อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรศรีวิชัย นี้เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ คือบริเวณที่เป็นแหลมมลายู
เดินนั้น ศาสดาจารย์ยอรซ์ เซเดส์ ได้อ่านศิลาจารึกวัดเสมา เมืองนครศรีธรรมราช
พบคำว่าศรีวิชัย จึงมีความเห็นว่า
ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยนั้นอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา
ประเทศอินเดีย เจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔
อาณาจักรแห่งนี้ จีนเรียกว่า ชิลิโพชิ หรือโฟชิ หรือคันโทลี หรือ โคยิง แต่
อาร์ วี มาจุมดาร์ นักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีอินเดีย
มีความเห็นว่าศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัยนี้ขึ้นอยู่บนเกาะชวา
แล้วต่อมาได้ย้ายมานครศรีธรรมราช และควดริทซ์ เวลส์
นักประวัติศาสตร์อังกฤษว่าอาณาจักรศรีวิชัยนั้นตั้งอยู่ที่เมืองไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรงกับความเห็นของ หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี
ส่วนซึกโมโน นักโบราณคดี อินโดนีเซียว่า อาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่เมืองจัมบี
หรือซัมพิ ในเกาะสุมาตรา
ด้วยเหตุนี้อาณาจักรศรีวัย จึงปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ
จึงมีศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรอยู่หลายแห่งดังกล่าว
ดังนั้นเมืองสำคัญของศรีวิชัยจึงมีอยู่ทั้งบนแหลมมลายู และเกาะสุมาตรา เช่น
เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองปาเล็มบัง และเมืองจัมบี เป็นต้น
ดังนั้นการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างเมืองในอาณาจักรแห่งนี้
จึงมีเส้นทางการเดินเรือไปตามเมืองท่าสำคัญและทำให้การติดต่อกับพ่อค้าอินเดียในสมัยอินดียโรมันด้วย
พบแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในภาคใต้ ด้านฝั่งทะเลตะวันออก จังหวัดชุมพร
พบแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พบแหล่งโบราณคดีวัดอัมพาวาสที่อำเภอท่าชนะ แหล่งโบราณคดีแหลมโพธิ์ที่อำเภอไชยา
สำหรับด้านฝั่งทะเลตะวันตก จังหวัดพังงา พบแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก
คาบสมุทรมลายู พบแหล่งโบราณคดีเปงกาลัน บุจังที่รัฐเคดะห์
แหล่งโบราณคดีที่กัวลาเซลิงซิง และบูกิต แหล่งโบราณคดีเตงกูเลมบู
พบโบราณวัตถุที่เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย แบบฝังสี เหรียญอินเดียโบราณ เป็นต้น
ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปคาบมหาสมุทรมลายูนั้น
ได้พบกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอนอยู่แพร่กระจายตามแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ
นับว่าเป็นชุมชนการค้าหรือแหล่งค้าขายของชาวอินเดีย
ซึ่งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาเป็นหลัก
จนชุมชนเหล่านั้นได้รับเอศาสนานั้นเข้าไปทำให้ชุมชนร่มเย็นเป็นสุขในที่สุด
ต่อมาเมืออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ดินแดนทางแหลมมาลายู
หรือแหลมทองนั้นมีการตั้งอาณาจักรศรีวิชัย
สามารถควบคุมเส้นทางการค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ
เปอร์เซียและยุโรปได้
อาณาศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ
อินโดนีเซียขึ้นขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า (ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์)
จังหวัดนครศรีธรรมราช
การพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับอาณาจักรศรีวิชัยที่วัดเสมาเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น มีคำว่า ศรีวิชัย ส่วน เมืองครห
ในสมัยศรีวิชัยนั้น เป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลี และพริกไทยเม็ด
โดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มาก
แต่ยังมีความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหิไม่น่าใช่เมืองไชยา กล่าวคือ
เมืองไชยาเป็นสถานที่แห่งเดียวที่สุมาตรา
ทีสั่งซื้อมาให้อำมาตย์คลาในผู้ป่วยเมืองครหิ ได้ทำการจัดการหล่อขึ้น พ.ศ. ๑๗๒๖
ตรงกับมหาศักราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า
ที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาในผู้ครองเมืองครหิ ได้ทการหล่อขึ้นเมือง พ.ศ. ๑๗๒๖
ตรงกับมหาราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงว่าครหิ
นั้นเป็นการแสดงอำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา ซึ่งนาจะเป็นครหิ
ที่เกิดขึ้นหลังอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้ว
หรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตาพรลิงค์ในพ.ศ. ๑๗๐๐
ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย
มากกว่าเมืองปาเล็มบัง
เมืองไชยานั้น ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน ให้องค์เจดีย์เป็นรูปสีขระ
แปลว่าแบบภูเขา คือเจดีย์มียอดจำนวนมาก ตามคติให้มีพระพุทธเจ้าหลานพระองค์ เช่น
พระพุทธเจ้าพุทธะ พระมัญศรีพุทธะ พระญาณิพุทธะ เป็นต้น
ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยได้สร้างไอษฎิเคหะ คือ
