ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์)
ครองราชย์ พ.ศ. 2301 2310(4)
กรุงศรีอยุธยานั้นได้แต่งกองทัพเรือออกไปทำการตีค่ายของพม่าดังกล่าว
แต่พอพม่ายิงปืนออกมาถูก นายฤกษ์ ทหารไทยซึ่งยืนรำดาบอยู่หน้าเรือตกลงน้ำ
ทหารไทยก็ใจเสียจึงพากันถอยทัพเรือนั้นกลับคืนเข้ากรุงทั้งหมด
ดังนั้นการสู้รบกันต่างฝ่ายก็เอาปืนใหญ่ตั้งยิงกันทั้งสองข้าง
ฝ่ายไทยนั้นเอาปืนขนาดใหญ่ขึ้นตั้งยิงบนป้อมปืน
พลปืนยิงปืนกลัวปืนจะแตกมากกว่าเสียกรุงจึงใส่ดินปืนไม่เต็มขนาด
เมื่อยิงออกไปลูกปืนจึงไปตกไม่ถึงคูเมือง
ฝ่ายที่กล้าใส่ดินปืนก็ใส่เสียเกินขนาดเป็นสองเท่า
ดังนั้นพอยิงได้นัดเดียวปืนก็แตกร้าวใช้การไม่ได้ต่อไป
ครั้งนั้นกรุงศรีอยุธยาได้เอาปืนใหญ่ชื่อ ปราบหงสา
ซึ่งเป็นปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์โบราณคู่พระนคร ไปตั้งบนป้อมมหาชัย
ยิงเข้าค่ายพม่าที่วัดศรีโพธิ์ และพระยาศรีสุริยพาหะ ได้นำปืนใหญ่ชื่อ
มหากาฬมฤตยูราช ประจุดินปืนสองเท่า ตั้งบนห้อมท้ายกบ ยิงค่ายพม่าที่ภูเขาทอง
แต่ยิงไปเพียงนัดเดียวปืนก็ร้าวใช้การไม่ได้ จนทำให้ต้องออกกฎประกาศในสงครามว่า
ถ้าใครจะยิงปืนใหญ่ต้องไปขออนุญาตที่ศาลาลูกขุนเสียก่อน
ครั้งนั้น พระยาตาก (สิน ) เจ้าเมืองกำแพงเพชร
ที่เดินทางเข้ามารับตำแหน่งพระยาวชิรปราการในพระนคร
พอเกิดศึกสงครามจึงถูกเกณฑ์ให้อยู่ช่วยป้องกันพระนครนั้นได้ทำหน้าที่รักษาพระนครด้านตะวันออก
เมื่อเห็นทหารพม่ายกเข้ามาก็ให้ปืนใหญ่ทำการยิงข้าศึกโดยไม่ได้มาบอกที่ศาลาลูกขุน
จึงทำให้มีโจท์กกล่าวโทษเกือบจะต้องอาญาโทษ แต่ด้วยพระยาตาก (สิน)
นั้นมีความชอบในการสงครามจึงได้ภาคทัณฑ์โทษไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระยาตาก
(สิน) มีความท้อใจและเห็นว่าหากเหตุการณ์สู้รบยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
ไม่เห็นหนทางที่จะชนะได้จึงคิดหนีไปจากพระนคร
ครั้นเมื่อน้ำหลากท่วมทุ่งพม่าได้ยกทัพเรือลัดทุ่งหนีทางปืนมาจากค่าย
โดยทำทีท่าว่าจะมาตรวจการพื้นที่เตรียมล้อมกรุงด้านตะวันออก
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ จึงให้พระยาเพชรบุรีคุมกองทัพเรือกองหนึ่ง พระยาตาก
(สิน)
คุมทัพเรืออีกกองหนึ่งยกออกไปตั้งทัพที่วัดป่าแก้วคอยตีสะกดกองทัพพม่าที่จะยกมาทางทุ่ง
ครั้นพม่ายกมาอีก
พระยาเพชรบุรีจึงระดมกองทัพเรือเข้าโจมตีกองทัพพม่าที่ริมวัดสังฆาวาส
กองทัพพม่ามีจำนวนมากกว่าได้เข้าล้อมพระยาเพชรบุรีไว้แล้วเอาหม้อดินดำทิ้งลงไปในเรือ
ดินปืนระเบิดจนเรือแตก พระยาเพชรบุรีตายในที่รบ
ทำให้กองทัพไทยที่เหลือนั้นหนีตายแตกพ่ายไป พระยาตาก (สิน)
นันได้ห้ามปราบพระยาเพชรยุรีไว้ก่อนแล้วว่าไม่ให้สู้รบแบบซึ่งหน้า
เมื่อรู้ว่าพระยาเพชรบุรีสู้รบจนตัวตายเช่นนั้น
ก็ให้ถอยทัพกลับมาตั้งรับอยู่ที่วัดพิชัย ตั้งแต่นั้นมาพระยาตาก (สิน)
ไม่กลับเข้าไปในพระนครอีก พอน้ำลดดินแห้งแล้วพระยาตาก (สิน)
ก็พาสมัครพรรคพวกจำนวนมาก (ว่า 500
เป็นความหมายในนับว่ามีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน) ตีฝ่าแนวพม่าหนีออกไปทางทิศตะวันออก
ครั้นถึงฤดูแล้ง พม่าได้ส่งกองทัพมาเพิ่มขึ้น
