อาณาเขตของแคว้นสุโขทัย
อาณาเขตของแคว้นสุโขทัย
อาณาเขตของแคว้นสุโขทัยในสมัยขุนรามคำแหงนั้น
ได้ปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่ามีเมืองสำคัญ คือ
เมืองสุโขทัย กับเมืองเชลียง (ศรีสัชนาลัย) ดินแดนทิศเหนือถึงเมืองแพร่ อำเภอปัว
จังหวัดน่าน (เมืองพลัว)
ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงหลวงพระบาง (ชะวา) ดินแดนด้านทิศใต้ถึงคณที (บ้านโคน
อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
พระบาท (นครสวรรค์)
แพรก (อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท) สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ราชบุรี เพชรบุรี
ศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช) จรดฝั่งทะเล ดินแดนด้านทิสตะวันออก ถึงสรวลวง (พิจิตร)
สองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย (อำเภอหล่มเก่า ในเพชรบูรณ์) เวียงจันทร์ เวียงคำ
ถึงฝั่งแม่น้ำโขง ดินแดน ด้านทิศตะวันตกถึงฉอด (อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก) หงสาวดี จด
สมุทรห้าเป็นแดน (อ่าวเบงกอล)
พ.ศ.1839 พ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย
ได้ร่วมกับพ่อขุนเมืองราย แห่งอาณาจักรโยนกเชียงแสน
และพ่อขุนงำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือ
สุกทันตฤาษี จึงได้กระทำสัตย์สาบานจะเป็นพันธมิตรกัน ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิง
เมืองเชียงราย และใน พ.ศ.1839 พ่อขุนรามคำแหง คือ สุกทันตฤาษี
จึงได้เสด็จไปช่วยพ่อขุนเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ กล่าวคือ พ่อขุนเมืองราย
สร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน วิสาขะ จุลศักราช 658 ปีวอก
ตรงกับ วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.1839 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
อาณาจักรสุโขทัยนั้น ได้มีความสัมพันธ์กับต่างประเทศหลายประเทศ
เช่น ลังกา มอญ จีน มลายู และ
อิหร่าน
ในศิลาจารึก หลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหง ด้านที่ 3 กล่าวว่าเบื้องตีนนอน
เมืองสุโขทัยนี้มีตลาดปสาน
ตลาดปสาน นี้ หมายถึง ตลาดขายของแห้ง เป็นห้องแถว เชื่อว่า ปสาน
นี้น่าจะได้ศัพท์มาจากภาษาเปอร์เซีย ของอิหร่าน คือ คำว่า บอร์ซอร์ หรือ บารซาร์
แสดงว่าชาวเปอร์เซียได้เข้ามาทำมาค้าขายในเมืองไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาแล้ว
ใน พ.ศ.1829 สมัยพ่อขุนรามคำแหง พระเจ้าฟ้ารั่ว (มะกะโท)
ได้เป็นกษัตริย์มอญนั้น และมีฐานะเป็นราชบุตรเขย ของพ่อขุนรามคำแหง
โดยได้อภิเษกกับพระธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ครั้งเมื่อเป็นมะกะโท
เข้ามารับราชการเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง จึงทำให้อาณาจักรสุโขทัยได้อาศัยเมืองเมาะตะมะ (Martaban)
เป็นเมืองท่าสำหรับค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดีย เปอร์เซียและอาหรับ
