โหราศาสตร์ไทย

            โหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ใช้ทายกาลล่วงหน้าหรือดูการล่วงหน้า ใช้สำหรับพยากรณ์ผลกรรมของมนุษย์โดยอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องพยากรณ์ 
            ผลกรรมของมนุษย์ตามหลักพุทธศาสนา ตามที่แสดงไว้ในกัมมวิภังคสูตร ได้แสดงผลกรรมไว้ ๑๔ ประการคือ บางคนอายุยืน บางคนอายุสั้น บางคนมีโรคน้อย บางคนมีโรคมาก บางคนมีผิวพรรณดีบางคนมีผิวพรรณทราม บางคนมีศักดามาก บางคนมีศักดาน้อย บางคนมีทรัพย์สมบัติมาก บางคนมีทรัพย์สมบัติน้อย บางคนมีตระกูลสูง บางคนมีตระกูลต่ำ บางคนมีปัญญามาก บางคนมีปัญญาน้อย 
            โหราศาสตร์จะเป็นเครื่องบอกผลกรรม ๑๔ ประการ และความเป็นไปของมนุษย์ในห้วงระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี แสดงเหตุและผลของดวงดาว ทำให้สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าของวิถีทางของมนุษย์ และเหตุการณ์ของโลกทั่ว ๆ ไป 
            วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่เก่าแก่เชื่อว่าเกิดในทวีปเอเซียก่อนแล้วจึงแพร่หลายไปยังแหล่งอื่น ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งมีอายุก่อนพุทธศาสนาก็มีคำสดุดีดาวพระเคราะห์อยู่ด้วย สำหรับวิชาโหราศาสตร์ของไทยตามหลักฐานที่มีอยู่ แสดงว่าได้รับสืบทอดมาจากอินเดีย เมืองไทยเราตั้งอาณาจักรสุโขทัยก็ได้มีตำแหน่งพระมหาราชครู ซึ่งเป็นพราหมณาจารย์ และตั้งให้เป็นปุโรหิตประจำราชสำนักสืบต่อมาในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ ก็ยังคงมีพราหมณาจารย์ดำรงตำแหน่งพระมหาราชครู 
            ในทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพุทธานุญาตให้ พระภิกษุสงฆ์เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ในเรื่องฤกษ์ยาม เพื่อจะได้รู้เวลาทำอุโบสถสังฆกรรม อันเป็นกิจในพระพุทธศาสนา จึงได้มีชื่อ วัน เดือน ปี และฤกษ์แสดงไว้ท้ายบอกวัตรพระเป็นประเพณีสืบต่อมา ที่มาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า สมัยหนึ่ง พระภิกษุทั้งหลายไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในอรัญญิกเสนาสนะได้มีหมู่โจรมาถามว่า วันนี้พระจันทร์กอร์ปด้วยนักขัตฤกษ์อะไร พระภิกษุตอบว่าไม่รู้ พวกโจรจึงว่า ชนเหล่านี้มิใช่สมณะจึงไม่รู้นักขัตตบาท คงจะเป็นพวกโจรมาซุ่มซ่อนอยู่ ว่าแล้วโจรเหล่านั้นก็เข้าทำร้าย พระภิกษุเหล่านั้นแล้วหลีกไป เมื่อความเรื่องนี้ทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์จึงทรงมี พระพุทธฎีกาตรัสให้ประชุมพระภิกษุสงฆ์ แล้วจึงตรัสอนุญาต ให้ภิกษุที่ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าพึงเรียนรู้นักขัตฤกษ์ สำหรับอรัญญิกวัตร เพื่อรักษาตนให้พ้นอันตรายจากโจร 
