ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี




  การทำมาหากินและเศรษฐกิจ

 

การทำมาหากินและเศรษฐกิจ

 

                อาณาจักรของเมืองสุโขทัยนั้น เป็นนครรัฐที่มีการจัดการเรื่องการทำมาหากินและเศรษฐกิจของบ้านเมือง เป็นอย่างดี จนทำให้มีความมั่นคง จนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรม ดังจะเห็นได้จาก ชาวเมืองสุโขทัยนั้นมีอาชีพทำนา ทำไร่ ที่ทุกคนสามารถเข้าไปหักร้างถางพงเพื่อทำนาทำไร่ได้ตามความพอใจและเป็นเจ้าของที่นา ที่ไร่ เหล่านั้น ดังนั้นน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยในการทำนาเพราะปลูกพืชไร่ จึงมีความสำคัญมาก

 

 

                การจัดการเรื่องน้ำ สำหรับการเกษตรกรรมนั้น จารึกหลักที่ 1 ว่า “เบื้องหัวนอน เมืองสุโขทัยมีกุฎีวิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส์ ป่าพร้าว ป่าลาง” เมืองสุโขทัยทางทิศใต้นั้น พ่อขุนได้สร้างการชลประทานโดยสร้างทำนบเรียกว่า “สรีดภงส” (ทำนบ) สำหรับบังคับน้ำจากคลองเสาหอให้ไหลไปตามท่อดินเผา ขนาดต่าง ๆ ผ่านเข้าไปในกำแพงเมือง โดยให้น้ำนั้นไหลลงไปขังในตระพังขนาดใหญ่ ที่อยู่ในกำแพงเมืองสุโขทัย ดังจารึก (จารึกหลักที่ 13) ว่า “อนึ่ง ท่อปู่พระญาร่วงทำเอาน้ำเข้าไปเถิง บางพานนั้น ก็ถมหายสิ้น และเขาย่อมทำนาทางฟ้า และหาท่อนั้นพบ กระทำท่อเอาน้ำเข้าไปเลี้ยงนาให้เป็นนาเหมืองนาฝาย  มิได้เป็นทางฟ้า...” หมายถึง ชาวนาสุโขทัยนั้นใช้น้ำที่มาจากท่อของพระยาร่วงสำหรับทำนาเหมืองและนาฝาย ไม่ต้องอาศัยน้ำฝน

 

                การรู้จักทำท่อดินเผาส่งน้ำ ไปยังตระพังและพื้นที่เกษตรกรรมนั้น ถือว่าเป็นวิทยาการมีทำให้อำนาจของพ่อขุนนั้นได้รับความเชื่อถือจากไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นอย่างมาก ด้วยทำให้สามารถทำนาเพราะปลูกข้าวและพืชสวนพืชไร่ มีผลิตผลเพียงพอและเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนสร้างรายได้มั่นคงได้

               

                สินค้าทางการเกษตรนั้นมีข้าว หมากพร้าว หมากม่วง หมากกลาง หมากขม หมากพูล และผลไม้อื่น ๆ มากมาย เป็นผลมาจากการชลประทานที่ดีของพ่อขุนเมืองสุโขทัยทั้งสิ้น

 

                นอกจากนี้ เมืองสุโขทัยยังมีความสัมพันธ์ไมตรีกับจีนจนได้มีการส่งช่างจีนมาสร้างเตาผลิตเครื่องปั้นดินเผา โดยเฉพาะการเคลือบดินเผาที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องสังคโลก ทำให้เกิดแหล่งผลิตขึ้นมากมายหลายแห่ง เช่น แม่โจนในเมืองสุโขทัย ป่ายาง ตำบลเกาะน้อย นอกเมืองศรีสัชนาลัย บ้านเตาไหในเมืองพิษณุโลก

บ้านแก่งเมืองอุตรดิตถ์ เป็นต้น ทำให้การผลิตเครื่องปั้นดินเผานั้นได้มีการเผากันทั้งวันทั้งคืน เพื่อส่งออกไปขาย

 

