ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพ่องั่ว)
ครองราชย์ พ.ศ.1913
1931
พระบรมราชา หรือขุนหลวงพะงั่ว เป็นพระโอรสของเจ้าแคว้นสุพรรณภูมิ
(พระยาอู่ทอง หรือไม่ปรากฏพระนาม) มีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของพระมเหสี
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
ได้ให้เป็นที่พระบรมราชาครองเมืองสุวรรณภูมิ
ก่อนนั้น สมเด็จพระรามาธิบดี (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ขอให้พระบรมราชา
นั้นได้ยกทัพไปรบกับเขมร เนื่องกษัตริย์ขอม กลับไปเป็นไมตรีกับแคว้นสุโขทัย
ครั้งนั้นได้ทรงให้ พระราเมศวร พระโอรสนั้นนำทัพไปสู้รบกับเขมร
แต่ไม่สามารถเอาชัยชนะมาได้ ด้วยเหตุที่พระบรมราชา (ขุนหลวงพะงั่ว)
นั้นเป็นนักรบจึงสามารถสู้รบและเอาชัยชนะอาณาจักรขอมได้นั้น
จึงทำให้เป็นที่ยำเกรงอำนาจจากสมเด็จพระราเมศวร ผู้เป็นพระราชนัดดาในเวลาต่อมา
ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา ใน
พงศ.1912 ขอนุหลวงพะงั่วได้ยกกองทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรี
ด้วยความเกรงอำนาจที่มีอยู่เดิมจึงเป็นเหตุให้
สมเด็จพระราเมศวรจำยอมถวายราชสมบัติให้ พระบรมราชา (ขุนหลวงพระงั่ว)
ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
และครั้งนั้นพระองค์ทรงแต่งตั้งให้ สมเด็จพระราเมศวร นั้นกลับไปครองเมืองลพบุรี
ในฐานะ พระมหาอุปราช
ตามเดิม
รัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว)
นั้นได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง ด้วยพระองค์ ทรงศรัทธา ในพุทธศาสนา
ได้โปรดให้สถาปนาวัดมหาธาตุขึ้นในกรุงศรีอยุธยา โดยสร้างพระปรางค์แบบลพบุรี และ
ทรงทำนุบำรุงเหล่าทหาร และประชาราษฎ์อย่างดียิ่ง
เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) ครองราชย์ได้ 2 ปี
พระองค์ทรงคิดที่จะขยายอาณาจักรขึ้นไปทางหัวเมืองเหนือ (ขณะนั้นมีเมืองสำคัญ
คือแคว้นสุโขทัย มีเมืองพระบางหรือเมืองนครสวรรค์ เมืองนครพังคาเมืองแซงเซรา
เมืองซากังราวหรือเมืองกำแพงเพชร เมืองสองแควหรือเมืองพิษณุโลก อาณาจักรลานนาไทย
คือเมืองนครเชียงใหม่ และเมืองนครลำปาง
ดังนั้น ใน พ.ศ.1914 ปีกุน พระองค์จึงยกองทัพไปตีเอาแคว้นสุโขทัย
เมื่อ พ.ศ.1915 ปรากฏว่าตีได้เมืองต่าง ๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ จนถึงเมืองพระบาง
(นครสวรรค์) แล้วยกทัพรุกขึ้นไปจนถึงเมืองซากังราว ใน พ.ศ.1916
แต่หาได้เข้าตีเมืองนี้ไม่ การสู้รบนั้นมีความว่า พ.ศ.1916 ปีฉลู
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองซากังราว
พระยาใสแก้วและพระยาคำแหง เจ้าครองเมืองซากังราว ได้ออกสู้รบป้องกันเมือง
ในที่สุดสมเด็จพระบรมราชาธิราช เจ้าสามารถเอาชัยชนะ ฆ่าพระยาใสแก้วตาย
ส่วนพระยาคำแหงและไพร่พลทั้งปวง ได้พากันหนีครั้งนั้นสามารถเข้าเมืองได้
จัดการบ้านเมืองเสร็จแล้ว (น่าจะตั้งให้ท้าวผ่าคอง ครองเมือง) จึงยกทัพ
กลับคืนกรุงศรีอยุธยา
พ.ศ.1917 ปีขาล สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
และพระมหาเถรธรรมากัลป์ญาณ ได้ร่วมกันทำการสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ ฝ่ายบูรพทิศ
(วัดมหาธาตุ) ตามแบบศิลปะขอม สร้างหน้าพระบันชั้นสิงห์ สูงเส้น 3 วา
พ.ศ. 1918 ปีเถาะ สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
ได้เสด็จยกทัพไปตีเอาเมืองพิษณุโลก ครั้งนั้นได้ตัวขุนสามแก้ว เจ้าเมืองพิษณุโลก
และกวาดต้อนผู้คนอพยพมาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา เป็นจำนวนมาก
พ.ศ.1919 ปีมะโรง สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
เสด็จยกทัพไปตีเอาเมืองซากังราว อีกครั้งเนื่องจากพระยาคำแหงและท้าวผ่าคอง
