พระเจ้าหรรษวรมันที่ 3
พระเจ้าหรรษวรมันที่ 3
ครองราชย์ พ.ศ.1603
1623 พระองค์เป็นพระอนุชาของ
พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ในรัชกาลนี้เกิดเหตุการณ์สงครามกับอาณาจักรจามปา
จนเป็นเหตุให้เสียดินแดนแคว้นรอบนอกทางทิศตะวันออก (คือ เวียดนาม) ไป
ต่อมาพระองค์สิ้นพระชนม์ในขณะที่บ้านเมืองยังวุ่นวายอยู่พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 พ.ศ.
1623 1640
พระองค์มีเชื้อสายสืบจากราชวงศ์กษัตริย์
เมืองมหิธรปุระ(ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูลในอีสานใต้) ดังนั้น
จารึกและเทวบรรพตที่สร้างโดยเชื้อพระองค์ มหิธรปุระ จึงมีอยู่ในบริเวณนี้หลายแห่ง
ได้แก่ ในจังหวัดนครราชสีมา มีปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมวัน จังหวดบุรีรัมย์
มีปราสาทหินพนมร้อง ดังนั้น พระองค์จึงไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวกับเมืองยโศธรปุระ
(เมืองพระนคร) เลยพระองค์ครองราชย์อยู่ 27 ปี จึง สิ้นพระชนม์
พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1
ครองราชย์ พ.ศ.1650
1656
พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐา ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6พ.ศ. 1651
ได้มีการสร้างปราสาทหินพิมาย ขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา ลัทธิมาหายาน ศิลปะแบบปาปวน
(สร้างลักษณะเดียวกับปราสาทหินนครวัด)
แต่มีการสลักเรื่องราวที่เป็นพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย
นับเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่โตมาก
พ.ศ. 1655 (บางแห่งว่า สมัยพระเจ้ายโสวรมันที่ 2)
ได้มีการขยายอาณาเขตไปทางตะวันตกถึงดินแดนอาณาจักรมอญทวราราวดี ดินแดนสุวรรณภูมิ
ในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และทำการต่อสู้กับพวกจาม
มีจารึกกล่าวว่า พระเจ้า ธรณินทรวรมันที่ 1
นั้นไม่ประสงค์ในราชสมบัติ แต่พระองค์ก็ครองราชย์
ได้ 5 ปี จึงถูกพระราชนัดดาของพระองค์ทำการแย่งราชสมบัติ
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1656
1693 พระองค์ทรงเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้า
ธรณินนทรวรมันที่ 1 พระองค์เป็นกษัตริย์ที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้อาณาจักรขอม
คือ สมัยนี้พระองค์ทรงส่งราชทูตไปเจริญไมตรีกับจักรพรรดิจีน
ต่อมาพระองค์ได้ทำการขยายอาณาเขตด้วยการทำสงครามสู้รบและมีชัยชนะมาตลอด
จึงทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์นักรบ
และผู้สร้างวัฒนธรรมให้กับอาณาจักรขอม
พ.ศ.1623 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงโปรดให้ทำการสร้างเทวบรรพต
(ปราสาทนครวัด) ขนาดใหญ่
ไว้ประจำราชธานี โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมบนพื้นที่ราบ ที่ยกชั้นเป็นเขาพระสุเมรุ
โดยมีปราสาทขนาดใหญ่ และสวยงามที่สุดในศิลปะขอม
จนได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
เนื่องจากพระองค์นับถือศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกายที่แตกต่างจากอดีตกษัตริย์ขอม
