บันทึกของ วันวลิต หรือ เยเรเม
บันทึกของ วันวลิต หรือ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต
ต้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
วันวลิต หรือ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias
van Vliet)
ซึ่งเป็นผู้จัดการสถานีค้าขายของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ต่อจากนายโยส
เซาเตา โดยวันวลิตนั้นได้เดินทางมาค้าขาย
สมัยต้นรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อ พ.ศ. 2177 2190
และนายวันวลิตนั้นมีภรรยาเป็นชาวสยาม
วันวลิตได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศสยาม ระหว่าง พ.ศ. 2172 2190 ไว้
เป็นหนังสือ 3 เล่ม เป็นภาษาฮอลันดา ต่อมาได้มีผู้นำมาแปลเป็นอังกฤษ
เล่มแรกชื่อ
Description
of the Kingdom of Siam
(เขียนใน พ.ศ. 2179 กรมศิลปากรได้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว)
เล่มที่สองชื่อ
Chronicles
of the Ayuthian Dynasty
(เขียนใน พ.ศ. 2183 แปลภาษาไทยแล้วชื่อ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา โดย
พล.ต.มรว.ศุภวัฒย์ เกษมศรี)
และ เล่มที่สามชื่อ
The
Historical Account of the War of Sucession following the death of
King Pra Interajasia 22 nd King of Ayuthian Dynasty
(เขียนในปลาย พ.ศ. 2190 กรมศิลปากรจัดแปลและพิมพ์ไว้ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่
79 ชื่อว่า จดหมายเหตุวันวลิตฉบับสมบูรณ์)
หนังสือพระราชทานพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิตนั้น เขียนเสด็จเมื่อวันที่
8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2183 เป็นเอกสารรายงานสำคัญจาก
หัวหน้าสถานีการค้าฮอลันดาประจำประเทศสยามถึงผู้สำเร็จราชการรัฐแห่งเนเธอรแลนด์ในอินเดียตะวันออก
นับเป็นเอกสารพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับเก่าที่สุดเท่าที่ค้นพบ
วันวลิตได้เขียนเล่าเรื่องอาณาจักรสยามตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุง
จนถึงรัชกาลสมเด็จพรเจ้าทรงธรรม พระองค์ทรงเป็น กษัตริย์องค์ที่ 26
ของกรุงศรีอยุธยา ต้นฉบับของเอกสารนี้
เขียนเป็นภาษาฮอลันดาได้หายลี้ลับไปเกือบสามร้อยปี
เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานแล้วมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และสยามสมาคมได้จัดพิมพ์ขึ้นใน
พ.ศ. 2518
ข้อความที่วันวลิตได้บันทึกไว้ในรายงานนั้นมีสาระสำคัญที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง
เช่นเรื่องการสร้างอาณาจักรสยามว่า
ยังหาข้อยุติไม่ได้เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของชาติสยามผู้ก่อตั้งประเทศชาติ
ผู้สถาปนาพระราชอาณาจักร และ
พระนามกษัตริย์องค์แรกที่เสวยราชย์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าเชิงนิยาย
ถึงแม้บางเรื่องพอมีเหตุผลพอจันความจริงบ้าง เรื่องหนึ่งที่มีเล่าขานคือ
เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ล่วงมา
ราชโอรสกษัตริย์จีนพระองค์หนึ่งถูกเนรเทศจากเมืองจีน จึงลงเรือมาขึ้นที่ปัตตานี
แล้วสร้างอาณาจักรขึ้น ชื่อลังกาสุกะ (Langhseca)
ประกอบด้วยเมืองละคร (Lijgoor)
กุย (Cuij)
และ พริบพรี (Piprij)
อาณาจักรสยามเป็นราชอาณาจักรเก่าแก่ อีกทั้งเป็นชาติที่มีกฎหมาย
กับดำเนินนโยบายได้ดี ชนสามัญสุภาพเรียบร้อย มีอัธยาศัยไมตรีและเที่ยวธรรม
เรื่องพระเจ้าอู่ทองและกษัตริย์อยุธยา พระเจ้าอู่ทอง (Prae
Thaeu Outhongh)
ทรงสร้างเมืองหลวงชื่ออยุธยา (Juaia)
เมื่อวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ทรงสร้างวัดหน้าพระธาตุ (Nappetadt)
และวัดราชบูรณะ (Raeijae
Boenna)
ทรงสร้างเมืองนครชัยศรี (Lijcon-t
Jeijsij)
พิษณุโลก (Pouceloucq)
สุโขทัย (Suckethaij)
และเมืองกำแพงเพชร (Caphijn)
ทรงแต่งราชทูตไปเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน
และส่งสำเภาไปค้าขายที่เมืองกวางตุ้ง พระเจ้าอู่ทองสวรรคตเมื่อทรงมีพระชนมายุ 57
พรรษา ทรงครองราชย์ 19 ปี ราชโอรสพระเจ้าอู่ทองชื่อพระราเมศวร (Prae-rhaem
mijsoon) ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สยามองค์ที่สอง
เสวยราชย์ 3 ปี แล้วถูกพระปิตุลาถอดออกจากตำแหน่ง
ต้องไปอยู่ตามป่าเขาอย่างทุกข์ยากขัดสน เจ้าขุนหลวงพะงั่ว (Tjaeu
Couloangh Phongh Wo - Ae) พระปิตุลาของพระราเมศวร
ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สยามองค์ที่ 3 เสวยราชย์อยู่ 18 ปี
โดยเมืองสยามยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เมื่อขุนหลวงพะงั่วสวรรคต ขณะพระชนม์
81 พรรษา พระทองจัน (Prae Thongh tJan)
โอรสเจ้าขุนหลวงพะงั่วได้เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 แต่เสวยราชย์เพียง 7 วัน
ก็ถูกพระราเมศวร อดีตกษัตริย์สยามบุกเข้าโจมตีเวลากลางคืนและสำเร็จโทษ
พระราเมศวรขึ้นครองราชย์อีกครั้งเป็นเวลา 6 ปี โอรสพระราเมศวร คือ
พระรามขึ้นเสวยราชย์เป็นเวลา 3 ปี ต่อจากนั้น พระนครอินทร์
โอรสเจ้าขุนหลวงพะงั่วและเป็นพระเชษฐาของพระทองจัน ซึ่งเคยครองเมืองสุพรรณบุรี
ได้กลับมาครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 20 ปี พระโอรสของพระนครอินทร์
คือพระบรมราชาธิบดีหรือเจ้าสาม ครองราชย์ต่ออีก 20 ปี
หลังจากนั้นเป็นสมัยของพระบรมไตรโลกนารถ พระอินทราชา พระเจ้ารามาธิบดี
พระหน่อพุทธางกูร พระวรรัษฐาธิราช พระไชยราชา พระยอดเจ้า พระขุนชินราช
พระเทียรราชา พระมหินทร์ พระมหาธรรมราชา พระนเรศราชาธิราช (Prae
Naerith Raetisia Thieraij) พระอนุชาธิราช พระราเมศวร (Prea
Anoet Tsiae Thieraij Pra Rhae Mij Soon)
พระอินทราชา พระองค์เชษฐราชา พระองค์อาทิตย์สุรวงศ์ พระองค์ศรีธรรมาธิราช
และกษัตริย์องค์ที่ 26 คือ พระเจ้าทรงธรรม
พรเจ้าทรงธรรม ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2134 ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2163
