เหตุการณ์คณะราชทูตไทยในสมัยสมเด็
เหตุการณ์คณะราชทูตไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
คณะราชทูตไทยเรือแตกที่แอฟริกา
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2227 สมเด็จพระนารายณ์ฯ
กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แห่งอาณาจักรสยาม ได้ส่ง ออกขุนชำนาญ (Occun
Chaman)
กับคนสยามรวมสิบคนไปเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ผ่านเมืองกัว
โดยเรือรบของโปรตุเกสซึ่งมีลูกเรือ ร้อยห้าสิบคน และบาทหลวงโปรตุเกสนิกาย แซงต์
โอกึสแตง
วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2229
เรือโปรตุเกสที่ทูตไทยโดยสารไปอับผางที่แหลม แดส์ เอกีส์ (des
Aiguilles)
ซึ่งเป็นสันทรายทางขวางกับแผ่นดินที่ตรงปลายแหลม (จงอย) ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา
ห่างจากแหลมเดอ บอนน์ แอ๊สเปรัวซ์ (แหลมกู้ดโฮป) เป็นระยะทางประมาณ 20 ลิเออ
คนจมน้ำตายไปแปดคน ขุนชำนาญและคณะว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ต้องกินใบไม้
งูย่างหมวกและรองเท้า เป็นอาหาร แล้วเดินด้วยเท้าในแอฟริกาอยู่สามสิบเอ็ดวันจึง
พบคนป่าโอตังโดผิวดำ จึงได้นำพาไปหาชาวฮอลันดาที่แหลมกู้ดโฮป
แล้วอาศัยเรือฮอลันดากลับมาปัตตาเวีย ลงเรือใบกลับมาประเทศสยามเมื่อเดือนกันยายน
จึงได้พบบาทหลวงตาชาร์ดและออกญาวิชาเยนทร์
คณะราชทูตสยามไปอังกฤษและฝรั่งเศส
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2227 สมเด็จพระนารายณ์ฯ
กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาแห่งอาณาจักรสยามได้ส่งออกขุนพิไชยวาทิตและออกขุนพิชิตไมตรีโดยสารเรือของอังกฤษ
เดินทางไปเป็นคณะราชทูตเข้าเฝ้าพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษและพระเจ้าหลุยส์ที่
14 แห่งฝรั่งเศสที่กรุงปารีส โดยมีบาทหลวงวาเซต์ (Monsieur
Vachet)
อดีตศาสนทูตแห่งประเทศญวนใต้เป็นล่าม เพื่อสืบหาคณะทูตชุดแรก ที่นำโดย
ออกญาพิทักษ์ราชไมตรี ซึ่งสูญหายไปเมื่อ พ.ศ. 2223
คณะราชทูตไทยชุดนี้ได้เดินทางกลับมาประเทศสยามพร้อมกับราชทูตฝรั่งเศสชื่อ
เชอร์วาเลียร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier
de Chaumont)
นายทหาร ชื่อ เชอวาลิเยอร์ ฟอร์แบง นายทหารชื่อ เดอ
โบเรอการ์ด และ บาทหลวงคณะเยซูอิตชื่อ อับเบ เดอ ชัวซีย์ (เดอชัวสี)
บาทหลวงตาชาร์ด บาทหลวง ฟอนเต อเนย์ บาทหลวง เลอคองต์ บาทหลวง เกอบิยองต์
บาทหลวงวิสเดอลู และนายนิโคลัส แซร์แวส
โดยทั้งหมดออกเดินทางจากท่าเรือเมืองเบรสต์ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม
พ.ศ. 2228 ถึงปากอ่าวสยามเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2228
ด้วยเรือรบหลวงชื่อ ลัวโซ (LOyseau)
ซึ่งเป็นเรือใบขนาดเล็ก ต่อด้วยไม้บุทองแดง มีลูกเรือ 132 คน
และเรือฟรีเกตชื่อ ลา มาลีญ
สิ่งของที่คณะทูตของฝรั่งเศสนำมาถวายพระเจ้ากรุงสยาม คือ
กระจกเงาหนึ่งพันบาน อำพันเม็ดสิบสองปอนด์ กระจกแก้วสีสามร้อยแผ่น
ปืนคาบศิลาหนึ่งร้อยกระบอก นาฬิกาแขวนสองเรือน อานม้าหนังตะทองคำสิบอาน
ในครั้งนี้มีช่างทำแผนที่ชื่อ เดอ ลามาร์
ร่วมคระมาด้วยเพื่อทำแผนผังตัวเมืองชายฝั่งที่ผ่านไปและแผนที่ประเทศสยาม