ที่นับถือ
ศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย ดังนั้นเทวบรรพต (ปราสาทนครวัด) ที่พระองค์สร้างขึ้นนั้น
ปราสาท องค์ประธาน
น่าจะสร้างสำหรับประดิษฐานรูปเคารพของพระวิษณุ ดังนั้น ภายในปราสาทแห่งนี้
จึงประกอบด้วยภาพสลักเกี่ยวกับพระวิษณุ
ในสมัยนั้น พระองค์ทำสงครามมีชัยชนะอาณาจักรจามปาได้
จึงทำให้สามารถขยายอิทธิพลมาทาง
บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย (อีสาน)
พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1693-1703
พระองค์เป็นพระญาติของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
เสด็จครองราชย์ได้ไม่น่านก็เกิดการชิงอำนาจเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
พระเจ้ายโศวรมันที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1703-1708
น่าจะชิงอำนาจมาจากพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2
แต่เนื่องจากไม่มีความมั่นคง ขุนนางคนหนึ่งได้คิดกบฏจึงลอบปลงพระชนม์ในที่สุด
พ.ศ.1655 สมัยพระเจ้ายะโสวรมันที่ 2
นั้นได้มีการขยายอาณาเขตไปทางตะวันตก ถึงดินแดน
อาณาจักรมอญทวราราวดี ดินแดนสุวรรณภูมิในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และทำการต่อสู้รุกรานพวกจาม
ที่เป็นเพื่อนบ้าน
พระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน ครองราชย์ราว พ.ศ.1708-1720
เดิมเป็นขุนนางขอม ได้ทำการกบฏชิงอำนาจและลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ได้สำเร็จ
ครองราชย์ได้ 12 ปี กองทัพของอาณาจักรจามได้เข้าโจมตี เมืองยโศธรปุระ
(เมืองพระนคร) พระองค์ได้ทำการต่อสู้และสิ้นพระชนม์ในสงครามครั้งนี้
ต่อมา พ.ศ.1720
อาณาจักรขอมเกิดอ่อนแอลงจึงทำให้พวกจามปาเจ้ายึดและทำลายเมืองยโศธรปุระ
ราชธานีของอาณาจักรขอม ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวราชาผู้คุ้มครองราชย์ธานี
(ในเทวสถาน) ถูกทำลาย อาณาจักรขอมจึงตกอยู่ในอำนาจของพวกจาม 4 ปี
ในที่สุดเจ้าชายชัยวรมันพระโอรสของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2
ได้ยกกำลังเข้าสู่รบจนมีชัยชนะพวกจาม และได้สู้รบกับพวกดายเวียด
จนขับไล่พวกจามออกไปจาก
แผ่นดินขอม ได้สำเร็จ
พระเจ้าวรมันที่ 7 ครองราชย์ พ.ศ.1724
1763 พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2
เมื่อพระองค์ได้ทำการขับไล่พวกจามออกไปจากเมืองยโศธรปุระ (เมืองพระนคร) แล้วนั้น
ได้ยกกองทัพไปตีได้อาณาจักรจามไว้ในอำนาจ เมื่องพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว
ได้ทำการขยายอาณาเขตออกไปกว้างไกลคือ
ทิศเหนือนั้นไปถึงเมืองซายฟอง (ใกล้เวียงจันทร์ของลาว)
ทิศตะวันตกถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลางของไทย นับเป็นสมัยที่อาณาจักรเขมร
มีความเจริญรุ่งเรืองกลับคืนมา
เนื่องจากเมืองยโสธรปุระเดิม (บริเวณเมืองพระนคร) นั้น
พวกจามได้ทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครอง
ราชธานี (เทวสถาน) จึงทำให้พระองค์ต้องสร้างเทวสถานขนาดใหญ่ขึ้นใหม่หลายแห่ง ได้แก่
ปราสาทบันทายกเดีย (บันทายกุฎี) ปราสาทตาพรหม อุทิศถวายแต่พระราชบิดา