โดยใช้เส้นทางเดินบกผ่านเมืองกำแพงเพชรและเมืองตาก ทางด่านแม่ละเมา ที่เมืองฉอด
(อำเภอแม่สอด)
จดหมายเหตุจีน สมัยราชวงศ์หวน (พ.ศ.1823 1911) นั้น
ได้กล่าวว่าอาณาจักรเมืองสุโขทัยนั้น ได้มีการติดต่อกันอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ
มีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน 8 ครั้ง ในระหว่าง พ.ศ.1825-1843 ครั้งนั้น
ในระหว่าง พ.ศ.1825 1843
ครั้งนั้นราชวงศ์หยวนได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีและกษัตริย์ไทย
ทรงมีพระราชสาส์นพร้อมกับส่งทองแท่ง งาช้าง นกแก้วห้าสี ขนนกกินปลา นอแรด และอำพัน
ไปถวายพระเจ้ากรุงจีน
หลักฐานของจีนในราชวงศ์หงวน สมัยจักรพรรดิหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ (กุ๊ปไลข่าน)
ได้ระบุว่า อาณาจักรเสียนหรือสุโขทัย (เสียมก๊ก) สมัยพ่อขุนรามคำแหง
นั้นได้ส่งทูตไปติดต่อกับจีน รวม 10 ครั้ง ใน ปีพ.ศ.1838 , 1840 , 1841, 1842,
1843, 1857, 1861, และ 1865 ส่วนจีนนั้นได้ส่งทูตมา 3 ครั้ง ในปี พ.ศ.1836, 1837,
1838 (ทูตจีนนั้นส่งมาทั้งหมด 4 ครั้ง ในครั้งแรกในปี พ.ศ.1825 นั้น
คณะทูตเดินทางมาไม่ถึง เพราะถูกพวกจามจับกุมประหารชีวิต
เสียก่อน
ต่อมา ในสมัยราชวงศ์หมิง ถึงต้นราชวงศ์ชิง ระหว่าง พ.ศ.1911 2195
ราชสำนักไทย (กรุงศรีอยุธยา) และจีนได้มีความสัมพันธ์ติดต่อเป็นไมตรีกัน ถึง 63
ครั้ง ซึ่งเป็นการสานต่อความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องมาจากราชวงศ์หยวน
จึงมีการค้าขายต่อเนื่องกันมา
นอกจากนี้ ยังมีปรากฏในรายงานว่า ในฤดูลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
เรือสำเภาจากจีนมาจอดที่สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช ปัตตานี
และเมื่อถึงฤดูลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เรือสำเภานั้นก็จะแล่นใบกลับไปยังเมืองจีน
จักรพรรดิจีนที่ติดต่อในสมัยพระเจ้าเลอไทนั้น คือ จักรพรรดิหงสนแสงจงฮ่องเต้
เป็นพระโอรสของจักรพรรดิกุบไล่ข่าน
สินค้าที่อาณาจักรสุโขทัยส่งออกไปค้าขายในจีนนั้น ได้แก่ ของป่า
ไม้สัก ไม่ฝาง และข้าว ส่วนสินค้าเข้าจากจีน ได้แก่ ผ้าแพร ผ้าไหม
และภาชนะเคลือบดินเผา
ในบันทึกของสำนักพระราชวังของจีน สมัยจักรพรรดิกุบไล่ข่าน
ได้กล่าวไว้ว่า
แผ่นดินจี่หงวน ปีที่ 28 ซินเป๊าจับหง้วย (ตรงกับเดือน 12 ปีเถาะ
จุลศักราช 625 พ.ศ.1834)
หลอฮกก๊กอ๋องให้ราชทูตนำราชสาส์นอักษรเขียนด้วยทองกับเครื่องบรรณาการคือ ทองคำ
งาช้าง นกกะเรียน
นกแก้วห้าสี ขนนมกระเต็น นอแรด อำพันทอง มาถวาย
(จากจดหมายเหตุเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน
พระเจนจีนอักษรแปล)
ในปี พ.ศ.1836 จักพรรดิหงวนแสงจงฮ่องเต้ พระเจ้ากรุงจีน
ส่งทูตจีนเชิญพระราชสาส์นมาขอให้อาณาจักรเสียนข่านมู่ตึง
Hsien
(เสียน หมายถึง สุโขทัยหรือสุพรรณบุรี)
Kan Mu Ting
(หมายถึง
ชื่อกษัตริย์) อย่าได้รุกรานดินแดน หลอหู (คือละโว้) และดินแดนมลายู
|