พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ขุนบางกลางหาว)
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เดิมคือ ขุนบางกลางหาว (ชื่อ ร่อง
ในสิหิงคนิทานว่า รณรงโค แปลว่า พระร่วง
นักรบ)
เจ้าเมืองบางยาง (เมืองนครไทย) ได้ร่วมกับขุนผาเมอง (เจ้าเมืองราด)
ทำการยึดอำนาจขอม และครองราชย์
ในปี
พงศ.1762
เรื่องศักราชการยึดอำนาจจากขอมและการขึ้นครองราชย์นั้น สรุปไม่ได้
มีบางแห่ง (ศจ.ดร.ประเสริฐ
ณ นคร)
สรุปว่า ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1762-1781 (19 ปี) บางแห่งว่าครองราชย์ราว พงศ.1792
บางแห่งว่า
พระองค์ทรงตั้งอาณาจักรสยามที่เมืองสุโขทัย ทำการขับไล่ขอมเมื่อ พ.ศ.1762
บางแห่งระบุว่า ปีครองราชย์ประมาณ 1800
ทำให้เกิดปัญหาเวลาการครองราชย์ของขุนบานเมืองต่อไป
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีมเหสีพระนามว่า นางเสือง
เป็นพระธิดาของพ่อขุนศรีนาวนำถม) ทรงมีพระโอรสธิดารวม 5 องค์ เป็นโอรส 3 องค์ ธิดา
2 องค์ โอรสองค์ใหญ่ ไม่ปรากฏพระนามด้วยสิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังเยาว์วัย
องค์ที่สองคือ บานเมือง หรือ ปาลราช องค์ทีสาม เดิมไม่มีพระนาม
แต่พอไปชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด (เมืองตาก) มีความชอบจึงประทานชื่อ
(หรือชื่อตามยศศักดิ์) ว่า พระรามคำแหง ในหนังสืออื่น เรียก รามราช
ส่วนธิดาอีก 2 คน ไม่ปรากฏนาม
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
การขึ้นครองเมืองสุโขทัย ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ขุนบางกลางหาว)
นั้น แม้สามารถขับไล่ขอมสบาดโจลญลำพงออกไปจากเขตเมืองใต้
ก็ยังทำให้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ รู้สึกกังวลต่อฐานอำนาจเดิมที่พ่อขุนศรีนำถุมมี
อยู่แต่เดิม (ไม่ค่อยจะมั่นคง) แม้ขุนผาเมืองจะไม่ครองเมืองสุโขทัยแทนพระบิดา
หรือเห็นว่านางเสือง เป็นมเหสี
ของขุนบางกลางหาวอยู่แล้วก็ตาม พ่อขุนผาเมืองก็ยังระแวงว่ากำลังจากอาณาจักรขอมนั้น
จะยกเข้ามาทำสงครามชิงเมืองคืน ขุนผาเมืองจึงกลับไปครองเมืองราด เพื่อให้มเหสีคือ
นางสิขรมหาเทวี ซึ่งเป็นพระธิดากษัตริย์ขอมนั้น เป็นผู้เชื่อมไมตรีกับพระบิดา คือ
พระเจ้าเจ้าสุริยวรมันที่ 7 ดังนั้นขุนผาเมืองจึงให้ขุนบางกลางหาวนั้นรับเอาพระนาม
ศรีบดินทรอินทราทิตย์ (กมรเตงอัญศรีอินทราบดินทราทิตย์)
และพระขรรค์ชัยศรีจากขุนผาเมืองมาใช้เป็นการป้องกันเมือง
และสร้างความเป็นไมตรีต่ออาณาจักรขอมไว้ก่อน
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ขั้นครองราชย์ที่เมืองสุโขทัยได้ไม่นาน
ประมาณ พ.ศ.1800-1802 ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด
ก็แสดงท่าทีจะชิงเมืองโดยยกทัพเข้าจะตีเมืองตาก กำลังของขุนสามชน เมืองฉอด
ที่ยกทัพมาครั้งนี้
เข้าใจว่าน่าจะมีกำลังของขอมสบาดโขลญลำพงที่พ่ายหนีไปส่วนหนึ่งนั้นสมทบเข้ามาด้วย
ครั้งนั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
เห็นว่าหากปล่อยให้ขุนสามชนตีได้เมืองตากแล้ว ก็จะเป็นอันตรายกับเมืองสุโขทัย