            วิชาหมอดู จัดว่าเป็นบันไดขั้นต้นของวิชาโหราศาสตร์ ทั้งสองวิชาต่างก็ใช้ดวงดาวนพเคราะห์เป็นเครื่องวินิจฉัย หลักวิชาที่หมอดูใช้ได้แก่ตำราเลข ๗ ตัว โดยอาศัย วัน เดือน ปี และยามเวลาเกิด โดยเทียบเข้ากับหลักการของดาวเคราะห์เป็นมูลฐานในการทำนาย ส่วนวิชาโหราศาสตร์มีการกำหนดท้องฟ้าเป็นจักรราศี โดยแบ่งออกเป็น ๑๒ ราศี แบ่งออกเป็น ๒๗ นักษัตร ๓๖ ตรียางค์ และ ๑๐๘ นวางค์ นอกจากนั้นยังมีตำรามหาทักษาพยากรณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง หลักตำราโหรโบราณแทบทุกคัมภีร์ มักจะนำเอาหลักเกณฑ์ในมหาทักษาพยากรณ์ ไประคนกับหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์ ในวิชาโหราศาสตร์แบ่งจักรราศีออกเป็น ๑๒ ราศี แล้วจัดดาวพระเคราะห์เข้าครองประจำทุกราศี ที่เรียกว่า เกษตร์ และจัดให้ธาตุทั้งสี่ คือ ไฟ ดิน ลม น้ำ เข้าครองประจำทุกราศี กำหนดให้ดาวพระเคราะห์เกษตร์ประจำราศี เข้าครองธาตุตามลักษณะธาตุที่ประจำราศีนั้น และทุกราศีก็กำหนดให้เป็นทิศต่าง ๆ ในวิชาหมอดู มีการแบ่งท้องฟ้าออกเป็น ภูมิอัฐจักรพยากรณ์ มีดาวพระเคราะห์ ธาตุและทิศเข้าครองเหมือนหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์ 
ตำนานการอุบัติของดาวพระเคราะห์


            ตามคัมภีร์เฉลิมไตรภพได้กล่าวไว้ว่า เมื่อโลกถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ เหลือแต่ความว่างเปล่า บรรดาพระเวท พระธรรมศาสตร์ ได้รวมตัวกันเข้า เกิดเป็นพระอิศวร พระอิศวรจึงสร้างโลกใหม่ให้บังเกิดมี มนุษย์ สัตว์ และพืช ขั้นแรกสร้างพระอุมาภควดี พระนารายณ์ และพระพรหมธาตุขึ้นก่อน แล้วสำรอกเนื้องอกออกจากท้องเกิดเป็นแผ่นดิน ถอดจุฑามณีออกจากผม แล้วบันดาลให้เป็นเขาสุเมรุราช และบันดาลให้เกิดธาตุทั้งปวงขึ้นในโลก บังเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ เมื่อฝนหายแล้ว ลมหอบเอาไอดินหอมขึ้นไปถึงพรหมโลก บรรดาพรหมหอมกลิ่นไอดินก็เกิดอยากเสพง้วนดิน จึงแปลงเพศเป็นนางพรหมรวมเจ็ดองค์ลงมากินง้วนดิน เมื่อกินง้วนดินไปแล้วก็มีเทพบุตร และเทพธิาจุติลงมาเกิดในครรภ์ของนางพรหมทั้งเจ็ด ต่อมาได้คลอดบุตรเป็นชายหนึ่งคนเป็นหญิงหกคน เป็นต้นวงศ์ของมนุษย์ในโลก 
            พระอิศวรมีดำริว่า เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์เกิดขึ้นแล้ว สมควรจัดให้มีแสงสว่างส่องโลก จึงได้ตั้งจักรราศีไว้ ๑๒ ราศี ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ๒๗ ฤกษ์ มีวิมานนพเคราะห์ ๙ วิมาน เวียนรอบจักรราศีตามกำหนดเวลา กำหนดให้มีสัตว์ ๑๒ นักษัตรขึ้นเป็นนามมี คือ หนูเป็นนามปีชวด วัวเป็นนามปีฉลู เสือเป็นนามปีขาล กระต่ายเป็นนามปีเถาะ งูใหญ่เป็นนามปีมะโรง งูเล็กเป็นนามปีมะเส็ง ม้าเป็นนามปีมะเมีย แพะเป็นนามปีมะแม ลิงเป็นนามปีวอก ไก่เป็นนามปีระกา สุนัขเป็นนามปีจอ และหมูเป็นนามปีกุน 