ตรงบริเวณที่พระองค์ทำสงครามกับพวกจามและสร้างปราสาทพระขรรค์
ขึ้นตรงที่พระองค์มีชัยชนะพวกจาม สร้างปราสาทนาคพันขึ้นตรงกลางสระชัยตฏากะ
เป็นต้น
สำหรับภายในเมืองยโศธรปุระเดิมนั้น
พระองค์ได้ทำการสร้างเมืองพระนครหลวงขึ้นเป็นราชธานี
แห่งใหม่ และสร้างเทวบรรพตขนาดใหญ่ (ปราสาทบายน) ประจำราชธานีตามราชประเพณี
จึงทำให้เมือง
ยโศธรปุระเดิมนั้น ถูกเรียกชื่อใหม่เป็น
เมืองพระนครหลวงหรือเมืองพระนครตั้งแต่นั้นมา
ภายในเมืองพระนครหลวงนั้น
พระองค์ทรงโปรดให้ปรับปรุงระบบการชลประทานที่มีอยู่เดิมนั้น
ขึ้นใหม่ โดยการขุดลอกสระน้ำใหญ่ (เรียกว่าสระสรง) แล้วสร้างอ่างเก็บน้ำ ชัยตฏากะ
ขึ้น พร้อมกับให้ทำการขุดคูคลองขนาดใหญ่ล้อมรอบเทวสถานและล้อมรอบเมืองพระนครแล้ว
ราชธานี โดยให้คูคลองรอบเมืองพระนครหลวงเป็นส่วนหนึ่งของระบบการชลประทาน
ที่จัดให้น้ำนั้นสามารถเก็บและให้ไหลเข้าออกได้ตามต้องการ
ส่วนแหล่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลอยู่แคว้นรอบนอกนั้นได้ให้สร้างสะพานศิลาสำหรับข้ามแม่น้ำขึ้นหลายแห่ง
สะพานศิลาเหล่านี้แข็งแรงและใช้เป็นเขื่อนกั้นน้ำได้ด้วย
และให้ขุดคลองส่งน้ำขึ้นหลายสาย
โดยตัดตรงจากแม่น้ำนั้นไปยังที่พื้นที่ทำนาหรือบริเวณที่ทำการเพาะปลูก
ส่วนบริเวณรอบนอกของเมืองพระนครหลวง
ตลอดจนบริเวณแคว้นรอบนอกที่อาณาจักรขอมมี
อำนาจดูแลนั้น พระองค์ได้โปรดให้ทำการสร้างเทวสถานขึ้นหลายแห่งเทวสถานที่สำคัญนั้น
ได้แก่
ปราสาทพระขรรค์กำพงสวาย ใน พ.ศ.1734 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ทรงสร้างปราสาทพระขรรค์ขึ้น
ทางทิศเหนือของเมองพระนครหลวง
ครั้งนั้นพระองค์ได้สร้างจารึกสำคัญไว้ที่ปราสาทนี้ด้วย คือ จารึกปราสาทพระขรรค์
มีข้อความกล่าวถึง พระชัยพุทธมหานาถ
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
(สร้างจากเครื่องฉลองพระองค์) จำนวน 23 องค์
แล้วทรงส่งพระราชทานพระพุทธรูปนี้ไปประดิษฐานตามเมืองต่าง ๆ
โดยระบุนามของสถานที่ประดิษฐานไว้ด้วย
เชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นสถานที่ในบริเวณภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาของไทย ได้แก่
ลโวทยปุระ (ลพบุรี) สุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) ศรีวิทยาปุระ (นครชัยศรี ชัยราชปุระ
(ราชบุรี) ศรีชัยวัชรปุระ (เพชรบุรี) ศัมพูกกะปัฏกะ
(ยังไม่ทราบที่สระโกสินารายณ์ที่ราชบุรี) ศรีชัยสิงหปุระ
(บริเวณปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี) เป็นต้น
จารึกนี้กล่าวถึง การสร้างวหนิคฤหะ (บ้านมีไฟ) 17
แห่งบนเส้นทางที่ตัดมาจากเมืองพระนครหลวง
ราชธานีมายังเมืองพิมาย (ในบุรีรัมย์พบบ้านมีไฟอยู่ 5 แห่ง)
และยังระบุถึงที่พักคนเดินทาง (ผู้จาริกแสวงบุญ)
อีก 121 แห่ง ตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 15 กิโลเมตร
ตามเส้นทางเดินที่มีอยู่ในอาณาจักรขอม (คล้ายที่พักของม้าใช้ส่งหนังสือของจีน) 57
แห่งคืออยู่บนถนนจากเมืองพระนครหลวงไปราชธานีของราชอาณาจักรจามปา 17 แห่ง
อยู่บนถนนจากยโสธรปุระ ไปปราสาทหินพิมาย (ค้นพบแล้ว 8 แห่ง) และอีก 45
