เมืองท่าโบราณในดินแดนสุวรรณภูมิ
เมืองท่าโบราณในดินแดนสุวรรณภูมิ
ในสมัยโบราณนั้นชาวอินเดียตอนใต้ จากแคว้นกลิงคราษฎร์ เมืองมัทราช
ได้พากันเดินทางเข้ามาทำการค้าขายทางทะเลทางเส้นทางนี้ เมื่อประมาณ ๑,๔๐๐
๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยขึ้นบกที่เมืองตักโกลา
ข้ามเข้าด้านหลังเมืองแล้วล่องมาตามลำน้ำตะกั่วป่า แม่น้ำคีรีรัฐ
แล้วตั้งเมืองที่เมืองที่เมืองไชยยา ต่อมาก็ย้อนลงมาข้าแม่น้ำหลวง
(แม่น้ำตาปตีหรือตาปี)
พวกหนึ่งและอีกพวกหนึ่งแยกลงไปทางใต้ตั้งเมืองที่หาดทรายแก้วชื่อเมืองตามพรลิงค์
เมืองตักโกลา หรือ
กราตักโกลา ที่ปรากฏในศิลาจารึกกาลาสัน พ.ศ. ๑๓๒๒ นั้น คือ
เมืองท่าสำคัญที่เป็นทำเลไปมาหาสู่ยังเมืองต่าง ๆ
ทางตอนใต้ของสยามประเทศข้อสรุปใหม่ก็คือ เมืองตักโกลานี้น่าจะเป็นเมืองตรัง
มากกว่าเมืองตะกั่วป่า นักประวัติศาสตร์ได้เข้าใจกันมาแต่เดิม
เนื่องจากปรากฏว่า
มีชื่อ เมืองตะโกลา (แปลว่ากระวาน) อยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศไทย
จึงข้อสันนิษฐานของเยรินีว่า ว่า ตะโกลานั้นเป็นเมืองตะกั่วป่า
และเบอร์เทลลอตได้สันนิษฐานว่า ตะโกลานั้นเป็นเมืองตรัง เป็นข้อขัดแย้งกันอยู่
สำหรับทำเลเมืองท่าโบราณชื่อ ตะโกลา นั้น
เป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อการเดินทางของวิทยาการต่าง ๆ ที่มาจากอินเดีย
ดังนั้นสืบค้นได้ว่า
ในคัมภีร์มิลินทะปัญหา (คัมภีร์นั้นขียนขึ้นจากที่พระเจ้ามิลินท์สวรรคตเกือบ ๑๐๐
ปี และก่อนที่ ปโตเลมี ทำการเขียนเส้นทางภูมิศาสตร์ ๒๐๐ปี) พระปิฎกจุฬาเถระ
ได้รจนาไว้ เมื่อ พ.ศ. ๕๐๐
มีความว่าพระมหานาคเสนเถระที่ได้ยกขึ้นอุปมาถวายพรเจ้ามิลินท์ (พระเจ้าเมนันเอดร์)
กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นคันธาระหว่าง พ.ศ. ๓๙๒
๔๑๓ และได้กล่าวถึงการแล่นเรือมหาสมุทรไปยังเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีชื่อ
ตักโกละอยู่ด้วย
การเดินทางของสมัยโบราณนี้ เชื่อว่าเมื่อแชประมาณ ๑๔๐๐
๑๕๐๐ ปีชาวอินเดียตอนใต้จากแคว้นกลิงคราษฎร์ เมืองมัทราชนี้
พากันเดินทางเข้ามาค้าขายกันทางทะเลและขึ้นบกที่เมืองตักดกลา (เมืองตรัง
หรือเมืองตะกั่วป่า) ข้ามเขาหลังเมืองและล่องมาตามน้ำตะกั่วป่า แม่น้ำคีรีรัฐ
แล้วตั้งเมืองที่เองไชยา ต่อมาก็ย้อนข้ามลงมาข้าแม่น้ำหลวง (แม่น้ำตาปตีหรือคาปี)
พวกหนึ่งและอีกพวกหนึ่งแยกลงไปทางใต้ตั้งเมืองที่หาดทรายแก้วชื่อเมืองตามพรลิงค์
(เมืองนครศรีธรรมราช)
ในศิลาจารึกกาลาสัน
พ.ศ. ๑๓๒๒ ที่มีความปรากฏว่า
อาณาจักรศรีวิชัยมีประเทศราชตั้งอยู่บนฝั่งทั้งสองของแหลมมลายูหลายประเทศ
คือ ปาหัง ตรังกานู กบลันตัน ตามพรลิงค์ ครหิ ลังกาสุกะ เกตะ กราตักโกลา
ปับผาสะ นั้น
ตักโกละ หรือตักโกลา
นั้นมีข้อศึกษากับทางประวัติศาสตร์ว่า ไม่ใช่เมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
แต่เป็น เมืองตรังนั้น มีข้อมูลและตุผลมาจากการสำรวจทางประวัติศาสตร์โบราณคดีว่า
๑.