                เครื่องเคลือบดินเผาจึงเป็นสินค้าสำคัญของเมืองสุโขทัย ที่ถูกนำขึ้นเรือสินค้าเดินทางไปขายยังเมือต่างๆ จนเครื่องสังคโลกนั้นเป็นที่รู้จักกันของนานาประเทศ เนื่องจากจีนนั้นเกิดสงครามกลางเมือง เปลี่ยนราชวงศ์ข้องมาเป็นรางวงศ์มองโกล และเปลี่ยนเป็นราชวงศ์เหมิง จึงมีสงครามการสู้รบยาวนาน จนทำให้มีปัญหาในการขนส่งเครื่องปั้นดินเผา ออกไปค้าขาย ยังต่างประเทศ ดังนั้น จึงทำให้เมืองสุโขทัยสามารถแย่งตลาดเครื่องปั้นดินจากจีนได้และส่งออกทางทะเลไปค้ายังประเทศต่าง ๆ แทน ซึ่งพบซากเรือโบราณบรรทุกเครื่องสังคโลก จมอยู่บริเวณใกล้เกาะคราม เกาะสีชัง และเกาะกระดาษ แถวพัทยาและสัตหีบ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบว่ามีเครื่องเคลือบสังคโลกอยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่น ญุ่น ฟิลปปินส์ จีน อินโดนีเซีย หมู่เกมาะบอร์เนียว อินเดียตอนใต้ แหลมซีนายในอียิปต์ เป็นต้น

 

                เมืองสุโขทัยมีแหล่งแร่อยู่หลายแห่ง ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กที่เขาหลวง แหล่งแร่เหล็กหัวเขาแก้ว (อำเภอพรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร) แหล่งเหล็กกล้าที่ตรอน (อำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์) แหล่งตะกั่วและสังกะสีที่บ่อห้วยถ้ำ (อ.รอง จ.แพร่) จึงทำให้มีการผลิตอาวุธ และเครื่องใช้ต่าง ๆ ขึ้น รวมถึงพระพิมพ์เนื้อตะกั่วด้วย และพบว่าเมืองสุโขทัยใช้เกลือในชีวิตประจำวัน แต่ไม่มีแหล่งผลิต ดังนั้น จึงมีการสั่งเกลือมาจากเมืองเมาะตะมะของอาณาจักรมอญ หรือเมืองอโยธยา (อยุธยา) แม้จะมีแหล่งเกลือสินเธาว์ที่ตำบลบ่อเกลือ ในเมืองน่าน ก็ตาม

               

                การค้าขายในเมืองสุโขทัยนั้น พ่อขุนเมืองสุโขทัย ได้สนับสนุนการค้าขายในเขตเมืองกับราษฎร(ไพร่ในลู่ทาง) ให้ทำการค้าโดยยกเว้นภาษีอากร เป็นการเปิดการค้าอย่างเสรีให้กับราษฎรทุกคนที่ทำการค้า โดยไม่จำกัดชนิดสินค้า ทำให้มีการค้าขายมากขึ้น ดังจารึกหลักที่ 1 ว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” ส่วนพ่อค้าที่มาจากต่างเมืองไม่ใช่ไพร่ในลู่ทางนั้น ก็สามารถซื้อขายสินค้าจากชาวบ้านได้สะดวก ทำให้มีสินค้าจากต่างชาติเข้ามาใช้ในเมืองสุโขทัยด้วย

 

                ดังนั้น ราษฎรที่เป็นพ่อค้าต่างถิ่น จึงพาเข้ามาทำการค้าขายจนทำให้เมืองสุโขทัยเป็นแหล่งค้าขายที่สำคัญโดยมีเส้นทางการค้าติดต่อทางบก คือ ถนนพระร่วงจากเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย ไปถึงเมืองศรีสัชนาลัยและมีเส้นทางติดต่อออกไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำน่าน สำหรับเมืองต่าง ๆ ที่ติดต่อกันและอยู่ใกล้เคียงนั้น มีถนนติดต่อเมืองเชียงแสน เมืองเชียงใหม่ เมืองหลวงพระบาง เมืองเมาะตะมะ ส่วนเส้นทางน้ำนั้น อาณาจักรของเมืองสุโขทัยนั้นมีลำแม่น้ำสายต่าง  ๆ เช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน และแม่น้ำป่าสัก ได้ใช้เป็นเส้นทางเดินของเรือสินค้าจากเมืองที่อยู่ทางตอนบน โดยล่องมารวมกันที่ปากน้ำโพ เมืองนครสวรรค์ และล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ทางตอนล่าง ส่วนสินค้าที่ส่งออกไปยังดินแดนของเมืองอื่น  ๆ ที่อยู่ทางตอนล่าง ส่วนสินค้าที่ส่งออกไปยังดินแดนของเมืองอื่น ๆ เช่น แหลมมลายู หมู่เกาะอินโดนีเซีย หมู่เกาะฟิลิปปินส์ และเกาะญี่ปุ่น นั้นสำรวจพบว่า จากแม่น้ำเจ้าพระยาหรือปากอ่าวไทยนั้น มีเส้นทางเดินเรือ 3 เส้นทาง ได้แก่

