
ค้อนหิน
ต่อมาภายหลังประมาณ
๖,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว
ได้มีการสร้างเครื่องมือหินขัดขึ้นอย่างแพร่หลายด้วยการรู้จักนำเครื่องหินกะเทาะมาขัดให้มีรูปร่างต่างกัน
เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ -๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
ชุมชนเกษตรกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้พบว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำวัสดุ
เช่น หิน ดินเผา กระดูก และเปลือกหอย
โดยเฉพาะเครื่องมือหินรูปหัวขวานนั้นได้มีการทำอย่างประณีตมีการขัดจนเรียบ
เรียกว่า ขวานหินขัด และถูกนำไปใช้ทำงานในลักษณะตัดเฉือน แบบมีด
และต่อด้ามยาวเป็นเสียมขุด หรือต่อด้ามสั้นเป็นสิ่ว
ต่อมาเมื่อ ๒,๗๐๐
๒,๕๐๐ ปีมาแล้วมนุษย์รู้จักหลอมโลหะสำริดและการถลุงเหล็ก
เพื่อนำมาหล่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ เช่น หัวขวาน ใบหอก มีด
หัวลูกศร เป็นต้น ส่วนสำริดนั้นได้มีการนำมาใช้ทำเครื่องประดับแทน เช่น กำไร
ต่างหู แหวน เป็นต้น
ดังนั้นช่วงต่อมา
๒,๕๐๐
๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว ไดมีการพัฒนาด้านโลหะกรรม
คือผสมสำริดที่มีลักษณะดีบุกผสมอยู่ปริมาณอยู่มากกว่า ๒๐ เปอร์เซนต์
ทำให้สำริดชนิดใหม่นี้มีความแข็งมากจนเปราะง่ายขึ้น
สามารถผสมสีออกเป็นสีคล้ายสีทองไปจนคล้ายสีเงิน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณดีบุกที่ใช้ผสมการหล่อสำริดที่มีความแข็งและเปราะนั้นทำให้สิ่งของออกมาใช้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการนำวิธีการตีเหล็กมาใช้กับการตีโลหะผสมหรือสำริด กล่าวคือ
ใช้วิธีการเผาสำริดแล้วตีในขณะที่โลหะผสมกำลังร้อนจนเป็นสีแดง
เมื่อตีได้รูปร่างที่ต้องการแล้วก็เผาวัตถุที่ดีขึ้นจนได้ที่แล้วให้ร้อนเป็นสีแดงอีกครั้ง
แล้วชุบไปในน้ำเย็นทันที
จึงทำให้สามารถสำริดทำเป็นเครื่องประดับและภาชนะสำริดมีความแข็งแกร่งทนทานได้
และมีผิวสำริดที่สวยกว่าการหล่อสำริดแบบเดิมอีกด้วย
ในช่วงเวลา ๒,๕๐๐
๑,๖๐๐ ปีมาแล้วนั้นได้มีการผลิตเหล็กและเกลือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และมีการผลิตทองแดงมากขึ้นจนเกินว่าจะใช้ในชุมชนในพื้นที่จังหวัดลพบุรี
เป็นการแสดงว่า ได้มีการส่งสินค้าแลกเปลี่ยนปรือซื้อขายกับชุมอื่น ๆ
ที่อยู่ต่างภูมิภาค
ภาชนะดินเผา
สำหรับภาชนะดินเผานั้น แม้มีการสร้างมาตั้งแต่ระยะแรก ๆ
บ้างก็เป็นเพียงนำมาใช้งานในการฝังศพ เมื่อประมาณ๕,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
การทำภาชนะดินเผาได้เกิดมากมายอยู่ตามแหล่งโบราณคดีที่เป็นชุมชนเกษตรกรรม
ซึ่งภาชนะดินเผาเหล่านี้มีความหลากหลายทางรูปแบบของการใช้งาน
ซึ่งมีวิธีการตกแต่งผิวนอกภาชนะ การเตรียมดิน เทคนิคการเผา ภาชนะ
ซึ่งปรากฏว่าทุกชุมชนมีภาชนะดินเผาขึ้นใช่เองทั่วไป และมีลักษณะขององถิ่นอยู่บ้าง
ต่อมามีการแพร่กระจายไปตามชุมชนอื่น ๆ หรือตามรูปแบบกัน
ครั้นเมื่อ ๔,๐๐๐
ปีมาแล้ว มนุษย์ได้รู้จักโลหะผสมคือ นำทองแดงราว ๑๐-๘๐
%
ทำเป็นโลหะสำริดขึ้น และยังนำสำริดผสมผสมเพิ่มลงไป
จึงมีการสร้างภาชนะที่เป็นสำริดมาแทนภาชนะดินเผา