แห่งบนเส้นทางเดินไปตามเมืองต่าง ๆ ซึ่งบางแห่งยังหาไม่พบว่าอยู่ที่แห่งใด
นอกจากนี้ จารึกปราสาทพระขรรค์ ยังระบุด้วยว่า พระเจ้าชัยวรมันที่
7 ทรงให้สร้างสถานีพยาบาล
102 แห่ง (อโรคยาศาล) ทั่วราชอาณาจักรขอม (ปัจจุบันค้นพบอโรคยาศาลดังกล่าวแล้ว ราว
30 แห่ง)
สถานีพยาบาลดังกล่าว อยู่ใต้ความดูแลของพระไภษัชคุรุไพฑูรย์ประภา และ ปราสาทวัดนคร
ปราสาท
ตาพรหมบาตี ปราสาทบันทายฉมาร์ เป็นต้น
เมื่อพระองค์สร้างเทวสถานขึ้นแล้ว
พระองค์ได้โปรดให้สร้างถนนตัดออกไปจากเมืองพระนครหลวง
ออกไปยังแคว้นรอบนอก ที่ทรงสร้างปราสาทเหล่านั้นหลายสาย และตามเส้นทางถนนสายต่าง ๆ
เหล่านั้น
ได้โปรดให้สร้าง บ้านมีไฟ (วหนิคฤหะกระโจมไฟ สำหรับเป็นที่พักคนเดินทาง) 17 แห่ง
และที่พักคนเดินทาง จำนวน 121 แห่ง
นอกจากนี้ พระองค์ยังสนพระทัยในการดูแลโรคภัยไข้เจ็บของราษฎร
จึงโปรดให้สร้างอโรคยาศาลา
(โรงพยาบาล) จำนวน 120 แห่งในราชธานีแลแคว้นต่าง ๆ เพื่อทำการรักษาราษฎรที่เจ็บป่วย
ดังนั้น อโรคยาศาลาของพระองค์
จึงสร้างไว้ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยจำนวนมาก ในจารึกปราสาทตาพรหม
ได้กล่าวว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั้นสร้างอโรคยาศาลา จำนวน 102
แห่งขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ทั่วอาณาจักร
สำหรับอโรคยาศาลที่ค้นพบแล้ว ในประเทศไทยตามจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่
จังหวัดชัยภูมิพบปราค์ภู่
จังหวัดนครราชสีมาพบปราสาทเมืองเก่า (ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน) และปรางค์ครบุรี
(ตำบลครบุรี)
จังหวัดสุรินทร์ พบปราสาทตาเมืองตู๊จ (อำเภอกาบเชิง )เป็นต้น
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ทรงเป็นกษัตริย์ที่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ดังนั้น
สิ่งก่อสร้างในสมัยพระองค์จึงเป็นพุทธสถาน และสามารถสร้างอาณาจักรขอม
ให้เจริญรุ่งเรืองจนได้รับการยกย่องว่า
พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ของเมืองพระนครหลวง
อาณาจักรขอม ได้มีอำนาจบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานั้น
ได้ทำการให้มีการสร้างเมืองพระประแดง (บาแดง-คนเดินหมายหรือคนนำข่าว)
ให้เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลที่ปากน้ำเจ้าพระยาที่ตั้งมานานนับ
1000 ปี
ในพุทธศตวรรษที่ 18-19 สมัยพระเจ้าชัยวรามันที่ 7 นั้น
พระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ได้ถูกอิทธิพลของศาสนาฮินดูเข้ามาแทนที่
หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สิ้นพระชนม์แล้ว
อำนาจของอาณาจักรขอมที่เคยมีอยู่ในแคว้นรอบนอกนั้นได้เสื่อมอำนาจลงทันที
พระเจ้าอินทรวรมันที่ 7 ครองราชย์ หลัง พ.ศ.1763
1786 พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้า
ชัยวรมันที่ 7
ไม่ปรากฏหลักฐานถึงเหตุการณ์และพบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลของพระองค์น้อยมาก
พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ครองราชย์ พ.ศ.1786