เส้นทางข้ามแหลมจากตะกั่วป่า (อำเภอตะกั่วป่า) มายังอ่าวบ้านดอน
เป็นเส้นทางทุรกันดารไม่
เหมาะสมกับการเดินทางค้าขายในสมัยโบราณ ที่ต้องลำเลียงสินค้าจำนวนมาก
เส้นทางนี้ต้องเดินเท้าขึ้นเขาสกด้วย
ไม่น่าเชื่ออเล็กซานเดอร์
พ้อค้าชาวกรีกจะเดินเรือมาขึ้นที่ตะกัวป่าแล้วขนสินค้าข้ามแหลมมาอ่าวบ้านดอนได้
และไม่พบวัตถุโบราณวัตถุที่ร่วมสมัยกับพระเจ้ามิลินท์ (พ.ศ. ๓๙๒ -๔๑๓)
หรือพ่อค้าอเล็กซานเดอร์ พ่อค้าชาวกรีก (พ.ศ. ๖๘๓ ๗๐๘) ที่ปโตเลมีเขียนบันทึกไว้)
๒.
มีเส้นทางทั้งทางน้ำและทางบกอีกหลายทางที่สามารถขนถ่ายสินค้าจากตะวันตกไปตะวันออกได้
สะดวกกว่า และพบว่า
เมืองตกโกลานี้เป็นศูนย์กลางการค้า อยู่ที่ จังหวัดตรัง บริเวณบ้านหูหนาน
หรือกรุงธานี และแม่น้ำตรังก็คือ แม่น้ำไครโสนาส ในภูมิศาสตร์ของเปโตเลมี
การมองทำเลเมืองท่าสำคัญของเมืองตักโกลา
ว่าอยู่ที่เมืองตรังเป็นเมืองท่าที่มีอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปีนี้ จึง
สำคัญและเป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า ทำเลนี้สอดคล้องกับเส้นทางโบราณ
ทำเลดังกล่าวนี้มีอายุเก่ากว่าอาณาจักรสุโขทัยและเป็นเรื่องที่เปลี่ยนข้อสันนิษฐานเดิมที่เชื่อกันว่า
ตักโกลาคือ เมืองตะกั่วป่า
สำหรับเมืองตรังในสมัยโบราณนั้นสามารถแบ่งความเจริญเติบโตของชุมชนเป็น ๓ ยุค
กล่าวคือ
·
ยุคแรก
ตัวเมืองตั้งอยู่เหนือเขาปินะอยู่ระยะหนึ่ง
ริมฝั่งแม่น้ำตะวันออกมีปากคลองกะปาง ฝั่งตรงข้ามคลองกะปางเป็นบ้านหูหนาน
ชาวบ้านเรียกกรุงธานี ปัจจุบันเป็สาวนยางพารา บ้านหูหนานหรือกรุงธานี
นี้เป็นที่ตั้งเมืองตักโกลา (ตะโกลา)
ในถ้าเขาปินะพบพระพิมพ์ดินดิบศิลปะสกุลคุปตะมีอายุราว พุทธศตวรรษ ที่ ๑๒-๑๓
จำนวนมาก
·
ยุคสอง
ตัวเมืองย้ายมาตั้งใกล้คูเมืองลำภูรา เรียกว่า เมืองตรังปุระหรือ
เมืองลำภูรา มีเขาลำภุรา ในถ้ามรชีภาพเขียนสี
พบเครื่องมือหินใหม่กับหม้อดินเผาสีดำชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำตรา
ถัดตัวเมืองนี้ลงมามีหมู่บ้านอู่ตะเภา หรือ ทุ่งทัพเรือ
เป็นที่ต่อเรือรบของเมืองตรังคปุระ เมืองนี้มีอายุประมาณสมัยสุโขทัย
·
ยุคสาม
ตัวเมืองย้ายมาตั้งอยู่ข้างใต้หมู่บ้านอู่ตะเภา บริเวณบ้านาแขก
เรียกว่าตรังนาแขก มีอายุสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จเจ้าฟ้า
กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้บันทึกการเดินทางเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ไว้ว่า
ถึงบ้านท่าจีน
