นอกราชวงศ์
นอกราชวงศ์
ขุนวรวงศาธิราช
(พันบุตรศรีเทพ)
คนนอกบัลลังก์นั่งชัง 42 วัน พ.ศ. 2091(2)
เมื่อ พระภิกษุพระเฑียรราชา และคณะได้อธิษฐานเสร็จลง
ก็จุดเทียนทั้งสองเล่มที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพระพุทธปฏฺมากรนั้น
ขณะนั้นขุนพิเรนทรเทพได้เดินทางมาถึงและเห็นว่าเทียนของขุนวรวงศาธิราชนั้นยาวกว่าเทียนพระเฑียรราชาก็โกรธ
จึงร้องขึ้น ในเมื่อเทียนสั้นยาวไม่เท่ากันเช่นนี้ ข้าขอห้ามอย่าได้ทำเลย
อย่าได้ขืนทำอีกเล่า ขุนพิเรนทรเทพ ดูแล้วก็คายชานหมากดิบทิ้งไปโดยมิได้ตั้งใจ
แต่ปรากฏว่าชานหมากนั้นได้ทิ้งไปถูกเทียนของขุนวรวงศาธิราช ดับลง
จึงถือเป็นศุภนิมิตโดยบังเอิญ ทำให้คนทั้งห้าคนนนั้นบังเกิดความยินดียิ่ง
ทันใดนั้นได้มีพระสงฆ์ครองจีวรรูปหนึ่งถือตาลปัตรเดินเข้ามาในพระอุโบสถนั้น
แล้วให้พรแก่คนทั้งหมด จะได้รับความสำเร็จมโนรถตามที่ปรารถนาเป็นแน่แท้เถิด
เมื่อคนทั้งห้าก้มกราบรับพร
พระสงฆ์รูปนั้นจึงเดินออกมาจากอุโบสถนั้น แล้วหายไปโดยอัศจรรย์
คนทั้งหมดจึงต่างพากันแยกย้ายกลับไป
นับตั้งแต่มเหตุการณ์เสี่ยงเทียนครั้งนั้นแล้ว พระยากลาโหม
ขุนพิเรนทรเทพ และขุนอินทรเทพ
จึงได้พากันลับลอบเกลี้ยกล่อมข้าราชบริพารที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชและราชวงศ์ให้รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
จนมีกำลังไพร่พลพากันเข้ามาเป็นพวกด้วยจำนวนมาก
และได้พากันช่องสุมกำลังไว้เฝ้ารอคอยโอกาสทีจะทำการกำจัดขุนวรวงศาธิราชอยู่ตลอดเวลามาได้
15 วัน
เจ้าแม่อยู่หัวท้าวศรีสุดาจันทร์นั้น
เมื่อได้ทำการสถาปนาขุนวรวงศาธิราชขึ้นนั่งแท่นเป็นเจ้าแผ่นดินคุมอำนาจเป็นใหญ่ในราชบัลลังก์อยู่มาได้
41 วัน หลังจากที่กลุ่มก่อการกู้ราชบัลลังก์ได้พากันทำพิธีเที่ยงเทียนแล้วได้ 15
วัน
การวางแผนกำจัดขุนวรวงศาธิราช ผู้ปล้นราชบัลลังก์ กรุงศรีอยุธยา
จึงได้โอกาสที่จะกระทำการก็มาถึง โดยที่ฝ่ายกลุ่มก่อการกู้ราชบัลลังก์
ได้ถือเอาข่าวจากใบบอกลงมาจากกรมการเมืองลพบุรี
ว่ามีช้างพลายสูงหกศอกสี่นิ้วหูหางสรรพลักษณะติดโขลง
สมควรจะเป็นช้างคู่พระบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน
จากข่าวนี้จึงใช้เป็นเหตุที่จะเริ่มต้นให้ขุนวรวงศาธิราช
ออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อจะได้นำกำลังเข้าซุ่มแล้วเข้าทำการชิงบัลลังก์
ครั้งนั้นสมุหนายก ได้นำความเรื่องช้างพลาย
ไปแจ้งแก่ขุนวรวงศาธิราช เพื่อให้เสด็จออกจากพระราชวังหลวง
และมีความแจ้งสั่งลงมาว่า เราจะขึ้นไปจับ ขออยู่อีกสักสองวันจึงจะเสด็จไป
ข่าวการออกจากวังหลวงของขุนวรวงศาธิราชครั้งนี้
ได้ทำให้กลุ่มก่อการกู้ราชบัลลังก์มีความยินดียิ่งนัก
แต่ทุกคนต้องผิดหวังจำต้องล้มเลิกแผนการที่วางไว้ เนื่องจากในเวลาต่อมานั้น
ขุนวรวงศาธิราช ได้สั่งให้มีตราขึ้นไปให้กรมการเมืองพลบุรี
ได้ทำการโพนช้างส่งลงมาแทน
ทำให้กลุ่มผู้ก่อการกู้บัลลังก์ไม่สามารถจะล่อให้ขุนวรวงศาธิราชออกมาจากกรุงศรีอยุธยาได้
จึงได้แต่รอคอยโอกาสอื่น
ต่อมาอีก 7 วัน