พม่าจึงนำกำลังเข้าตีค่ายกองทัพไทยที่ออกไปตั้งค่ายห้องกันพระนครอยู่ทางด้านหนึ่งจนค่ายแตกพ่ายกลับเข้ากรุงจนหมดทุดค่าย
จากนั้นพม่าก็ยกกำลังเข้ามาประชิดพระนครทางด้านเหนือ
ทำการปลูกหอรบเอาปืนขึ้นไปตั้งจังกายิงเข้าไปในพระนครทุกวันไม่ได้ขาด
ทำให้บ้านเรือนถูกทำลายและระส่ำระสายโกลาหล
ส่วนกองทัพพม่าทางด้านใต้นั้นได้เข้ายกตีค่ายทหารไทยที่ตั้งรบ
จนแตกพ่ายเข้าพระนคร กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าล้อมอยู่นานหลายเดือน
พอนานวันเสบียงอาหารก็เริ่มขัดสน
ทำให้เกิดโจรผู้ร้ายเข้าแย่งชิงปล้นอาหารและทรัพย์สินกันทั่วไป
ภายในกำแพงเมืองเกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่โดยไหม้ตั้งแต่ท่าทรายริมกำแพงด้านเหนือ
ลุกลามไปทางประตูข้าวเปลือก แล้วไหม้ข้ามไปติดเอาบ้านเรือนเสียหาย
วัดวาอารามในกรุงศรีอยุธยารวมกว่า 10,000 หลัง ถูกไฟไหม้ทำลายย่อยยับ
บ้านเมืองถูกเผาทำลายจนเดือดร้อนไปทั่วทุกแห่ง
ทหารที่ป้องกันพระนครนั้นต่างก็เศร้าสลดไม่มีใจที่จะต่อสู้กับข้าศึกต่อไปได้
เมื่อสถานการณ์สงครามเป็นเช่นนี้
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จึงได้ส่งทูตออกไปเจรจาขอเลิกรบยอมเป็นเมืองขึ้นต่อพม่า
แต่เนเมียวสีหบดี แม่ทัพนั้นไม่ยอมเลิกสงคราม
ด้วยประสงค์จะตีเอาทรัพย์จับผู้คนไปให้หมดสิ้น
ชาวเมืองในพระนครนั้นเมื่ออดอยากหนักเข้าก็พากันข้ามกำแพงเมืองหลบหนีออกไปเป็นจำนวนมาก
หากหนีไม่พ้นก็ยอมเข้าไปให้พม่าจับเอาตัวเพื่อจะได้มีอาหารกินก็มีอยู่จำนวนมาก
เนเมียวสีหบดี
เมื่อเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นอ่อนกำลังและเกิดความระส่ำระสายมากขึ้นแล้ว
จึงพยายามสร้างสะพานเรือกจนสำเร็จ
แล้วให้ขุดอุโมงค์เดินเข้าไปจนถึงรากกำแพงพระนคร
แล้วขนเอาไม้ฟืนมากองไว้ใต้รากกำแพงนั้น
เพื่อเตรียมการตีเอากรุงศรีอยุธยาด้านนอกนั้นก็ให้เตรียมบันไดสำหรับพาดปีนกำแพงไว้สำหรับใช้บุกเข้ไปในพระนคร
ต้นปี พ.ศ. 2310 เป็นเนาว์สงกรานต์ คือ วันอังคารขึ้น 9 ค่ำ
เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310
กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่กองทัพของพระเจ้ามังระ
กษัตริย์พม่าโดยกองทัพพม่าได้ยิงปืนป้อมสูงที่วัดการ้อง และวัดแม่นางปลื้ม
ขุดอุโมงค์เข้ามาจุดไฟเผาใต้กำแพงเมืองด้านตะวันออก ตรงหัวรอ ริมป้อมมหาชัย
ซึ่งมีลำน้ำแคบ แล้วสร้างสะพานเชือกข้ามคูเมืองเวลาพลบค่ำ
พงศาวดารพม่าฉบับคองบอง ได้รายงานเหตุการณ์ตอนกรุงศรีอยุธยาแตก
แปลได้ความว่า
ไฟที่รากฐานกำแพงลามเลียไหม้ซุงซึ่งเป็นฐานรากจนก่อเกิดเป็นควันดำโขมง
ผืนดินที่ซึ่งตัวกำแพงตั้งอยู่ก็ปริแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กำแพงที่สูงตระหง่านเป็นร้อยศอกก็มีอันพังคลืนลงมา
ทัพพม่าที่ห้อมล้อมรอคอยอยู่ก็บุกเข้าตีพระนครพร้อมกันทุกด้าน
ปืนใหญ่น้อยกว่าพันกระบอกก็ระดมยิงถล่มพระนครราวห่าฝน...เหล่าทหารพลช้าง พลม้า
และทหารราบก็ไม่รีรอ กรูกันเข้าตีพระนครด้านที่กำแพงพัง
พงศาวดารพม่าระบุว่า
กองทัพพม่าตีเข้าพระนครกรุงศรีอยุธยาได้ในเวลาตี 4 กว่าของวันพฤหัสบดีขึ้น 11