            จากนั้นได้สร้างพระอาทิตย์ (๑) จากราชสีห์ ๖ ตัว พระอาทิตย์ จึงมีกำลัง ๖ ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ 
            สร้างพระจันทร์ (๒) จากนางฟ้า ๑๕ พระจันทร์จึงมีกำลัง ๑๕ มีม้าเป็นพาหนะ 
            สร้างพระอังคาร (๓) จากกระบือ ๘ ตัว พระอังคารจึงมีกำลัง ๘ มีกระบือเป็นพาหนะ 
            สร้างพระพุธ (๔) จากช้าง ๑๗ ตัว พระพุธจึงมีกำลัง ๑๗ มีช้างเป็นพาหนะ 
            สร้างพระพฤหัสบดี (๕) จากฤาษี ๑๙ ตน พระพฤหัสบดีจึงมีกำลัง ๑๙ มีกวางทองเป็นพาหนะ 
            สร้างพระศุกร์ (๖) จากโค ๒๑ ตัว พระศุกร์จึงมีกำลัง ๒๑ มีโคเป็นพาหนะ 
            สร้างพระเสาร์ (๗) จากเสือ ๑๐ ตัว พระเสาร์จึงมีกำลัง ๑๐ มีเสือเป็นพาหนะ 
            สร้างพระราหู (๘) จากหัวผีโขมด ๑๒ หัว พระราหูจึงมีกำลัง ๑๒ มีครุฑเป็นพาหนะ 
            สร้างพระเกตุ (๙) จากพญานาค ๙ ตัว พระเกตุจึงมีกำลัง ๙ มีนาคเป็นพาหนะ 
            พระอิศวรจัดให้เทวดานพเคราะห์ทั้งเก้าโคจรรอบจักรราศี โดยมีเขาพระสุเมรุราชเป็นหลักของโลก เทวดาพระเคราะห์ทั้งเก้า ก็โคจรรอบเขาสุเมรุราช พระอิศวรปรารภว่า เขาพระสุเมรุราชประกอบด้วย เหลี่ยมใหญ่ประจำทิศทั้งแปด ยังไม่มีผู้ใดรักษา จึงได้มอบให้ พระอาทิตย์ (๑) รักษาทิศอีสาน พระจันทร์ (๒) รักษาทิศบูรพา พระอังคาร (๓) รักษาทิศอาคเณย์ พระพุทธ (๔) รักษาทิศทักษิณ พระเสาร์ (๗) รักษาทิศหรดี พระพฤหัสบดี (๕) รักษาทิศประจิม พระราหู (๘) รักษาทิศพายัพ พระศุกร์ (๖) รักษาทิศอุดร ส่วนพระเกตุ (๙) ให้ประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง 
            การเข้าครองทิศของเทวดาอัฐเคราะห์ให้ตั้งต้นที่ทิศทักษิณก่อน แล้วนับตั้งแต่ทิศทักษิณเป็นต้นไปเท่ากับกำลังของตน โดยทางทักษิณาวัตร คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดี เช่นพระอาทิตย์มีกำลัง ๖ ก็นับเริ่มต้นที่ทิศทักษิณเวียนขวาไปตามลำดับ ถึงลำดับ ๖ ตกทิศอิสาน ดังนั้นพระอาทิตย์ (๑) จึงประจำอยู่ที่ทิศอิสาน ดาวพระเคราะห์อื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันจนครบแปดดวง ทำให้เกิดภูมิพยากรณ์ และตำรามหาทักษา สำหรับใช้พิจารณาชะตาชีวิตในวิชาโหราศาสตร์เบื้องต้น คือวิชาหมอดูนั่นเอง 
การแบ่งจักรราศีตามแบบโหราศาสตร์