เพื่อส่งกลับไปถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส
สำหรับบาทหลวง เดอชัวสี ที่ร่วมคณะมาครั้งนี้
ต่อมาภายหลังนั้นได้เดินทางกลับมายังอาณาจักรสยามอีกหลายครั้ง บาทหลวง เดอชัวสี
ผู้นี้เป็นคนครึ่งหญิงครึ่งชาย กระตุ้งกระติ้ง ได้เขียนบันทึกไว้ในหนังสือ
การเดินทางเป็นสยาม มีความว่า ข้าราชการสยามหลายคนพูดภาษาโปรตุเกสได้
เพราะเป็นภาษากลางที่ใช้กันทั่วไปในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงอินเดีย
นายนิโคลาส แซร์แวส ได้เขียนบันทึกไว้เช่นกัน ว่า
อาชีพอัตคัดที่สุดในสยามคือ ช่างตัดเสื้อ
เพราะพลเมืองสามัญนั้นเขาไม่ใส่เสื้อกัน
เชอรวาเลียร์ เดอ โชมองต์
ราชทูตฝรั่งเศสได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น ของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14
โดยมีเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ร่วมเฝ้าด้วย
ซึ่งมีภาพเขียนขณะราชทูตฝรั่งเศสเข้าถวายพระราชสาส์นแด่สมเด็จพระนารายณ์
ปรากฏอยู่ เชอร์วาเลียร์ เดอ โชมองต์ ได้ออกเดินทางกลับฝรั่งเศส ในเดือน
ธันวาคม พ.ศ. 2228ส่วนฟอร์แบงนั้นได้อยู่รับราชการในอาณาจักรสยาม
ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองบางกอก (เมืองธนบุรีศรีสมุทร)
และได้ลาออกกลับไปฝรั่งเศส ปลายปี พ.ศ. 2229
พ.ศ. 2227 เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งพี่ชายโกษาปาน
พระสหายสนิทของสมเด็จพระนารายณ์
ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการชิงบัลลังก์จากเจ้าฟ้าชัยและพระศรีสุธรรมราชานั้น
ถูกพระราชอาชญาเฆี่ยนจนตาย
เพราะขัดขวางการสร้างป้อมปราการแบบยุโรปของฟอลคอนที่บางกอก และเมืองต่างๆ
ทั้งนี้เนื่องเจ้าพระยาโกษาธิบดีเหล็ก (ออกญาโกษาเหล็ก)
เห็นว่าคนไทยไม่ชำนาญการรบแบบยุโรป ไม่รู้วิธีป้องกันตนเองบนป้อม
ถ้าข้าศึกยึดป้อมได้ก็เท่ากับมีข้าศึกในพระราชอาณาจักร
และไม่เชื่อในความสามารถของฟอลคอน ซึ่งไม่มีความชำนาญในการสร้างป้อม
นอกจากนั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
ยังได้ลอบทำคำสั่งลับถึงขุนนางข้าราชการสยามห้ามนับถือศาสนาคริสต์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีขุนหลวงสรศักดิ์
(ต่อมาได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเสือ)
ผู้ขัดเคืองในเรื่องศาสนาและเคยชกปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ แต่รอดการถูกลงโทษ
เพราะเจ้าแม่วัดดุสิต (ผู้เป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็กและเจ้าพระยาโกษาปาน)
ไปช่วยขอพระราชทานอภัยโทษให้
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2228
มีบันทึกที่ป้อมเซนต์ยอรช์ของอังกฤษในอินเดียว่าเรือเบ็งกอลเมอรชั่น ของเปอร์เซีย
(อิหร่าน) ได้เดินทางผ่านมา ในเรือนั้นมีทูตเปอร์เซียไปเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม
และทูตสยามที่ไปเฝ้าพระเจ้ากรุงเปอร์เซียได้เดินทางกลับมาพร้อมกับม้า 33 ตัว
ในบันทึกการเดินทางของราชทูตเปอร์เซีย ที่เรียกว่า
สำเภาสุไลมานนั้น ระบุว่าได้เดินทางออกจากท่าเรือ บันดารแอบบาส ในวันที่ 27
มิถุนายน พ.ศ. 2228 ผ่านเมือง มะริด เมืองตะนาวศรี เมืองญะลัง เมืองเพชรบุรี
เมืองสุพรรณบุรี (มาชูฮอน) อยุธยา เมืองลพบุรี เอกสารดังกล่าวเรียกอยุธยาว่า