ค่ำ เดือนเมษายน พุทธศักราช 2310 ตรงกัยปี 1129 ของศักราชพม่า
พม่าจุดไฟเผาบ้านเรือน
ปราสาทราชวัง วัด เพื่อหาทรัพย์สินและทองคำเป็นเวลาเก้าวันเก้าคืน
อยุธยาถูกเผาทำลายอย่างยับเยินคนไทยส่วนหนึ่งหนีพม่าเข้าไปอยู่ในป่า
แล้วพม่าได้ยกกองทัพกลับไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2310
โดยจับพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด)
และกวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลยที่เมืองอังวะของพม่า จำนวนประมาณ 30,000 คน
พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตระหว่างการเดินทางไปพม่า พม่าขนปืนใหญ่กลับไปกรุงอังวะกว่า
500 กระยอก โดยมีปืนคู่แฝดสำริดขนาดยาว 12 ศอกด้วย
(จากเรื่อง สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310
สุเนตร ชุตินธรานนท์ ศึกษาจากพงศาวดารพม่าฉบับราชวงศ์คองบอง,)
สรุปแล้วกองทัพพม่าทังหมด
สามารถเข้าเมืองได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทิศทาง
รวมเวลาที่กองทัพพม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ 1 ปี 2 เดือน
กรุงศรีอยุธยาจึงแตกโดยพม่านั้นเอาไฟสุมรากกำแพงและปีนเข้ากรุงได้
ดังนั้นเมื่อข้าศึกเข้าภายในพระนครได้แล้วในเวลากลางคืน
เมื่อรุกไปถึงที่ใดก็จุดไฟเผาบ้านเรือน
วัดวาอารามตลอดปราสาทราชมณเทียรจนไฟลุกแดงฉานสว่างไปทุกแห่ง
กำลังของพม่านั้นเที่ยวเก็บทรัพย์สินเงินทองและไล่จับผู้คนกันอลหม่านไปทั่วทุกแห่ง
เนื่องจากเป็นเวลากลางคืนจึงทำให้ผู้คนนั้นได้อาศัยความมืดพากันหนีตายออกไปได้เป็นจำนวนมาก
ครั้งนั้นพม่าจับผู้คนได้ประมาณ 30,000 คน
สำหรับสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์นั้น
มหาดเล็กได้พาลงเรือลำเล็กหลบหนีออกไปทางประตูน้ำโดยซ่อมซ่อนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ไปจนถึง
บ้านจิก ริมวัดสังฆาวาส โดยที่พม่านั้นไม่รู้ไม่หนีไปแห่งใด
ครั้งนั้นพม่าจึงจับได้แต่ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่กับเจ้านายข้าราชการที่หลบหนีไม่พ้น
จึงถูกควบคุมตัวส่งไปพม่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรนั้นสวรรตจระหว่างทาง
จากนั้นกำลังของพม่าได้เที่ยวตรวจหาทรัพย์สินและสิ่งของที่เป็นของหลวงนัยว่าได้สุมทองคำที่หุ้มพระพุทธรูป
พระศรีสรรเพชดาญาณ
โดยเอาไฟสุมให้ทองคำนั้นละลายลงมาด้วย
บรรดาเจ้าของทรัพย์นั้นต่างถูกเฆี่ยนตีบังคับให้บอกที่ซ่อนทรัพย์สินและถูกทารุณกรรมจนถึงตายหากไม่ยอมบอก
ผู้คนในกรุงศรีอยุธยานั้นต่างได้รับความเดือดร้อนจากสงครามที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้อย่างแสนสาหัส
กองทัพพม่านั้นได้เข้ายึดพระนครอยู่ประมาณ 9
10 วัน เมื่อกวาดเก็บทรัพย์สินจับผู้คนเป็นเชลยเสร็จแล้วก็เลิกทัพกลับไป
โดยตั้ง สุกี้ นายทหารมอญ เป็นนายทัพคอยคุมไพร่พลพม่ามอญ 3,00 คน
อยู่ที่ค่ายบ้านโพธิ์สามต้น
เพื่อคอยตรวจหาทรัพย์จัผู้คนเป็นเชลยส่งตามไปเมืองพม่า
ต่อมาทหารพม่าได้พบสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ อดอยากอยู่ที่บ้านจิกซึ่งอดอาหารมากว่า
10 วันแล้ว พอควบคุมตัวพระองค์ส่งไปถึงค่ายบ้านโพธิ์สามต้น