ได้ข่าวว่ามีโขลงช้างเถื่อนเดินเข้ามาทางวัดแม่นางปลื้ม
เข้าเพนียดวัดซองและสมุหนายกได้นำความไปแจ้งให้ขุนวรวงศาธิราชทราบว่า
บัดนี้มีช้างเผือกตัวหนึ่งงดงาม สมควรเป็นราพาหนะ
ช้างนี้เที่ยวอยู่ในป่าแขวงเมืองสวรรคบุรี
ข้างทิศเหนือขอเชิญพระองค์เสด็จโดยทางชลมารคไปจับช้างเผือกนั้นเถิด
ขุนวรวงศาธิราชไม่กลอุบาย จึงรับคำพระยากลาโหมว่า พรุ่งนี้เราจะไปจับช้าง
ดังนั้น แผนการกำจัดเจ้าแผ่นดินอกราชบัลลังก์
จึงได้ถูกกำหนดวันกระทำการชิงอำนาจกลับคืนในทันที
และยังได้รู้ความจากพระยากลาโหมว่า ทุกครั้งที่ขุนวรวงศาธิราช จะออกไปนอกพระนครนั้น
มักให้อุปราชจัน ผู้เป็นน้องชาย นำกำลังออกไปตรวจเส้นทางและเฝ้ารักษาเส้นทางก่อน
ตอนค่ำวันนั้นขุนพิเรนทรเทพได้สั่งให้หมื่นราชเสน่หา
นอกราชการนำกำลังออกไปรอซุ่มดักทำร้าย อุปราชขัน ที่ท่าเสือใกล้วัดซอง
ในขณะเดียวกันนั้น พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก
เจ้าเมืองฝ่ายเหนือที่ถูกเรียกตัวลงมานั้นได้นำกำลังเข้ามาถึงพระนคร
ขุนพิเรนทรเทพจึงได้โอกาสแจ้งความลับให้พระยาทั้งสองรู้
ซึ่งเข้าเมืองทั้งสองนั้นยินดีเข้าร่วมทำการกระทำครั้งนี้ด้วย
ขุนพิเรนทรเทพจึงพากำลังไปซุ่มดักอยู่ที่คลองปลาหมอพร้อมกับหลวงศรียศ
หมื่นราชเสน่หา ในราชการ
โดยต่างพากันลงเรือคนละลำพร้อมด้วยพลเรือนพายต่างสะพายศาสตราวุธครบมือ
ฝ่ายหมื่นราชเสน่หานอกราชการนั้น
ถือปืนไปแอบคอยอยู่ทำการดุจหนึ่งทนายเลือก ครั้นเมื่อเห็น
มหาอุปราชจันนั่งช้างจะไปยังเพนียด ผ่านมาทางที่หมื่นราชเสน่หานอกราชการ
ซุ่มคอยอยู่ หมื่นราชเสน่าหา จึงยิงปืนไปถูกมหาอุปราชตกลงมาจากหลังช้าง
ถึงแก่ความตาย
ส่วนทหารที่ติดตามมหาอุปราชนั้นได้ถูกำลังของกลุ่มก่อการกู้บัลลังก์ฆ่าตายสิ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าแม่อยู่หัวท้าวศรีสุดาจันทร์
กับขุนวรวงศาธิราช พร้อมด้วยธิดาที่เกิดด้วยกัน และพระศรีศิลป์
ได้พากันลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันพายออกมาทางคลองสระบัว โดยมีขุนอินทรเทพ
นั้นเป็นกำลังติดตามประจำขบวนมาด้วย ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก
หลวงศรียศหมื่นราชเสน่หาในราชการ
นั้นได้นัดหมายให้พลเรือพายสะพายศาสตราวุธออกไปซุ่มรออยู่พร้อมที่จะเข้ากำจัดผู้ปล้นราชบัลลังก์
โดยรับคำสั่งว่า ถ้าเรือขุนวรวงศาธิราชไปถึงจุดที่กำลังซุ่มแล้ว
ท่านทั้งหลายจงเร่งจับฆ่าเสียให้ได้
ครั้นเรือขุนวรวงศาธิราช
เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์นั่งมานั้นพามาถึงคุ้งน้ำที่พวกผู้ก่อการกู้ราชบัลลังก์ชุ่มเรือและกำลังรออยู่
พวกเรือเหล่านั้นจึงเร่งพายออกมาสกัดเส้นทาง เรือใครตรงเข้ามาหรือ ขุนวรวงศาธิราช
ร้องถามเมื่อเห็นเรือตรงเข้ามา กูจะมาเอาชีวิตพวกเจ้าทั้งสองคน
ขุนพิเรนทรเทพยืนขึ้นแล้วร้องตอบออกมาในขณะที่เรือพุ่งตรงเข้าประกบเรือของขุนวรวงศาธิราช
ขณะนั้นขุนอินทรเทพ
ตำรวลหลวงที่ทำหน้าที่องครักษ์นั้นได้พายเรือขึ้นมากระหนาบเรือขุนวรวงศาธิราช
ทำทีเหมือนเข้ามาอารักขาคนทั้งสอง ขุนวรวงศาธิราช