 

                เส้นทางที่ 1 จากบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย ไปทางเมืองตราด ต่อไปยังเมืองเขมร ไปยังจีน ญี่ปุ่นได้

 

                เส้นทางที่ 2  จากปากน้ำเจ้าพระยา ผ่านเมืองสัตหีบ ไปยังเมืองนครศรีธรรมราช โดยเลาะชายทะเลฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ผ่านเมืองพัทลุง เมืองสงขลา เมืองปัตตานี ลงไปยงคาบสมุทรมลายู

 

                เส้นทางที่ 3   จากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ไปทางฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ผ่านเมืองประจวบคีรีขัน เมืองชุมพร แล้วไปทับกับเส้นทางที่ 2 ไปเมืองนครศรีธรรมราช ตามลำดับ ไปอินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ ได้

 

 

                ดังนั้น สินค้าจากเมืองสุโขทัยจึงน่าจะถูกขนถ่ายลงเรือสินค้าของชาวต่างชาติ ที่พากันเดินทางเข้ามายัง

อ่าวไทย หรือเข้ามาถึงเมืองอโยธยา ถึงเมืองนครสวรรค์ แล้วเดินทางตามแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปตามเส้นทางดังกล่าว สินค้าที่เมืองสุโขทัยส่งไปขายยังเมืองต่าง ๆ นั้น มีเครื่องสังคโลก ฝ้าย ผ้าสีเขียว (ผ้าย้อมคราม ) ไม้กฤษณา ไม้ฝาง ไม้หอมศรีทอง ไม้หอมสีเงิน ไม่แก่นดำ งาช้าง หรดาน กระวาน กานพลู พริกไทย ทองคำ เกร็ดดีบุกหินสีต่าง ๆ ปรอท ตะกั่วแข็ง เหล็ก ทองเหลือง สัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า สัตว์ที่เกล็ดในประเทศ แรด ช้าง นกยูง นกแก้วห้าสี นกกระเรียน ไม้ไผ่ใหญ่ ไม่ไผ่สีสุก ไม้ไผ่เลี้ยง ทับทิม แดง และผัก เป็นต้น

 

                .ดังนั้น เมืองสุโขทัย จึงสามารถติดต่อค้าขายและรับส่งสินค้ากับเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองที่อยู่ตอนบนและเมืองที่อยู่ทางตอนล่าง โดยอาศัยแม่น้ำสายต่าง ๆ และสร้างถนนติดต่อถึงกัน

 

                นอกจากนี้ เมืองสุโขทัย ยังได้ติดต่อเป็นไมตรีกับต่างประเทศ มีการแลกเปลี่ยนราชทูตกัน เช่น ส่งราชทูตไปเมืองจีน และได้ส่งช้างมาทำเครื่องเคลือบดินเผาสังคโลก ส่งสินค้าออก ติดต่อค้าขายกับเขมาและมลายู ติดต่อซื้อเกลือ จากเมืองเมาะตะมะของมอญ และติดต่อค้าขายกับลาว และมีการส่งสมณทูตนำพระพุทธศาสานาลัทธิลังกาวงศ์ จากลังกามาประดิษฐานในเมืองสุโขทัย เป็นต้น

 

                เงินตราสมัยสุโขทัย  ด้วยเหตุนี้การกำหนดมาตรฐานในการซื้อขายสินค้ากันนั้น น่าจะมีเงินตราหรือมาตราแทนค่าของการซื้อขายขึ้นแล้ว ในเมืองสุโขทัยนั้นมีการใช้เงินพดด้วง ที่ทำด้วยโลหะผสม มีขนาดน้ำหนัก 4 บาท 1 บาท และประทับตราของแผ่นดิน คือ ตราช้าง ตราชาสีห์ และตราราชวัตร

 

                ในจดหมาย เหตุจีน กล่าวว่า “ขุนนางและราษฎร ที่มีเงินจะใช้จ่ายแต่ลำพังไม่ได้ ต้องเอาเงินส่งไปเมืองหลวงให้เจ้าพนักงานหล่อเป็นเม็ด เอาตราเหล็กตีอักษรอยู่ข้างบน แล้วจึงใช้จ่าย ได้เงินร้อยตำลึง ต้องเสียภาษีให้หลวงหกสลึก” การทำเงินตรา มีกฎหมายในสมัยสุโขทัย ลงโทษว่า ถ้าใครทำเงินตราปลอม ถ้าจับได้ครั้งแรกจะต้องถูกตัดนิ้วมือขวา ถ้าถูกจับครั้งที่สอง ต้องถูกตัดนิ้วมือซ้ายนี้ ถ้าถูกจังได้อีกครั้งที่สามจะถูกโทษประหารชีวิต