พวกจีนฮกเกี้ยนอยู่ค้าขาย เรือเสาใบอย่างจีนใหญ่ ๆ จอดอยู่ ๘ ลำ
และมีอู่ต่อเรือชนิดนั้นที่นั่นอีก ๒ แห่ง กำลังต่อเรืออยู่ทั้ง ๒ อู่ ..
สำหรับเส้นทางโบราณเป็นขอพิสูจน์ว่า เมืองโกตักลานั้นคือ เมืองตรัง
แน่นอนนั้นคือ เส้นทางเดินเรือจากปากแม่น้ำตรังในสมัยโบราณ (ราวต้นพุทธศักราช)
นั้น มีเส้นทางเดินผ่านตลอดไปถึงแม่น้ำตาปีที่อ่าวบ้านดอนใต้
โดยมีคลองโอ๊กกับคอลงมีนเป็นลำน้ำเชื่อมโยงถึงกันได้
เป็นการแล่นเรือผ่านไปตามไครเสเซอโสเนสส (เกาะทองหรือสุวรรณทวีป)
จนไปถึงอ่าวบ้านดอน
หลังจากนั้นสามารถแล่นเรือไปยังเวียดนามและจีนโดยไม่ต้องผ่านทางช่องแคบมะละกา
ซึ่งเป็นทางอ้อมและมีโจรสลัดชุกชุม
เมื่อมีการคมนาคมขนถ่ายสินค้าต่อเนื่องมาทุกสมัย
จึงทำให้เกิดชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองขึ้น
เมืองต่างจึงเกิดขึ้นตามเกาะทองรวมทั้งเมืองตักโกลา (ตะโกลา) ด้วย
นอกจากเส้นทางเดินเรือดังกล่าวแล้วยังมีเส้นทางบกในสมัยโบราณข้ามจากแถบตะวันตกไปจากฝั่งตะวันออกด้วย
โดยอาศัยช้างและม้าบรรทุกสินค้ามาตามเส้นทางเดินจากตรังผ่านช่องแคบพับผ้าทางหนึ่ง
ที่วัดคูหาสวรรค์
จังหวัดพัทลุงนั้นได้พบพระพิมพ์ดินดิบศิลปะคุปตะสมัยเดียวกันกับที่พบถ้ำแถบจังหวัดตรังด้วย
อีกเส้นทางหนึ่งเดินทางจากบ้านหูหนานคือเมืองตรังกรุงธานี ผ่านกะปางไปออกทุ่งสง
ไปปากแพรก ออกร่อน
พิสูจน์
เข้าธงชัยไปศาลามีชัย สู่เมืองตามพรลิงค์ (เมืองนครศรีธรรมราช)
พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ตำบลเขาพระ อำเภอร่อนพิบูลย์ คือศิลาจารึกอักศรปัลลวะ
มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑
๑๒ ที่เขาช่องคอย
เป็นหลักฐานว่า บริเวณนั้นเป็นชุมชนโบราณมากกว่า ๑,๓๐๐ ปีแล้ว
ในบันทึกของหลวงจีนอี้จึงเดินทางไปศึกษาคัมภีร์ทางศาสนาพุทธที่อินเดียนั้นได้เดินทางออกจากกวางตุงเมื่อปี
พ.ศ. ๑๒๑๔ ด้วยเรือสำเภาของพ่อค้าชาวเปอร์เซีย เดินทาง ๒๐ วันถึงเมืองไชยา
เรียนภาษาสันสกฤตที่ไชยา ๖ เดือน แล้วเดินทางผ่านช่องแคบมะละกา
เมื่อศึกษาอยู่ที่อินเดียนานถึง ๑๔ ปี ก็เดินทางกลับมาทางลัดผ่านทางทับเที่ยง
(ที่ตั้งอำเภอเมืองตรังในปัจจุบันนี้) เส้นทางกลับนี้เข้าใจว่า
หลวงจีนอี้จิงเดินทางเรือมาขึ้นบกที่บ้านท่าจีน
แล้วเดินทางบกต่อมาเส้นทางช่องเขาพับผ้า เข้าสู่เมืองพัทลุงและสทังพระ
แล้วมุ่งตรงไปเมืองไชยา
สรุปแล้วบ้านหูหนาน
(กรุงธานี) และบ้านท่าจีน ของเมืองตรังจึงเป็นท่าเรือสำคัญ