ได้ร่วมกันคิดแข็งเมือง พระองค์จึงยกทัพหลวงแต่ยังไม่ได้สู้รบ
ด้วยท้าวผ่าคองนั้นเลิกทัพหนีไปเสียก่อน พระองค์จึงเสด็จนำทัพหลวงติดตาม
ตีทัพของท้าวผ่าคองจนแตกพ่าย ครั้งนั้นจับได้ตัวท้าวพระยาเสนาขุนหมื่น
ได้เป็นจำนวนมาก แล้วยกทัพกลับคืนพระนคร
ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชาพยายามที่จะตีเมืองสุโขทัย 2 ครั้ง
แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากแคว้นสุโขทัยนั้น มีกำลังของเมืองสุโขทัย มีความเข้มแข็งมาก
และยังได้กำลังคนไทยจากแคว้นลานนาลงมาช่วยอีก ทำให้สามารถป้องกันเมืองไว้ได้
จนตลอดรัชกาลของพระมหาธรรมราชาลิไทย
ใน พ.ศ.1919 พระมหาธรรมราชาลิไทย ได้สวรรคตลง พญาลือไทย
พระโอรสได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์แคว้นสุโขทัย ทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชา (ที่ 2)
ครองเมืองสุโขทัย ซึ่งขณะนั้นกำลังทางเมืองสุโขทัยอ่อนแอ สมเด็จพระบรมราชาธิราช
จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปตีเอาเมืองซากังราว พ.ศ.1921 ปีมะเมีย
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จยกทัพไปตีเอาแคว้นสุโขทัย
(บางแห่งว่าเมืองซากังราว) พระมหาธรรมราชา ได้ยกทัพออกมาสู้รบต่อสู้เป็นสามารถ
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะมีชัยชนะกองทัพของกรุงศรีอยุธยาได้
พระมหาธรรมราชาจึงออกมาถวายบังคมยอมอ่อนน้อม
สมเด็จพระบรมราชาจึงได้จัดการแบ่งแคว้นสุโขทัยนั้น
เป็นสองเขตโดยให้พระยายุธิษฐิราช ซึ่งเป็นพระโอรสเลี้ยง ครองเมืองซากังราว
(เมืองกำแพงเพชร) และให้พระมหาธรรมราชา (ที่ 2) นั้นครองเมืองสองแคว
(เมืองพิษณุโลก) ตั้งแต่นั้นมาแคว้นสุโขทัย จึงมีฐานะเป็นประเทศราชขึ้น
กับกรุงศรีอยุธยาหรืออาณาจักรสยามทางตอนใต้
ด้วยเหตุที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชนั้น
ทรงขัดเคืองพวกไทยที่อยู่ในอาณาจักรลานนาไทย เรียบร้อยแล้ว ใน พ.ศ.1923
พระองค์ได้ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ กองทัพขึ้นไปถึงเมืองนครลำปาง
ไม่สามารถตีเมืองได้จึงยกทัพกลับ
พ.ศ. 1929 ปีขาล สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
เสด็จยกทัพไปหัวเมืองเหนือ ตีได้เมืองเชียงใหม่
พร้อมกับพระองค์ได้ยกทัพเข้าปล้นเมืองนครลำภาง (เมืองนครลำปาง)
แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงให้แต่งหนังสือเข้าไปแจ้งแก่หมื่นนคร เจ้าเมืองนครลำภาง
ให้ยอมแพ้เสีย หมื่นนคร เจ้าเมืองนครลำภางนั้น
เห็นว่ากองทัพกรุงศรีอยุธยานั้นตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ จึงออกมาถวายังคม
ยอมอ่อนน้อม พระองค์จึงนำทัพหลวงกลับคืนพระนคร
พ.ศ. 1931 ปีมะโรง สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า
ได้เสด็จยกทัพไปตีเอาหัวเมืองทางเหนือ (บ้างว่าตีเมืองซากังราว หากเป็นเช่นนี้
เท่ากับพระยายุธิษฐิราช พระโอรสเลี้ยง คิดการใหญ่ แต่ครั้งนี้
สมเด็จพระบรมราชธิราชเจ้าทรงประชวรหนักระหว่างทางจนต้องเสด็จกลับคืน
ครั้นเดินทัพกลับมากลางทาง สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าจึงสวรรคต
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เดิมมีพระนามว่า ขุนหลวงพะงั่ว
ได้เป็นพระบรมราชา ครองเมืองสุพรรณบุรี ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
พงศ.1913 เป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระองค์ได้ทำการตีเอาเมืองเหนือทั้งปวง
ไว้ในราชอาณาจักร เป็นการทำสงครามกับอาณาจักรล้านนา
ครั้งแรกและสถาปนาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคตระหว่างไปตีเมืองซากังราว พงศ.1931
(19 ปี) บางแห่งว่าครองราชย์ ถึง พ.ศ.1925 (13 ปี)ศักราช ไม่ตรงกัน
|