ทรงมีราชโอรสซึ่งต่อมาเป็นกษัตริย์สยามสองพระองค์ คือ สมเด็จพระเชษฐาธิราช และ
สมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ และ วันวลิตได้บันทึกไว้ด้วยว่า
สถานที่สำเร็จโทษเจ้านายสยามอยู่ที่วัดโคกพญา ตรงข้ามพระราชวัง
เรื่องสินค้าจากอาณาจักรสยามว่า เมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2179
สมัยพระเจ้าปราสาททอง นั้นพระองค์ได้ส่งสินค้าสยามลงเรือใหญ่ ชื่อราแรป
และโนร์ทวิท ไปขายที่ญี่ปุ่นมูลค่า 67809.12 ฟลอริน ประกอบด้วย
หนังกวาง 103,480 แผ่น
หนังปลากระเบน 17,960 แผ่น
ไม้ฝาง 3,650 หาบ
Cambodia
Nuts
1,600 ลูก
เขาควาย 3,700 เขา
ไม้กฤษณา 400 ชั่ง
น้ำตาลหม้อ 150 หาบ
หวาย 200 มัด
หนังกวางแดงฟอกแล้ว 1,200 แผ่น
ครั้นวันที่ 22 และ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2179 วันวลิตได้ส่งเรือ ชื่อบอมเมล์
และวารมอนต์ บรรทุกสินค้าต่อไปนี้ไปขายที่โตยัน
ไม้ฝาง 2,000 หาบ
ตะกั่วของไทย 300 หาบ
ยางรัก 36
หาบ
ไม้กฤษณา 11 หาบ
ข้าว 7
เกวียน
ข้าวเปลือก 35 หาบ
ไม้สักซุง 132 หาบ
ไม้สักแผ่น 150 แผ่น
ไม้ฝาง
ซึ่งเป็นสินค้าออกสำคัญของไทยไปยังจีนและญี่ปุ่นแต่โบราณนั้นมีชื่อภาษาอังกฤษว่า
Sappan wood
ได้มาจากต้นฝาง ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง
ใบเล็กเป็นฝอยเนื้อและแก่นไม้มีสีแดงเข้ม ขึ้นหนาแน่นในป่าทางภาคเหนือ
ภาคตะวันตก ที่บางปลาสร้อยและเทือกเขาในเขตกัมพูชา
แก่นไม้ใช้ทำสีย้อมผ้าและสีผสมอาหารให้มีสีแดงเข้ม
หากผสมปูนขาวจะมีสีม่วงสีย้อมผ้าจากฝางจะทนทานไม่ตกง่ายลำต้นไม้ฝางใช้ทำท้องเรือสำเภาและเครื่องเรือน
นอกจากนี้ยังนำมารักษาโรคคุดทะราด แก้ท้องร่วง
บำรุงโลหิตสตรีและบรรเทาอาการร้อนใน กระหายน้ำได้ด้วย
ในปัจจุบันมีการผลิตสีเคมีวิทยาศาสตร์มากขึ้นความต้องการไม้ฝางไปทำสีย้อมผ้าจึงลดลง
นายวันวลิตนั้นได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.
2184 พร้อมกับพ่อค้าฮอลันดาอีก สองคน คือ นายผอน ซัม และนายมูรไดต์
ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงโปรดกระจกเงาบานใหญ่ ที่วัดวลิตนำไปถวายมาก
พระองค์ทรงพระราชทานช้างมีชีวิตให้สองเชือก เพื่อส่งลงเรือไปยังปัตตาเวีย
ต่อมาวันวลิตได้เดินทางไปเมืองปัตตานี และเข้าเฝ้านางพระยาของเมืองปัตตานี
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2185 ด้วย
นายวันวลิตได้บันทึกไว้อีกว่า ในปี พ.ศ. 2173 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น
ได้มีการตั้งกรมพระคลังสินค้า จัดสำเภาหลวงไปค้าขายกับประเทศตะวันออก
โดยจ้างชาวจีนเป็นพนักงาน และจัดการการเดินเรือ ชาวเปอร์เซียชื่อ เฉกอะหมัด
เจ้ากรมท่าขวาสมัยพระเจ้าทรงธรรม นั้นต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาบวรราชนายก
ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (เฉก อะหมัด ผู้นี้ต่อมานั้นเป็นต้นสกุลของ บุนนาค
ซึ่งได้มีเชื้อสายเป็นบุคคลสำคัญของแผ่นดินในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์)
|