เป็นทำเลเมืองท่าโบราณที่มีอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปีของเมืองตักโกลาหรือตะโกลา
ไม่น่าจะเป็นเมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงาอย่างที่เข้าใจกันแต่เดิม
เมืองสำคัญอีกแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองพัทลุงนั้น คือ เมืองปะเหลียน (เมืองปะลันตา
เป็นเมืองเก่าแก่อัชีเมืองหนึ่งตั้งมาพร้อมกับเมืองตะโกลา (เมืองตรัง)
มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑,๘๐๐ ปี มีชื่อปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์ปโตเลมีว่า
ปะลันตา เมืองนี้มีแม่น้ำปะเหลียน เป็นแม่น้ำเคียงคู่ไปกับแม่น้ำตรัง
ที่ใช้เป็นเส้นทางสำหรับขึ้นบกต่อไปไปเมืองพิทลุงได้ ในสมัยรัตนโกสินทร์
หลวงปะเหลียนโต๊ะกา ถูกเจ้าเมืองพิทลงใช้ให้ไปซื้ออาวุธปืนกระสุนดินดำ
ปืนลินลาปากนก เป็นต้น จากพระยาราชกปิตัน (พรานซิส ไลท์) ที่เกาะปีนัง
เมือพ.ศ. ๒๓๓๐ เพื่อมาใช้ต่อสู้กับพม่า
เมืองปะเหลียนนั้นครั้งแรกอยู่ใกล้เมืองพัทลุง (คือ หมู่ที่ ๓ ต.ปะเหลียน )
ต่อมาพ.ศ. ๒๔๓๔ ได้ย้ายมาตั้งที่ตำบลท่าพญา เป็นอำเภอพญาขึ้นกับเมืองตรัง
และเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอปะเหลียน ใน พ.ศ. ๒๔๔๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๕
อำเภอปะเหลียนได้ยุบเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดตรัง พระยาปริยันต์เกษตรานุรักษ์
(ทองขาว ณ พัทลุง) นั้นเป็นเจ้าเมืองปะเหลียนคนสุดท้าย
ก่อนที่พยารัษฎานุประดิษฐ์ เจ้าเมืองตรังเข้ามาปกครอง พ.ศ. ๒๔๕๐
อำเภอปะเหลียนได้ย้ายมาตั้งอยู่ที่บ้านหยงสตาร์ประมาณ ๑๐ ปี
จึงย้ายมาตั้งอยู่ที่ตลาดท่าข้าม วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐
จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอหยงสตาร์ ในวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑
จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอปะเหลียน ตามเดิม เมืองปะเหลียน นี้
ไม่มีทำเลแน่นอนเลยสักสมัย จึงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อที่ตั้งยู่เสมอ ทั้ง ๆ
ที่เป็นเมืองโบราณเหมือนกัน
สรุปแล้วพื้นที่เมืองตรังมีความเหมาะสมที่จะเชื่อว่าเป็น ตะโกลา
ในสมัยโบราณและเป็นจุดที่ชาวอินเดียเดินทางไปยังเมือตามพรลิงค์
(เมืองนครศรีธรรมราช) เมืองครหิและเมืองไชยา (ยอรช เซเดส์ ว่าเป็นที่เดียวกัน)
ซึ่งต่อเป็นชุมชนที่ชาวอินเดียนำวิทยาการที่เป็นอารยธรรมอินเดียโบราณเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิครั้งแรก