            บนท้องฟ้าเป็นวิถีโคจรของบรรดาดาวพระเคราะห์ทั้งหลาย มีพระอาทิตย์ (๑) เป็นประธานในเวลากลางวัน และมีพระจันทร์ (๒) เป็นประธานเวลากลางคืน เมื่ออาทิตย์โคจรไปรอบจักรราศีจะโคจรผ่านกลุ่มดาวประจำราศีทั้ง ๑๒ ราศี อาทิตย์โคจรผ่านราศีต่าง ๆ ราศีละ ๑ เดือน ครบรอบจักรราศีเป็นเวลา ๑ ปี ระยะการโคจรของอาทิตย์ที่ผ่านไปตามจักรราศีเรียกว่า สุริยคติกาล จักรราศีหนึ่งมีมุม ๓๖๐ องศา แต่ละราศี มีมุม ๓๐ องศา 
                ราศีทั้ง ๑๒ ราศีมีชื่อเรียกตามกลุ่มดาวที่ประจำอยู่ ดังนี้ 
                ราศี ๐ ชื่อราศีเมษ          หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป เนื้อ 
                ราศี ๑ ชื่อราศีพฤกศภ    หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป โค 
                ราศี ๒ ชื่อราศีเมถุน        หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนคู่ 
                ราศี ๓ ชื่อราศีกรกฎ        หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ปู 
                ราศี ๔ ชื่อราศีสิงห์          หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ราชสีห์ 
                ราศี ๕ ชื่อราศีกันย์          หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป นาง 
                ราศี ๖ ชื่อราศีตุลย์            หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ตาชั่ง 
                ราศี ๗ ชื่อราศีพิจิก           หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป แมลงป่อง 
                ราศี ๘ ชื่อราศีธนู             หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนถือธนู 
                ราศี ๙ ชื่อราศีมังกร          หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป งูใหญ่ หรือมังกร 
                ราศี ๑๐ ชื่อราศี กุมภ์        หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนถือหม้อ 
                ราศี ๑๑ ชื่อราศีมิน            หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ปลา


            ใน ๑๒ ราศีจะมีดาวพระเคราะห์ครองอยู่ทั้งสิ้น ดาวพระเคราะห์ที่ครองอยู่ตามราศีทั้ง ๑๒ ราศีนี้เรียกว่า เกษตร มีดังนี้ 
                อังคาร  (๓)            เป็นเกษตรประจำราศีเมษ และราศีพิจิก 
                ศุกร์  (๖)                เป็นเกษตรประจำราศีพฤกศก และราศีตุลย์ 
                พุธ  (๔)                 เป็นเกษตรประจำราศีเมถุน และราศีกันย 
                จันทร์  (๒)            เป็นเกษตรประจำราศีกรกฎ 
                อาทิตย์  (๑)           เป็นเกษตรประจำราศีสิงห์ 
                พฤหัสบดี  (๕)       เป็นเกษตรประจำราศีมีน 
                เสาร์  (๗)               เป็นเกษตรประจำราศีกุมภ์ 
ตรียางค์ และนวางค์ 