ดังนั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงยกทัพออกจาเมืองสุโขทัยพร้อมกับโอรสคนเล็ก (นามว่า
พระรามราช) ซึ่งมีอายุ 19 พรรษา และได้ติดตามบิดาออกสงครามด้วย
การสู้รบนั้น ได้มีการทำยุทธหัตถีกัน
ระหว่างขุนศรีอินทราทิตย์กับขุนสามชน และ (พระรามราช) โอรสองค์นี้ได้เข้าชนช้าง
ช่วยพระบิดาจนมีชัยชนะขุนสามชน ด้วย ความกล้าหาญของโอรสองค์นี้
จึงได้รับการเฉลิมพระนามว่า รามกำแหง หรือรามคำแหง
ระยะแรกนั้น
เมืองสุโขทัยได้ทำการขยายอาณาเขตด้วยการทำสงครามกับเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอมเป็นไมตรี
เนื่องจากเมืองสุโขทัยนั้นเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์ของขุนศรีนาวนำถุม
ผู้ครองเมืองเดิม ขณะนั้นบรรดาเมืองต่าง ๆ
ส่วนใหญ่นิยมที่จะนับถือราชวงศ์ศรีนามนำถุมอยู่
จึงทำให้เมืองนั้นไม่ยอมอ่อนน้อมยอมขึ้นด้วย จนพ่อขุนต้องออกทำการปราบปรามเมืองต่าง
ๆ ในที่สุด เมืองเหล่านั้นก็ยอมอ่อนน้อม
ในที่สุดเมืองสุโขทัยก็สามารถขยายเขตของอาณาจักรได้กว้างขวาง
ทำให้เมืองสุโขทัยสามารถวางรากบานอาณาจักรมั่นคงและสามารถรวบรวมชนชาติไทยเป็นหนึ่งเดียวกันได้
โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ของขุนศรีนาวนำถุมนั้นได้อยู่รับราชการกับพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ด้วยคือ
พระยาคำแหง พระราม เป็นพระอนุชาและขุนผาเมือง ซึ่งมีพระโอรสคือ
ขุนศรีสัทธาภายหลังได้ออกบวชในพุทธศาสนาลังกาวงศ์ และได้เป็นสังฆราชเมืองสุโขทัย
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สวรรคตปีใดนั้นไม่มีหลักฐาน
บางแห่งว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สวรรค ราว
พ.ศ.1822
ขุนบานเมือง หรือพญาปาลราช โอรสองค์ที่สองได้ครองเมืองสุโขทัยต่อมา
พ่อขุนบานเมือง (ขุนปาลราช)ล
พ่อขุนบานเมือง หรือขุนปาลราช โอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
(ขุนบางกลางหาว) บางแห่งระบุชื่อว่า ขุนบางกลางเมือง ขึ้นครองราชย์ปีใดไม่ปรากฏ
สันนิษฐานว่า ขุนบานเมือง ครองเมืองสุโขทัยสืบต่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ที่สวรรคประมาณ พงศ.1822 แล้วครองเพียง 1 ปี จึงสวรรคต หากสันนาฐานว่า
ขุนบานเมืองครองราชญ์ประมาณ พ.ศ.1781 ต่อจาก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองราชย์ คือ
พงศ.1762 1781 (19 ปี) ก็หมายว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์นั้น สวรรคตประมาณ พงศ.1781
ด้วย และทำให้ช่วงเวลาของรัชกาลนี้ มีระยะเวลานานถึง 41 ปี
เป็นเวลานานพอที่จะทำการสร้างวัดหรือโบราณสถาน
หรือมีเหตุการณ์สำคัญบ้างแต่รัชกาลนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรมากนั้น
จึงเชื่อว่าขุนผู้นี้น่าจะครองเมืองสุโขทัยในระยะเวลาสั้น
ด้วยเหตุนี้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
จึงน่าจะครองเมืองสุโขทัยเป็นเวลานานประมาณ 19 22 ปี คือ
พ.ศ.1762
1781 ซึ่งน่าจะครองเมืองสุโขทัยวางรากฐานอาณาจักรและขยายอาณาเขตให้กว้างไกล
เป็นระยะเวลาที่ยังมีการปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ บางแห่งอยู่บ้าง ดังนั้น หลังจาก