รวมทั้งเกิดศาสนาพราหมณ์ขึ้นที่ชุมชนเขาคา ด้วย
ดินแดนสุวรรณภูมินั้น
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๙ เป็นต้นมา บริเวณตอนกลางนั้น บ้านเมือง
ตั้งอยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
มีการตั้งชุมชนสำคัญ ๆ อยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ชุมชนหรือบ้านเมืองด้านตะวันตกของแม่น้ำท่าจีนที่สำคัญนั้น คือ เมืองอู่ทอง
ปรากฏว่าพบหลักฐานร่องรอยของเรือสินค้าชาวต่างชาติเดินทางไปมาและจอดหน้าเมืองได้
หลักฐานที่คัญทางโบราณคดีชิ้นหนึ่งพบที่กลางป่าตำบลพลตึก อำเภอท่ามะกา
จังหวัดกาญจนบุรี แถบต้นแม่น้ำแม่กลอง คือตะเกียงโรมสำริด สมัยพุทธสตวรรษที่ ๖
ซึ่งสร้างแบบเดียวกันกับตะเกียงที่หล่อขึ้นจากเมือวอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ถือว่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึง การติดต่อระหว่างโบราณสถานที่พงตึก
กับเรือสินค้ากับชาวต่างประเทศในสมัยโบราณในแผนที่โบราณบางฉบับมีชื่อ พงตึก
ปรากฏในแผนที่นั่นด้วย สันนิษฐานคำว่า
พงตึก
นั้น น่าจะเป็นสำเนียงถ้อยคำที่มาจากภาษาเขมร ปวงตึ๊ก
ซึ่งแปลว่า ท่าเรือ
ดังนั้นชาวอินเดียเดินทางมาค้าขายในดินแดนตะวันออกหรือดินแดนสุวรรณภูมิมากขึ้น
จึงทำให้มีเส้นทางทะเลติดต่อกันเป็นประจำ ดังนั้นเมื่อสุวรรณภูมิมากขึ้น
จึงทำให้มีเส้นทางบกและเส้นทะเลติดต่อกันเป็นประจำ ดังนั้นเมือวรรณกรรมต่าง ๆ
ของอินเดียได้ถูกนำมาเผยแพร่
จึงมีการประพันธ์เรื่องราวที่กล่าวถึงดินแดนสุวรรณภูมิไว้ด้วย เช่น พระมหาชนก
และเจ้าชายสุวรรณสาม นั้นได้มีความปรารถนาที่เดินทางไปยังสุวรรณภูมิ
ซึ่งเป็นชื่อของอาณาจักรที่อยู่ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คืออาณาจักรสยาม)
และมีชื่อปรากฏในเอกสารและแผนที่โบราณ
ซึ่งมีชื่อสถานสำคัญและมีเมืองอีกหลายเมืองที่กล่าวถึงนั้นด้วย
ในบันทึกของปโตเลมี ชาวกรีก ได้เขียนบันทึกไว้เมื่อราว พ.ศ. ๗๐๐
นั้นมีชื่อเมือง คือ ตะโกลา ปรากฏอยู่
(สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นท่าเรือโบราณในเมืองตรัง
ซึ่งเดิมเข้าใจว่าชื่อนี้เหมือนคำว่า ตะกั่วป่า จึงเข้าใจว่าเป็นอำเภอตะกั่วป่า
บ้างว่าอยู่ที่ควนลูกปัด อ.ควนลูกปัด จ.กระบี่
สมัยนั้นท่าเรือนั้นเป็นตลาดกระวาน (คล้องกับคำว่า ตะโกลา) เกาะการบูร
(กรรปูรทวีป) เกาะมะพร้าว (นาริเกทวีป) บอกลักษณะของสินค้าไปในตัว
การเดินทางติดต่อไปมาค้าขายกับดินแดนสุวรรณภูมิดังกล่าวนั้น