            ในหนึ่งราศีมีมุมกว้าง ๓๐ องศา แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีมุม กว้าง ๑๐ องศา เรียกว่าตรียางค์ ทุกตรียางค์มีดาวพระเคราะห์ครองทำนองเดียวกับเกษตรในแต่ละราศี ตรียางค์ที่หนึ่งเรียกว่า ปฐมตรียางค์ ตรียางค์ที่สองเรียกว่าทุติยตรียางค์  ตรียางค์ที่สามเรียกว่าตติยตรียางค์ ในจักรราศีมี ๓๖ ตรียางค์ด้วยกัน 
            ในแต่ละตรียาค์ แบ่งออกเป็นสามนวางค์ แต่ละนวางค์มีมุม กว้าง ๓ องศา ๒๐ ลิบดา ดังนั้นในราศีหนึ่งจึงมีเก้านวางค์ แต่ละนวางค์มีดาวนพเคราะห์ครองเป็นเกษตร เช่นเดียวกับในตรียางค์ และในราศี 
นักษัตร์ (ฤกษ์) 
            นักษัตร์เป็นดาวอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ดาวพระเคราะห์ ประชุมกันอยู่ตามนวางค์ทั้ง ๑๐๘ นวางค์รอบจักรราศีมีทั้งหมด  ๒๗ กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะอยู่ใน ๔ นวางค์ มีชื่อเรียกตามลำดับ จากอัสวินีฤกษ์จนถึงเรวดีฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๑ คืออัสวินีนักษัตรนั้น เริ่มตั้งแต่จุดแรกของราศีเมษ ไปจนถึงกลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๒๗ อันเป็นจุดสุดท้ายของ เรวดีนักษัตร์ในราศีมิน 
            กลุ่มดาวฤกษ์ที่ประชุมอยู่ในสี่นวางค์ นวางค์แรกเรียกว่า ปฐมบาท นวางค์ที่สองเรียกว่า ทุติยบาท นวางค์ที่สามเรียกว่า ตติยบาท และนวางค์ที่สี่เรียกว่า จัตตุถบาท 
            กลุ่มดาวที่พระจันทร์โคจรผ่านเรียกว่า ฤกษ์ พระจันทร์โคจรผ่านตลอด ๒๗ กลุ่มดาวฤกษ์ เป็นเวลา ๑ เดือน เรียกว่า จันทรคติกาล 
            ดาวพระเคราะห์ที่โคจรตามจักรราศีที่นำมาใช้ในวิชาโหราศาสตร์เดิมมีอยู่เพียงเจ็ดดวง คือ 
                ดาวเสาร์ (เสารี)            ใช้แทนด้วย เลข ๗ 
                ดาวพฤหัสบดี (ชีโว)    ใช้แทนด้วย เลข ๕ 
                ดาวอังคาร (ภุมมะ)        ใช้แทนด้วยเลข ๓ 
                ดาวอาทิตย์ (สุริชะ)        ใช้แทนด้วยเลข ๑ 
                ดาวศุกร์ (ศุกระ)             ใช้แทนด้วยเลข ๖ 
                ดาวพุธ (พุธา)                  ใช้แทนด้วยเลข ๔ 
                ดาวจันทร์ (จันเทา)         ใช้แทนด้วยเลข ๒ 
            เป็นการเรียงลำดับ จากไกลมาใกล้ ส่วนราหูกับเกตุ ซึ่งใช้แทนด้วยเลข ๘ และเลข ๙ นั้น เป็นเพียงเงาของดาวพระเคราะห์อันเนื่องจากการโคจรของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวงรีมีระนาบเอียงทำมุม ประมาณ ๕ องศา จึงเกิดจุดตัดของแนวโคจรดังกล่าว สองจุด จุดทางทิศเหนือของโลกเรียกว่า ราหู จุดทางทิศใต้เรียกว่าเกตุ ดังนั้นราหูกับเกตุ จะโคจรมีระยะห่างกันเป็นมุม ๑๘๐ องศาตลอดเวลาในลักษณะที่เล็งกัน 
ดาวพระเคราะห์ครองธาตุตามหลักทักษา