2837 พระองค์ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ จึงโปรดทำการสร้างเทวสถาน (ปราสาทมังคลารถ)
ในเมืองพระนครหลวงและเชื่อว่า
พระองค์นั้นได้ให้มีทำลายรูปเคารพในพุทธสถานของรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เสียสิ้น
พบว่า ในพุทธสถานนั้นรูปสลักพระพุทธรูปที่อยู่ตามหน้าบัน
ทับหลังเสานางเรียง ถูกกะเทาะทำลายออกจนหมด
ในขณะนั้น พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์
ได้เริ่มเผยแพร่เข้ามาในอาณาจักรขอม โดยพระโอรสของ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเคยเสด็จไปประทับอยู่ในลังกาวงศ์
หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ครองราชย์ อยู่นานประมาณ 50 ปี
พระองค์ได้สละราชสมบัติให้ราชบุตรเขยขึ้นครองราชย์ต่อมา
พระเจ้าศรีนทรวรมัน ครองราชย์ พ.ศ. 1838-1850
พระองค์เป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8
ได้ครองราชย์ต่อเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 สละราชสมบัติ เมื่อขึ้นครองราชย์นั้น
จักรพรรดิจีนได้ส่ง จิวตากวน และ
คณะทูตจากจีน เดินทางมาทวงเครื่องราชบรรณาการ หลังจากคณะทูตจีนเดินทางกลับแล้ว
จิวตากวน ได้บันทึกถึงเรื่องราวที่พบเห็นในอาณาจักรแห่งนี้
ซึ่งบันทึกนี้เป็นหลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์อาณาจักรขอม
พระเจ้าศรีนทรวรมันนั้น ครองราชย์ ได้ 12 ปี ก็ทรงสละราชสมบัติ
พระเจ้าศรีนทรชัยวรมัน ครองราชย์ พ.ศ.1850
1870 เป็นพระญาติของพระเจ้าศรีนทรวรมัน
ได้ครองราชย์สืบต่อมา รัชกาลนี้เป็นระยะที่พุทธศาสนานิการเถรวาท
ได้เผยแพร่เข้ามาในอาณาจักรขอมและมีบทบาทสำคัญมากขึ้น มีจารึกภาษาบาลีขึ้นครั้งแรก
เมื่อ พ.ศ.1852 ก่อนนั้นอาณาจักรขอมมีแต่จารึกภาษาสันสกฤตและภาษาขอมโบราณ
พระองค์ครองราชย์อยู่ประมาณ 20 ปี ก็มีเหตุการร์เปลี่ยนแผ่นดิน
พระเจ้าชัยวรมาทิปรเมศวร ครองราชย์ พ.ศ.1870
พระองค์ครองราชย์สืบต่อมา ไม่ปรากฏเรื่องราวของพระองค์มากนัก
ในรัชกาลนี้พบร่องรอยศาสนาพราหมณ์ ไศวนิกาย นั้น ยังเป็นศาสนาประจำอาณาจักรขอมต่อมา
แต่เมื่อสิ้นรัชกาล ไม่พบหลักฐานจารึกภาษาสันสกฤต หรืออื่นใดที่เกิดหลังจากนี้
จึงไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองพระนครหลวง
ในพงศาวดารเขมรนั้น กล่าวว่า พ.ศ.1885 นั้น เมืองพระนครหลวง
ยังมีพระเจ้านิรวาทบทครองราชย์อยู่ และมีกษัตริย์ครองสืบต่อมาถึงต้นพุทธศตวรรษที่
20 เมืองพระนครหลวง จึงถูกทิ้งร้าง
ภายหลังแม้ว่าจะมีเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ขอมอยู่และพยายามที่จะฟื้นฟูอาณาจักรขึ้นใหม่
ก็ไม่ได้คิดที่จะฟื้นฟูเมืองพระนครหลวงแห่งนี้กลับคืน
การสร้างอาณาจักรขอมของชนชาตินี้ในสมัยต่อมา
ปรากฏว่าได้มีการย้ายลงตั้งบ้านเมืองที่เมืองศรีสะนธอร์ เมืองอุดงคมีชัย และใน
พ.ศ.2408 นั้น ชนชาติเขมรหือกัมพูชา ได้สร้างเมืองพนมเปญ เป็นเมืองหลวงขึ้น
ตรงบริเวณที่เป็นศูนย์รวมของแม่น้ำโขง และทะเลสาบใหญ่และผู้นำของกัมพูชา
ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนานิกาย เถรวาท เป็นศาสนาประจำชนชาตินี้
และทิ้งเรื่องราวในอดีตของอาณาจักรขอมให้ศึกษากันต่อไป
|