ทำให้พ่อค้าอินเดียโบราณบางคนได้ตั้งถิ่นฐาน (ประจำเมืองท่า)
และมีครอบครัวกับหญิงพื้นเมือง
ต่อมาได้สร้างตนขึ้นเป็นหัวหน้าชุมชนและมีอำนาจเหนือชาวพื้นเมือง
สร้างระบบการครองเมืองตามแบบผู้ครองอย่างอินเดีย
เส้นทางเดินของพ่อค้าชาวอินเดียภาคใต้นั้น
น่าจะลงเรือสำเภาสินค้าเดินทางมาทางทะเลข้ามอ่าวเ
บงกอล
เข้ามาทางหมู่เกาะอันดามัน เกาะนิโคบาร์ และแหลมอฉินด้านเหนือของเกาะสุมาตรา
มายังดินแดนทางฝั่งทะเลอินเดีย
พ่อค้าอินเดียบางพวกเดินทางมาขึ้นบกที่ตะโกลา (ท่าเรือเมืองตรัง)
แล้วเดินทางต่อมายังเมืองไชยา (ครหิ) และอ่าวบ้านดอน (พันพันหรือพุนพิน)
แล้วเดินทางบกต่อไปยังตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
และบางพวกก็เดินทางขึ้นบกที่เมืองไทรบุรี แล้วเดินตามเส้นทางบกต่อมายังเมืองสงขลา
เส้นทางของพ่อค้าชาวอินเดียภาคกลางนั้น
น่าจะแล่นเรือสำเภาสินค้าเลียบชายฝั่งมาขึ้นบกที่เมืองทวาย
แล้วเดินบกมาทางด้านตะวันออก ผ่านเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
ค่านมะขามเตี้ยหรือด่านทับตะโก
ลงเรือและเดินบกมาตามแม่น้ำแม่กลองเข้ามาทางลุ่มแม่น้ำแม่กลองเข้ามาทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ติดต่อขึ้นไปทางอนาจักรทางเหนือได้
หรือลงเรือสินค้าขนาดใหญ่เดินทางข้ามอ่าวไทยต่อไปยังดินแดนของอนาจักรฟูนัน (เขมร)
และอาณาจักรจามปา (ญวน) ก็ได้
พ่อค้าอินเดียบางกลุ่มเดินทางโดยลงเรือที่เมืองละริดแล้วนั่งเกวียนหรือเดินช้างมาทางบกมาทางเมืองพริบพรี
(เพชรบูรี) บางกลุ่มเดินทางเข้าทางด่านสิงขรมาทางจังหวัดประจวบคิรีขันธ์
ส่วนเส้นทางของพ่อค้าชาวอินเดียทางภาคเหนือนั้นน่าจะเดินทางผ่านมาทางดินแดนพม่า
เข้ามาทางชายแดนแม่ฮ่องสอน เข้ามาเมืองเชียงใหม่หรือเข้ามาทางเมืองมะละแหม่ง
ผ่านด่านแม่ละเมาที่แม่สอด เข้ามายังเมืองตากที่อยู่ฝั่งแม่น้ำวัง
แล้วลงเรือเดินทางมายังเมืองต่างๆในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ในปัจจุบันนี้ยังมีการใช้เส้นทางนี้
ต้อนวัวจากบังคลาเทศให้เดินทางผ่านพม่ามายังไทย
โดยเดินผ่านเข้ามาจังหวัดแม่ฮ่องสอนและอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
สำหรับชาวพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้นสามารถเดินทางไปยังเมืองต่างๆ
ที่อยู่ลุ่มแม่น้ำโขงได้ โดยใช้เส้นทางเดินบกผ่านเมืองศรีเทพ
(ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์)ผ่านด่านนครไทย(อ.นครไทย