 

                ส่วนมาตราเงินในสมัยสุโขทัยนั้น น่าจะใช้ 1 ชั่งเป็น 40 ตำลึง 1 ตำลึงเป็น 4 บาท  1 บาทเป็น 4 สลึงและ 1 สลึง เป็น 1 เฟื้อง ส่วนหน่วยย่อยลงไปนั้นเป็นเบี้ย ในจารึกกล่าวถึงการใช้เบี้ย (เดิมใช้เบี้ยจากแม่น้ำโขง

ต่อมาเป็นหอยจากทะเล) ซึ่งเป็นของหายาก

 

                จารึก (จารึกหลักที่ 4 วัดป่ามะม่วง) ว่า “พระองค์ทรงฟังธรรมเทศนาทุก ๆ วัน ตั้งแต่ค่ำหนึ่งกับ 15 ค่ำคิดพระราชทรัพย์ที่พระราชทาน คือ ทองหมื่นหนึ่ง เงินหมื่นหนึ่ง เบี้ย 10 ล้าน”

 

                เงินตราของสุโขทัย จึงมีลักษณะเป็นเงินพดด้วง และเบี้ย กล่าวคือ เงินพดด้วง นั้นเป็นเงินที่นำมาทุบให้มีลักษณะขดเหมือนตัวด้วง และประทับตราของแผ่นดิน ในสมัยสุโขทัยนั้นมีตราที่ใช้หลายตรา เช่น ตราช้าง

ตราราชสีห์ ตราราชวัตร ตราสังข์ เป็นต้น ตรานี้ประทับส่วนบน(รอยงอ) ทั้งสองชนกัน และพื้นที่อื่น ๆ (กรณีประทับหลายตรา) ด้านนอกจะมีรอยบากเป็นเส้นลึกทั้งสองข้าง เรียกว่า เงินพดด้วง ขาบาก เงินพดด้วงนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดใหญ่ ถึงขนาดเล็ก เป็นเม็ดกลมมีตราตรงกลาง โลหะที่ใช้ทำนั้นมีเนื้อเงินแท้ และเนื้อซิน (เงินผสมดีบุก) โดยนำไปหล่อเป็นแท่งยาว ในแม่พิมพ์ (กลางหนาปลายมนเท่ากัน) ตามน้ำหนัก แล้วบากแบ่งตรงกลาง งอปลายเข้าหากัน ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนเงินที่มีปลายชนกันคล้ายตัวด้วง นิยมเรียกกับว่าเงินคุป หรือเงินคุด (น่าจะมาจากคด) เมื่อรวมลักษณะคดและตัวด้วง จึงเรียกรวมเป็น พดด้วง การประทับตรานั้นนำเงินพดด้วงวางบนกระดูกช้าง ที่เจาะร่องพอดีกับขนาดของก้อนเงิน แล้วนำตราตีประทับตามต้องการ ก้องเงินกลมขนาดใหญ่นั้นมีตราประทับจำนวนมาก ถึง 9 ตรา เรียก เงิน 9 ตรา (ปัจจุบันนิยมใช้เป็นเครื่องรางของขลัง)

 

                สำหรับเบี้ยนั้น เป็นหอยทะเลที่หายากในหมู่เกาะมัลดีฟ เป็นหอยทะเลกาบเดี่ยวเรียกว่า Cowrie Shell มีลักษณะตัวเล็ก สีเหลืองนวล ส่วนประกอบอยู่ด้านล่างเป็นชองยาวตลอดตัว หอยขอบปากมีร่องขวางเรียงกันตลอดแนว มีขนาดยาว 1 ซม. ถึง 3 ซม. นำเข้ามาโดยพ่อค้าต่างชาติ นำมาขาย และถูกนำใช้แทนค่าของเงินต่ำสุด 3 หรือ5 เบี้ย สำหรับซื้อขายเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

แนะนำข้อมลเพิ่มเติม การทำมาหากินและเศรษฐกิจ

เชิญแนะนำข้อมูลเพิ่มเติม

ชื่อ / Email
ข้อความ
  

 


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์