เรือนอิฐหรือปราสาทอิฐขึ้น ๓ หลัง สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ ปัทมปาณี
วัชรปาณี และมารวิชัย ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้
พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้แล้วยังมี เจดีย์ที่วัดแก้ว
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ต้องชำรุด
และเจดีย์ที่วัดหลงเดิมนั้นเหลือแต่ฐานอิฐที่มีลักษณะเดียวกัน
พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับการบูรณะใหม่
เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุและสิ่งของต่าง
ๆ เดิมทีพื้นมีรูระบายอากาศเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ ซ.ม. ๒ แห่ง ต่อมาได้อุดเสีย
ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ ๓ เมตร หรือ ๖
ศอกส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปใต้ดินประมาณเมตรครึ่ง ต้องขุดแต่งกัน
เมืองครหิแห่งนี้หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงจึงถูกทิ้งล้างมาจนถึงสมัยอยุธยา
พุทธสาสนาจึงได้ฟื้นฟูขึ้น
จึงมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ อยู่หลังสวนโมกข์
มีอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ องค์
นั่นหมายถึงศูนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร (ราชาแห่งจอมเขา)
อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบงคอล
และเป็นเหตุให้พระอวดโลกิเตศวรโพธิสัตว์
ที่เป็นฝีมือของช่างแบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐ์ฐานที่เมืองไชยยาได้
โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบงคอล
จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดงพบที่นาลันทา เมื่อ พ.ศ. ๑๓๙๒ ว่า
ด้วยที่ไศเรนทรอุปถัมภ์ มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจากไชยา
ในบริเวณเมืองไชยามีเขาน้ำร้อนเป็นผู้เขาประจำวงศ์ไศเรนทร
สำหรับประดิษฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนา
แล้วยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากบนหุบเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบพระราชาตามประเพณีของอินเดีย
เรื่องนี้หากรวมไปถึงเขานางแอ แล้วจะพบถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่ของสระ
น่าจะมีบริเวณที่สวยงาม
และหากจะทั้งทองประจำวันลงตามสระตามตำนานราชาแห่งซาบากก็ทำได้
เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองไชยยาขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์
ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแกว
เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์วัดหลง และพระอวโลกิเตศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมาก
โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี
เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง (แม้น้ำตาปี) ไหลผ่าน
เมื่อสำรวจเส้นทางพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐ ซึ่งมีทางข้ามไปลงตะกั่วป่าได้อย่างสบาย
น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง
สำหรับเมืองตามพรลิงค์นั้นมีพระบรมธาตุองค์เดียวเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาสมัยหลัง
และมีหาดทรายแก้วกับลุ่มแม่น้ำน้อย
ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็นใช้เป็นท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้
และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ในจารึก พ.ศ. ๑๗๗๓ ระบุว่า
พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนอ่าวบ้านดอน
สำหรับเมืองครหินั้นน่าจะอยู่แถวใต้เขมรมาทางญวน หรือแถวคอคอดกระ
พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย หลวงจีนอี้จิง
เคยเดินทางจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนทางเรือของอาหรับผ่านฟูนัน
มาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยนี้ ในเดือน ๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔ เป็นเวลาสองเดือน
ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์
ถึงเมืองท่าตามรลิปติที่อินเดีย เพื่อสืบพระพุทธศาสนา หลวงจีนอี้จิง
บันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสราม
ซึ่งมีอิทธิพลมาจากพ่อค้ามุสลิมอาหรับ ที่เดินผ่านไปยังประเทศจีน
ศาสนาอิสลานั้นได้เผยแพร่ไปยังประเทศจีน ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่ไปยังมะละกา
กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป
ต่อมาใน
พ.ศ. ๑๕๖๘ อาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ
จากอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ยกทัพเรือเข้าไปโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง หลังจากนั้น
พ.ศ. ๑๙๔๐ อาณาจักรศรีวิชัยได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต
ที่มีอำนาจจากชวา
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง แคว้นสุโขทัยนั้นได้แผ่อำนาจลงมายังหัวเมืองต่าง ๆ ตลอด
แหลมมาลายู และที่เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองสำคัญที่คอยดูแลหัวเมืองต่าง ๆ
ทางใต้
|