ชะห์รินาว แปลว่า เมืองเรือ หรือ นาวานคร เพราะประชาชนนิยมการเดินทาง
ค้าขาย และพักอาศัยอยู่ในเรือกันมาก
คณะราชทูตของเปอร์เซียได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ด้วย
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2228 คณะราชทูตสยาม (ชุดที่ 3)
จำนวน 40 คนได้ ออกเดินทางไปฝรั่งเศส กับคณะราชทูตของเชอร์วาเลียร์ เดอ
โชมองต์ ครั้งนี้ได้ส่งนักเรียนไทย 12 คน (แต่หาชื่อได้เพียง 10 คนเท่านั้น)
เพื่อเตรียมเข้าเรียนในโรงเรียนหลุยส์เลอกรังที่มีชื่อเสียงแล้วเตรียมให้เรียนวิชาทำน้ำพุวิชาก่อสร้าง
และวิชาช่างเงินช่างทอง คือ พี
PierreEmmanuel,
เพ็ชร
Jean Baptiste Olite,
อ่วม
Paul Artus,
ชื่น
Louis,
ไก่ ช่างทอง
Francois
Xavier,
มี
Henri Oliver,
ด่วน ช่างก่อสร้าง
Philippe,
สัก
Francosis,
เทียน
Thomas
และวุ้ม
Nicolas(จากจดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศส
, ประชุมพงศาวดารเล่ม 20,)เรือลัวโซ กับเรือลา มาลีญของคณะราชทูต
เดินทางถึงท่าเมืองเบรสต์ในฝรั่งเศสเมื่อ 18 มิถุนายน
พ.ศ. 2229 ที่เมืองเบรสต์นี้ภายหลังได้มีการตั้งชื่อถนนสยาม
Rue de
Siam
เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปานหรือโกษาปาน)
ได้เป็นราชทูตของประเทศสยามไปเยือนฝรั่งเศส และคณะราชทูตได้ถึงกรุงปารีสเมื่อ 12
สิงหาคม พ.ศ. 2229
คณะราชทูตชุดนี้มีออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูต
หลวงกัลป์ยาณราชไมตรี และขุนศรีวิศาลวาจา เป็นทูต
มีเจ้าอาวาสวัดเดอลีอองเป็นล่าม
คณะราชทูตเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ที่พระราชวังแวร์ชายเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229
แล้วเดินทางกลับถึงกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2230
พร้อมกับลาลูแบร์ ราชทูตของฝรั่งเศส
ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2230
พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ส่งราชทูตชิมอง ลาลูแบร์ (Simon
de la lovbere)
เจ้าหน้าที่กระทรวงทหารเรือ บาทหลวงตาชาร์ด (Pere
Tachard)
บาทหลวง เดอ เบส (de Betz)
และบาทหลวงเยซูอิตรวม 12 รูป และพร้อมด้วยทหารฝรั่งเศส 636 คนภายใต้การนำของ
นายพลเดส์ฟาร์ช (Desfarges)
ออกจากท่าเรือเมืองเบรสต์ เพื่อมายึดบางกอก และป้อมมะริด
โดยอ้างว่าจะมาอารักขาพระเจ้าแผ่นดินสยามจากการรุกรานของอังกฤษและฮอลันดา
โดยมีการปิดความลับอย่างสุดยอด
กองเรือ 6 ลำ ของฝรั่งเศส ซึ่งมีเรือรบ เลอ กัยยารต์ (le
Gaillard)
ติดปืนใหญ่ 54 กระบอก ลูกเรือ 150 คน เรือรบ ลัวโซ (lOyseau)
ติดปืนใหญ่ 46 กระบอก (เรือลำนี้เคยเดินทางมาสยามก่อนแล้ว)
เรือลา นอร์มังด์ (la Normande) เรือ เลอ
โดรมาแดร์ (le Dromandaire)
และเรือลำเลียงยุทโธปกรณ์ ลาลัวร์ (la Loire)
ส่งนเรืออีกลำชื่อ ลา มาลีญนั้นขนเสบียงมาส่งแค่แหลมกู้ดโฮปแล้วก็กลับฝรั่งเศส
กองเรือฝรั่งเศสได้พากันออกจากท่าเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่ 1
มีนาคม พ.ศ. 2230 ผ่านแหลมกู้ดโฮป ช่องแคบชุนดา เมืองบันตัม ปัตตาเวีย
ช่องแคบบังกา ถึงอ่าวสยามสันดอน แม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.