เห็นพลเรือมีอายุธเข้ามาเช่นนั้นก็ตกใจ จึงถามว่า เหตุใดพวกเหล่านี้
จึงบังอาจถือศัสตราวุธเข้ามาใกล้เรือเราดังนี้ กลุ่มผู้ก่อการกู้บัลลังก์ก็ตอบว่า
เจ้าไม่รู้หรือว่า พวกข้ามาคอยอยู่ดังนี้ ประสงค์จะจับตัวเจ้าฆ่าเสียให้สิ้นชีวิต
เมื่อเห็นว่าได้โอกาสดีแล้ว
ขุนพิเรนทรเทพกับขุนอินทรเทพทั้งสองคนก็ช่วยกันกลุ้มรุมจับเอาตัวขุนวรวงศาธิราช
กับนางพระเจ้าแม่อยู่หัวท้าวศรีสุดาจันทร์ และธิดา
ซึ่งเกิดด้วยกันนั้นฆ่าเสียในเรือพระที่นั่งกลางคลองสระบัว เว้นไว้แต่พระศรีศิลป์
พระราชโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราช
ที่คณะผู้ก่อการกู้ราชบัลลังก์ได้นำตัวออกมาแล้วไว้ชีวิต
ส่วนคนอื่นนั้นได้เข้าต่อสู้กับทหารที่ติดตามอารักขา
ขุนวรวงศาธิราช ผู้ปล้นราชบัลลังก์ที่หนีสู้พลางจนพากันล้มตายสิ้น
เมื่อกลุ่มผู้กอบกู้ราชบัลลังก์สามารถทำการได้สำเร็จแล้วก็ให้นำตัวคนนอกราชวงศ์นั้น
ไปประหารและเสียบหัวประจานไว้ที่วัดแร้ง
ขุนวรวงศาธิราช นั้น
ได้เข้ามามีอำนาจว่าราชการแผ่นดินภายใต้การสนับสนุนของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์
อยู่ 2 ปี ครั้งสุดท้ายได้สถาปนาตั้งตนเป็นเจ้าแผ่นดินอยู่ในราชสมบัติได้ 42 วัน
(บางแห่งว่า 5 เดือน) ในวันรุ่งขึ้นขุนวรวงศาธิราช และท้าวศรีสุดจันทร์
ได้ถูกขุนพิเรนทรเทพ และพรรคพวกเข้ากำจัด ถูกฆ่าตายในเมื่ออายุได้ 22 ปี
ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ว่าเหตุการณ์กู้ราชบัลลังก์นี้เกิดขึ้น เมื่อ
พงศ. 2091
ขุนวรวงศาธิราช เดิมเป็นพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ
ต่อมาท้าวศรีสุดาจันทร์เกิดเสน่หา ได้ทำการยึดอำนาจจากสมเด็จพระแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า)
และตั้งตนเป็นใหญ่ อยู่ในราชสมบัติได้ 5 เดือน
(นับจากวันที่เข้ามาสนับสนุนท้าวศรีสุดาจันทร์)
ต่อมาถูกขุนพิเรนทรเทพและพวกจับฆ่าเสีย แล้วนำศพไปเสียบประจานที่วัดแร้งใน พงศ.
2091 ในประวัติศาสตร์ถือเป็นผู้ปล้นราชบัลลังก์ไม่นับเป็นราชวงศ์ บางแห่งว่า พ.ศ.
2072 ปล้นบัลลังก์ 42 วัน
เหตุการณ์กำจัดคนนอกราชวงศ์
ด้วยเหตุที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงครองราชย์นานถึง 38 ปี
ครั้นเมื่อสวรรคตลง ใน พ.ศ. 2072 พระอาทิตย์วงศ์
(พระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3) ซึ่งเป็นพระบรมราชาหรือ
พระบรมหน่อพุทธางกูร
พระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก
ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมาเป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4
และเป็นกษัตริย์ที่มีพระชนมายุมาก
เนื่องจากมีพระชนมายุคราวเดียวกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ครั้งนั้น
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 น่าจะได้แต่งตั้ง พระไชยราชา
(เชื้อสายหรือพระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2)
เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เช่นเดียวกัน แต่พระบรมราชาหน่อพุทธางกูร
องคี้ครองราชย์
|