            ธาตุที่สำคัญมีอยู่สี่ประการด้วยกันคือ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุลม และธาตุน้ำ ธาตุไฟกับธาตุลมจัดไว้เป็นธาตุอกุศลธาตุ ธาตุดินกับธาตุน้ำเป็นกุศลธาตุ ธาตุทั้งสี่เข้าครองในภูมิพยากรณ์ทั้งแปดในลักษณะที่สลับกันระหว่างกุศลธาตุ และอกุศลธาตุ โดยเริ่มจากธาตุไฟคลองทิศอิสาน ธาตุดินครองทิศบูรพา ธาตุลมครองทิศอาคเณย์ ธาตุน้ำครองทิศทักษิณ เรียงสลับกันไปตามลักษณะทักษิณาวัตร 
            บรรดาดาวพระเคราะห์ที่ครองอยู่ตามภูมิพยากรณ์ทั้งแปด ก็จะครองธาตุที่ประจำอยู่ตามภูมิพยากรณ์นั้น ๆ คือ อาทิตย์ครองธาตุไฟ จันทร์ครองธาตุดิน อังคารครองธาตุลม พุธคลองธาตุน้ำ เสาร์ครองธาตุไฟ พฤหัสบดีครองธาตุดิน ราหูครองธาตุลม และศุกร์ครองธาตุน้ำ ดาวเคราะห์ที่ครองธาตุเดียวกันเรียกว่า ดาวคู่ธาตุ 
            สุริชะธาตุไฟกำหนดให้มีกำลังเท่ากับ ๑๒ อมฤตะ ธาตุน้ำ มีกำลัง ๑๖ ปาปะธาตุลมมีกำลัง ๒๒ โกลีธาตุดินมีกำลัง ๓๐ รวมกันแล้วมีกำลัง ๘๐ เรียกว่า อสีติธาตุ 
            อาทิตย์กับเสาร์คู่ธาตุไฟ เข้าครองในราศีเมษธาตุไฟ 
            พุธกับศุกร์คู่ธาตุน้ำ เข้าครองในราศี กรกฎ ธาตุน้ำ 
            อังคารกับราหู คู่ธาตุลม เข้าครองในราศีตุลย์ ธาตุลม 
            จันทร์ กับพฤหัสบดี คู่ธาตุดิน เข้าครองในราศีมังกร ธาตุดิน 
ดาวพระเคราะห์ครองธาตุตามหลักโหราศาสตร์


            ในหลักวิชาโหราศาสตร์ ได้แบ่งจักรราศีออกเป็น ๑๒ ราศี และจัดดาวพระเคราะห์เข้าครองเป็นเกษตรทั้ง ๑๒ ราศี และมีการจัดให้ธาตุทั้งสี่เข้าครองทั้ง ๑๒ ราศี โดยวิธีเดียวกันกับที่จัดวางในภูมิพยากรณ์ คือให้กุศลธาตุอยู่สลับกับอกุศลธาตุ เมื่อนับตามอุตราวรรต (เวียนซ้าย) จะเป็นดังนี้ 
            ราศีเมษธาตุไฟ ราศีพฤศภ ธาตุดิน ราศีเมถุนธาตุลม ราศีกรกฎธาตุน้ำ ราศีสิงห์ธาตุไฟ ราศีกันย์ธาตุดิน ราศีตุลย์ธาตุลม ราศีพิจิกธาตุน้ำ ราศีธนูธาตุไฟ ราศีมังกรธาตุดิน ราศีกุมภ์ธาตุลม และราศีมีนธาตุน้ำ 
            ราศีที่มีอิทธิพลในภาคกลางวันได้แก่ ราศีสิงห์ กันย์ ตุลย์ พิจิก  ธนู และราศีมังกร 
            ราศีที่มีอิทธิพลในภาคกลางคืนได้แก่ ราศี กุมภ์ มีน เมษ พฤษภ เมถุน และราศีกรกฎ 
คู่มิตร คู่ศัตรู ตามตำนานชาติเวร 
            การแบ่งดาวพระเคราะห์เป็น คู่มิตร คู่ศัตรู ตามหลักวิชาหมอดู กำหนดตามตำนานชาติเวรของดาวพระเคราะห์ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เฉลิมไตรภพ มีดังนี้ 
            ดาวที่เป็นคู่มิตรคือ อาทิตย์กับพฤหัสบดี จันทร์กับพุธ ศุกร์กับอังคาร และราหูกับเสาร์ 
            ดาวที่เป็นคู่ศัตรูคือ อาทิตย์กับอังคาร พุธกับราหู ศุกร์กับเสาร์ และจันทร์กับพฤหัสบดี 