พ.ศ. 1781 จนถึงปี ครองราชย์ของพ่อขุนบานเมือง คือ พ.ศ.1822 เป็นรวม 41 ปีนั้น
อาณาจักรของเมืองสุโขทัยไม่ปรากฏว่า เป็นช่วงเวลาว่างกษัตริย์
หรือเป็นช่วงเวลาที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองราชย์ ตั้งแต่ พ.ศ.1800 1822 (22
ปี) มากกว่า เพราะดูจะสมกับระยะเวลาครองราชย์ และขุนบานเมืองนั้นครองราชย์ได้ 1 ปี
ใน พงศ.1822
พ่อขุนรามคำแหง
พ่อขุนรามคำแหง โอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
เป็นพระอนุชาของขุนบานเมือง ได้ครองเมืองสุโขทัยสืบต่อจากพ่อขุนบานเมือง
ขณะที่มีชนมายุได้ 38 พรรษา ประมาณก่อน พ.ศ.1820 บางแห่งว่าครองราชย์ พ.ศ.1822
1842
พ่อขุนผู้นี้ทรงนำบุบำรุงอาณาประชาราษฎร
และปกครองไพร่ฟ้าประชาชนแบบ่พอปกครองลูก
และโปรดให้แขวนกระดิ่งอันหนึ่งไว้ที่ประตูพระราชวัง
เมื่อประชาชนเดือนร้อนก็สามารถมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพ่อขุนรามคำแหงให้ออกมาตัดสินปัญหาได้
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงให้สร้าง
พระแท่นมนังคศิลาบาตรด้วยขดารหินชนวนที่นำมาจากภูเขา ใกล้เมืองสุโขทัย
โดยตั้งไว้กลางดงตาล เพื่อให้พระสงฆ์
นั่งเทศนาสั่งสอนธรรมแก่ไพร่ฟ้าประชาชนในวันพระ ปัจจุบันพระแท่นมนังคศิลาบาตรนี้
อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดพระสรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพฯ
พงศ.1825 พ่อขุนรามคำแหงนั้น
ได้ขยายอาณาเขตของอาณาจักรไปยังดินแดนใกล้เคียง โดยมีความสัมพันธ์กับเมืองแพร่
เมืองน่าน เมืองกาว เมืองลาว ชุมชนคนไทยบริเวณแม่น้ำอูและแม่น้ำโขง
ในประวัติศาสตร์ กัมพูชาบันทึกว่า กองทัพสยามนั้นเข้ารุกรานกัมพูชา
และจดหมายเหตุญวนก็บันทึกว่า
กองทัพสยามไปรุกรานจามปา สรุปแล้ว ในรัชกาลนี้อาณาจักรของชาวสยาม
มีอาณาเขตกว้างขวางไปยังดินแดนกัมพูชาและอาณาจักรจามปา ด้วย
แต่พ่อขุนรามคำแหงนั้น จะไม่ขยายอาณาเขตไปทางดินแดนเหนือ
เนื่องจากขุนผู้นี้ทรงมีพระสหายสนิทซึ่งเป็นผู้นำของชาวสยามเช่นกัน กล่าวคือ
พ่อขุนเม็งราย (พระยายาเม็งราย) ผู้ครองเมืองเชียงราย และพ่อขุนงำเมือง
(พระยางำเมือง) ผู้ครองเมืองพะเยา (เมืองภูกามยาว)
ขุนผู้นี้เป็นโอรสของขุนมิ่งเมือง เมืองประสูติ พ.ศ.1781
สืบเชื้อสายจากเจ้าขอมผาเรือง เมื่ออายุได้ 14 พรรษา
ได้ศึกษาอยู่กับสำนักสุกทันตฤษีที่เมืองละโว้ ร่วมอาจารย์กับพ่อขุนรามคำแหง
กลับครองเมืองจนถึง พ.ศ.1801
ซึ่งทั้งสามพ่อขุนนี้ได้มีสัมพันธ์ไมตรีต่อกันเป็นอย่างดี
อาณาจักรของเมืองสุโขทัยนั้น ยังมีความสัมพันธ์กับเมืองต่าง ๆ ทางตอนใต้ด้วยคือ
อาณาจักรสุวรรณภูมิ(เมืองสุพรรณบุรี) อาณาจักรตามพรลิงค์ (เมืองนครศรีธรรมราช)
ส่วนด้านตะวันตกนั้นมีความสัมพันธ์กับเมืองฉอดและเมืองหงสาวดี
พ.ศ.1825 พ่อขุนรามคำแหงได้มีสัมพันธ์ไมตรีกับชาติจีน
ในจดหมายเหตุจีนบันทึกไว้ว่า กุบไลข่าน หรือพระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
ได้ส่งคณะทูตเดินทางมาแคว้นสุโขทัย แต่คณะทูตจีนเดินทางมาไม่ถึง
เพราะในระหว่างการเดินทางนั้นคณะทูตจีนได้ถูกพวกจามจับกุมประหารชีวิตเสียก่อน
|