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ก็เสด็จสวรรคต พระบรมศพจึงถูกฝังไว้ที่ค่ายแห่งนั้น
กองทัพพม่าได้นำผู้คนที่ถูกจับเป็นเชลยและสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรไปสอบสวนจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ
ไว้เป็นภาษาพม่า ต่อมามีการแปลเป็นภาษามอญ แล้วแปลมาเป็นภาษาไทยอีกต่อหนึ่ง
เรียกว่า คำให้การชาวกรุงเก่า หรือคำให้การขุนหลวงหาวัด
เชลยศึกชาวไทยคนหนึ่งที่พม่ากวาดต้อนไปคราวเสียกรุงครั้งที่สองนี้
คือ
นายขนมต้ม
ซึ่งเป็นนักมวยฝีมือดี เคยไปชกมวยกับนักมวยพม่าหน้าพระที่นั่ง
พระเจ้าอังวะที่เมืองย่างกุ้งนายขนมต้มชกพม่า มอญ ชนะถึงเก้าคน
พระเจ้าอังวะตรัสชมว่า คนไทยมีพิษอยู่ทั่วตัวเพราะเจ้านายไม่ดีจึงเสียเมืองกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
แล้วพระราชทานรางวัลแก้นายขนมต้ม
นายแอนโทนี โกยาตัน (Antony
Goyaton)
หัวหนาชาวยุโรปในกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งเป็นชาวอาร์เมเนียได้อยู่ในเหตุการณ์วันที่กรุงศรีอยุธยาแตก แล้วให้การไว้
เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2311 ว่า
พม่าได้เข้าล้อมกรุงสยามในเดือนกรกฎาคม
หรือเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2309 และเข้าตีโดยใช้เรือหลายลำ
ใช้บันไดพาดกำแพงและโยนหม้อดินที่บรรจุดินปืนเข้าภายในกำแพงที่ถูกล้อม
ครั้นเมื่อยึดกรุงได้แล้วพม่าได้ช่วยกันทำลายเมืองลงเป็นเถ้าถ่านหมด
การปฏิบัติครั้งนี้
พวกพม่าได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชาติของตนที่อยู่ในกรุงจำนวน ประมาณ 500
คน ที่เคยถูกฝ่ายสยามจับตัวมาในเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ
กษัตริย์หนุ่มแห่งกรุงศรีอยุธยาก็ถูกนำไปเมืองพม่าด้วย
ระหว่างทางกษัตริย์ประชวรสวรรคต
กษัตริย์องค์ที่สูงด้วยวัยถูกลอบปลงพระชนม์ในคืนเดียวกันโดย ชาวสยามด้วยกัน
ผู้ให้การพร้อมเพื่อจำนวนประมาณ 1,000 คน ประกอบด้วย ชาวโปรตุเกส อาร์เมเนีย
มอญ สยาม และมาเลย์ ถูกนำตัวไปพะโค แต่หลบหนีมาได้
ผู้ให้การลงเรือเล็กไปกัมพูชาและต่อไปปาเล็มบัง
สำหรับเชลยศึกชาวไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2310
ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองชะเวตาชอง หรือคลองทองคำ
ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ประมาณ 13 กิโลเมตร มีวัดระไห่เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน
มีตลาดโยเดียและระโยเดีย ที่มีพรหมสี่หน้าของไทยอยู่ในเมืองพม่าปัจจุบันด้วย
สภาพของกรุงศรีอยุธยานั้นได้ถูกทิ้งร้างมาเป็นระยะเวลานาน
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้น สุนทรภู่
ได้กล่าวถึงสภาพของกรุงศรีอยุธยาไว้ในนิราศพระบาทว่า
น่าในหายเห็นศรีอยุธยาทั้งวัดหลวงวัดหลังก็รั้งรก
เห็ฯนนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสนธ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง มโหรีปี่กลองจะก้องกึก
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณาฯ
|