คู่มิตร คู่ศัตรู ตามหลักโหราศาสตร์


            ดวงมูลตรีโกณหรือมูลเกษตร เป็นตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ที่ให้คุณ เพราะเป็นดาวในตำแหน่งเกษตรนั่นเอง ยกเว้นจันทร์ไปครองตำแหน่งอุจจ์ในราศีพฤกษภ ตำแหน่งมูลเกษตรเป็นที่เกิดของดาวพระเคราะห์คู่มิตรคู่ศัตรู ตามหลักโหราศาสตร์ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ปาริชาติชาดก ซึ่งแสดงไว้ว่า 
            อาทิตย์ราศีสิงห์ จันทร์ราศีพฤกษภ อังคารราศีเมษ พุธราศีกันย์ พฤหัสบดีราศีธนู ศุกร์ราศีตุลย์ เสาร์ราศีกุมภ์ เรียกว่าได้ตำแหน่งมูลตรีโกณ หรือมูลเกษตร 
            การกำหนดดาวพระเคราะห์ที่เป็นคู่มิตรคู่ศัตรูกันนั้น กำหนดจากตำแหน่งที่เป็นมูลตรีโกณของดาวพระเคราะห์นั้น ๆ พิจารณาจากเจ้าเรือนเกษตรของภพที่สอง สี่ ห้า แปด เก้า และภพที่สิบสอง พร้อมทั้งดาวพระเคราะห์ที่เป็นเจ้าเกษตร ราศีอุจจ์ของดาวในตำแหน่งมูลตรีโกณ ดาวพระเคราะห์เกษตรในตำแหน่งดังกล่าวจะเป็นคู่มิตรกับดาวนั้น บอกจากนั้นแล้วเป็นศัตรูทั้งสิ้น สรุปได้ดังนี้ 
            ดาวอาทิตย์ เป็นมิตรกับจันทร์ อังคารและพฤหัสบดี เป็นกลางกับพุธ เป็นศัตรูกับศุกร์ และเสาร์ 
            ดวงจันทร์ เป็นมิตรกับอาทิตย์ และพุธ เป็นกลางกับอังคาร และพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ไม่เป็นศัตรูกับดาวอื่น 
            ดาวอังคาร เป็นมิตรกับอาทิตย์ จันทร์ และพฤหัสบดี เป็นกลางกับศุกร์และเสาร์ เป็นศัตรูกับพุธ 
            ดาวพุธ เป็นมิตรกับอาทิตย์ และศุกร์ เป็นกลางกับอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ เป็นศัตรูกับจันทร์ 
            ดาวพฤหัสบดี เป็นมิตรกับอาทิตย์ จันทร์ และอังคาร เป็นกลางกับเสาร์ เป็นศัตรูกับพุธ และศุกร์ 
            ดาวศุกร์ เป็นมิตรกับพุธและเสาร์ เป็นกลางกับอังคาร และพฤหัสบดี เป็นศัตรูกับอาทิตย์ และจันทร์ 
            ดาวเสาร์ เป็นมิตรกับศุกร์ และพุธ เป็นกลางกับพฤหัสบดี เป็นศัตรูกับอาทิตย์ จันทร์ และอังคาร 
การพิจารณาดาวเคราะห์จร 
            การพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตจากดวงชะตา ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ ก็พยากรณ์จากดาวพระเคราะห์ที่โคจรใน ๑๒ ราศี ส่งกระแสสัมพันธ์มาถึงดาวพระเคราะห์ในดวงชาตาตลอดจนลัคนาของผู้นั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาหลายนัยด้วยกันคือ 
            ๑.  ให้พิจารณาจากลัคนาเป็นประการแรก และสำคัญที่สุด ตรวจดูว่าราศีที่ลัคนาสถิตนั้นมีดาวพระเคราะห์ใดบ้างที่ให้คุณ และให้โทษ 
            ๒.  ให้พิจารณาดาวเจ้าเรือนลัคน์ว่าโคจรไปอยู่ในตำแหน่งใด เข้มแข็ง หรืออ่อนแอ นอกจากนั้นให้ดูดวงเจ้าเรือนที่จันทร์ในดวงชาตาสถิต ทำนองเดียวกับเจ้าเรือนลัคน์ 