ในช่วงเวลา ๒,๕๐๐ -๑,๖๐๐ ปีมาแล้วนั้น ได้มีการสร้างกลองมโหระทึก
สำริดและวัตถุสำริดที่มีรูปทรงและตกแต่งตามแบบวัฒนธรรมดองชอน ที่พบในเวียดนาม
การฝังศพ
ในแหล่งโบราณคดีมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นั้นมีการฝังศพมาช้านานในชุมชนเกษตรกรรมรุ่นแรกนั้นพบว่ามีพื้นที่ฝังศพอยู่เสมอ
การจัดรูปแบบของประเพณีของชุมชนเกี่ยวกับการฝังศพขึ้น กล่าวคือ
การฝังศพนั้นมีการวัดข้อมือข้อเท้าศพและห่อก่อนฝัง
มีการตกแต่งร่างกายของผู้ตายด้วยเครื่องประดับ และมีการจัดเครื่องเซ่น
ที่เป็นอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยโดยเฉพาะภาชนะดินเผา
ต่อช่วงเวลาประมาณ
๕,๐๐๐
๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
ได้พบการฝังศพมีการวางสิ่งของเครื่องประดับฝังอยู่ด้วยในปริมาณที่แตกต่างกันตามฐานะของสมาชิกชุมชน
พบว่ามีเครื่องประดับเป็นสิ่งของมีค่าที่ผลิตมาจากชุมชนอื่นฝังอยู่ด้วย
เป็นการแสดงว่าสิ่งของหรือเครื่องประดับนั้นมีการแลกเปลี่ยนมาจากที่อื่น
เป็นของมีค่าที่สมาชิกหรือบุคคลบางคนหรือบางครอบครัวมีสิทธิครอบครองได้ปริมาณมากกว่าครอบครัวอื่น
ภาพเขียนสี
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นั้นได้รู้จักการเขียนภาพไว้บนผนังถ้ำหรือเพิงหินผา
ซึ่งบริเวณดังกล่าวนั้นชื่อว่า
น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์กลางของการประกอบพิธีกรรมร่วมกันในกลุ่มของตนหรือของชุมชน
ดังนั้นหินผาหรือผนังถ้ำจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถมองเห็นและถือเป็นที่หมายเพื่อพิธีกรรมร่วมกัน
ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้หรือบริเวณใกล้เคียงกัน
การชุมนุมเพื่อทำพิธีกรรมร่วมกันนั้น ได้มีการร่วมเขียนภาพด้วยสีจากธรรมชาติ
ยางไม้ และดินสีเพื่อแสดงถึงภาพความเชื่อถือ และสะท้องวิถีชีวิต
หรือสิ่งที่มีความหมาย เช่นภาพคน สุนัข กบ วัว ควาย ปลา เต่า
สัตว์คล้ายลิง เป็นต้น ส่วนใหญ่มักเขียนด้วยดินสีแดง และเส้นสีดำ
บางแห่งเขียนเป็นรูปมือแสดงถึงความเป็นเจ้าของสถานที่ หรือลวดลายทรงเรขาคณิต
ภาพเขียนส่วนใหญ่มักแสดงถึง การเพาะปลูก การล่าสัตว์ พิธีกรรม
เซ่นไหว้ขอความหวังในการหาปลา ล่าสัตว์ หรือทำนา
มีภาพเขียนปรากฏขึ้นบนผนังถ้าหลายแห่งทั่วประเทศ ภาะเขียนสีที่สำคัญได้แก่
ภาพเขียนที่ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ภาพเขียนที่ประตูผา
อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ภาพเขียนที่เขาปลาร้า อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
ภาพเขียนที่เขาจันทร์งาม อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ภาพเขียนที่ถ้ำตาด้วง
อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ภาพเขียนที่เขาสามยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ดังนั้น
ภาพเขียนสีที่มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์เขียนไว้ที่ผนังถ้ำเพิงหินผานั้น
จึงเป็นภาพที่สามารถถ่ายทอดให้รู้ถึงเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
จึงถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
|