2230 และถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2230
ในการเดินทางครั้งนี้ปรากฏว่าอาหารในเรือนั้นมีคุณภาพไม่ดี
จึงทำให้เกิดการเจ็บป่วยในเรือมาก ทหารฝรั่งเศสบางคนมาตายในเมืองสยาม
เพราะกินน้ำตาลเมาที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าวมากเกินไป
รวมทหารฝรั่งเศสมาสยามครั้งนี้มีจำนวน 636 คน ระหว่างเดินทางนั้นได้ตายไป 143
คน ขณะที่พำนักอยู่เมืองสยามนั้นปรากฏว่าตายไปอีกราวร้อยคน
จึงอยู่รักษาเมืองมะริด 150 คน ลงเรือตระเวนตามชายทะเล 50 คน
และเหลือรักษาป้อมบางกอกราว 200 250 คน ราชทูต ลาลูแบร์อยู่ในสยาม เป็นเวลา
3 เดือน 6 วัน จึงเดินทางกลับออกจากสยามในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2230
กลับถึงท่าเมืองเบรสต์ ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2231
การเดินทางของลาลูแบร์นั้นไม่ได้รับการต้อนรับจากประเทศสยามดีนัก
เพราะขุนนางสยามยังสงสัยในพฤติกรรมของฝรั่งเศสที่นำทหารมาด้วยถึง 5 ลำเรือรบ
โดยเฉพาะเพทราชานั้นได้พอใจและคัดค้านอย่างเปิดเผย
จนลาลูแบร์และทหารถูกฟอลคอนสั่งห้ามลงจากเรือ
จนกว่าจะได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อองค์สมเด็จพระนารายณ์และฟอลคอนเสียก่อน
ทหารฝรั่งเศสได้ขึ้นพักที่ป้อมวิชาเยนทร์ (ป้อมวิชัยสิทธิ์)
ด้านตะวันตกของบางกอกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2230
ลาลูแบร์ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอาณาจักรสยามไว้ในหนังสือ
Le royaume de Siam
เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ ทรงแปลเป็นภาษาไทย
มีความเล่าว่า ในสยามมีคนต่างชาติกว่า 16,000 คน
คนไทยจำนวนหนึ่งนับถือศาสนามะหะหมัดตามพวกมัวร์
ผู้ชายชอบสักขาเหมือนรอยแผลเป็นที่ถูกดินปืน
หญิงชาวสยามไม่ยอมทอดเนื้อตัวให้คนต่างประเทศโดยง่าย แต่หญิงชาวพะโค (มอญ)
ในสยาม มีความภูมิใจที่ได้สามีเป็นคนผิวขาว
บาทหลวงตาชาร์ดบันทึกว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงมีช้าง
สองหมื่นเชือก สินค้าไทยที่ส่งออก สมัยสมเด็จพระนารายณ์คือ ดีบุก ตะกั่ว ข้าว
พริกไทย ดินประสิว งาช้าง หนังกวาง หนังโค ไม้ฝาง น้ำตาลดิบ น้ำผึ้ง รังนก
รง หมาก น้ำมันมะพร้าว ฝ้าย ไม้หอม กำยาน ชะมดเชียงทองแดง (จากญี่ปุ่น)
เครื่องทองเหลือง ช้างจากมะริด (ส่งไปอินเดีย) ลูกจันทน์
เมล็ดจันทน์เปลือกจันทน์ (จากเกาะแบนดาตอนใต้) ไม้จันทน์ (จากติมอร์) กานพลู
(จากอัมบอน) พริกไทย
(จากแบนทัม)คณะราชทูตไทยที่เดินทางไปฝรั่งเศสกับลาลูแบร์นั้นได้เดินทางกลับมาถึงสยามใน
พ.ศ. 2233
|