จ.พิษณุโลก)แล้วข้ามแม่น้ำโขงไปยังอาณาจักรศรีสตนาคนหุต (ลาว) และอาณาจักร
ศรีโคตรบูรณ์
(นครพนม) ได้
เส้นทางเดินของพ่อค้าชาวอินเดียโบราณ ที่เข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมินั้น
ทำให้เกิดชุมชนสำคัญขึ้นและรับเอาอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างๆจากอินเดียไปใช่สร่างบ้านแปลงเมืองขึ้นดังจะเห็นว่ามีการพบจารึกอักษรปัลลวะรูปปั้นดินเผาในคติพราหมณ์
สถาปัตยกรรมของโบราณสถาน อยู่ในชุมชนต่าง
สรุปสาระความรู้
ชาวอินเดียและจีน
นั้นเป็นชาติที่เดินทางติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับดินแดน
สุวรรณภูมิมาก่อนสมัยราชวงศ์ ระหว่าง พ.ศ. ๔๐๐
๕๐๐ จีนได้ขยายเขตการค้าขายเข้ามาถึงประเทศดินแดนสุวรรณภูมิ
ทำให้ดินแดนดังกล่าวนั้นได้กลายเป็นสินค้าดังกล่าว
นั้นได้กลายเป็นศูนย์การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของประเทศตะวันตกคือ อินเดีย
และประเทศตะวันออกคือจีน
จนเป็นเหตุดินแดนสุวรรณภูมินั้นกลายเป็นแหล่งที่มีจำนวนสินค้า
ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น จนทำให้ชาวต่างชาติมาติดต่อค้าขายด้วย
และพากันเคลื่อนย้ายแหล่งค้าขายแหล่งค้าขายเข้ามาตั้งแต่ทำเลถาวร
และแต่งงานกับคนพื้นเมืองกลายเป็นประชาชนขอซื้อของถิ่นนั้นไปการเคลื่อนย้ายทำเลค้าขายแลกเปลี่ยนนั้น
ได้ทำเกิดเมืองท่าหรือสถานีการค้าทางทะเลสำคัญขึ้น ๒ แห่ง
คือฝั่งทะเลตะวันตกนั้นมีท่าเรือตะโกลา อยู่ที่ตรัง บ้างว่าที่ ควนลูกปัด
อำเภอคลองท่อม จ.กระบี่ ซึ่งอยู่ในอ่าวพังงา
และทางภาคตะวันออกนั่นมีท่าเรือออกแก้ว หรือ ฟูนัน
ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม
สำหรับดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งอ่าวไทยนั้น
เดิมนั้นมีร่องลอยของทะเลเข้าไปในดินแดนแลดมีเมืองสำคัญ คือ เมืองอู่ทอง
ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของอ่าวไทย อยู่ระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำท่าจีน
(แม่น้ำจระเข้สามพัน เจ้าเมืองกษัตริย์ของเมืออู่ทองนี้
ได้เลือกที่จะรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาใช้ประโยชน์ในการปกครองจึงมีการสร้างสถูปเจดีย์ขึ้นเป็นแห่งแรก
ต่อมาได้มีการสร้างสถูปเจดีย์เผยแพร่ไปยังที่อื่น เช่น เมืองศรีวิชัย (นครชัยศรี
) และ เมืองนครปฐมโบราณ เป็นต้น
าสนาพราหมณ์ที่เผยแพร่อข้าสมัยนั้น
ในขณะเดียวกันฏหลักฐานในการสร้างพระบรมธาตุสำคัญ ที่เมืองตราพรลิงค์
|