            ๓.  ในราศีใดที่มีดาวพระเคราะห์โคจรไปต้องกัน ให้พิจารณาดู ดาวที่เป็นเกษตรในราศีนั้นด้วย 
            ๔.  ดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชะตา เมื่อถูกดาวพระเคราะห์จรมาต้องส่งผลให้ในทางให้โทษ ให้พิจารณาตำแหน่งของดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชาตาที่ถูกเบียนนั้น ตรวจดูสภาพที่กำลังเป็นดาวพระเคราะห์จรในขณะนั้น 
            ๕.  นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าหากในขณะนั้นเกิดมีจุดดับ หรือจุดคราสมาถูกต้องในดวงชาตาก็นับว่าเป็นผลร้าย จุดดับคือตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ ยกเว้นราหู และเกตุ ซึ่งโคจรเข้าร่วมกับอาทิตย์ มีองศาใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ประมาณ ๕ องศา ถ้าเป็นจุดดับของพระจันทร์มีชื่อเรียกว่า จุดอามาวสี จุดดับของจันทร์ถ้าไปต้องดาวพระเคราะห์ใดเข้า รวมทั้งลัคนาก็ถือว่าเป็นจุดเบียน และจุดที่อาทิตย์กับจันทร์มีองศาเท่ากัน ถือว่าดับสนิท ถ้าไปเท่ากับองศาของลัคนา หรือดาวพระเคราะห์ที่โคจรไปทับก็ถือว่าเป็นจุดเบียน หากดาวพระเคราะห์ที่ดับเป็นดาวเกษตรเจ้าเรือนลัคน์ หรือเจ้าเรือนจันทร์ก็จะทำให้ชาตาในจังหวะนั้นไม่สู้ดี ดาวพระเคราะห์ดวงใดที่โคจรเข้าไปสู่จุดดับ ถือว่าดาวพระเคราะห์ดวงนั้นหมดกำลังต้านทาน 
            จุดคราส  เป็นจุดดับอีกประการหนึ่ง ซึ่งรุนแรงกว่าจุดดับธรรมดา และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจุดดับของจันทร์ และจุดเพ็ญของจันทร์ที่เรียกว่า ปุรณมี ถ้ามีราหูร่วมหรือเล็งในระยะองศาใกล้เคียง ภายในระยะองศาที่บังคับไว้ทำให้เกิดสุริยุปราคา ขึ้นเรียกว่า จุดคราส ถ้าจุดนี้ไปต้องลัคนา หรือดาวพระเคราะห์ดวงใดในชาตา จะเป็นด้วยการร่วมหรือเล็งก็ตามโดยมีองศาใกล้เคียงกันภายใน ๒๐๐ ลิบดา ดาวเกษตร์เจ้าเรือนลัคน์ ดาวเกษตรเจ้าเรือนจันทร์ ดาวเกษตร์เจ้าราศีที่อาทิตย์ในชาตากำเนิดสถิตอยู่ถือว่า เป็นชาตาเข้าฆาฏระยะหนึ่ง จะให้ผลร้ายเมื่ออังคารโคจรมาทับ หรือมาเล็ง จุดคราสอีกจุดหนึ่ง คือจุดที่อาทิตย์กับจันทร์โคจรมาเล็งกันเป็นมุม ๑๘๐ องศา ทำให้เกิดจุดเพ็ญขึ้น แต่มีราหูเข้ามามีองศาร่วม จะร่วมในราศีที่อาทิตย์สถิต หรือจันทร์สถิตก็ได้ ทำให้เกิดจันทรุปราคาขึ้น มีผลเช่นเดียวกับ สุริยุปราคา 
            จุดเพ็ญ  ถือว่าเป็นจุดดีจุดหนึ่ง จันทร์เพ็ญโคจรไปร่วมกับดาวดวงใด จะทำให้ดาวดวงนั้นมีกำลังขึ้น ทั้งดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชาตา  และดาวพระเคราะห์ที่กำลังโคจรในวิถีจักร 
            ๖.   ดาวพระเคราะห์ที่จัดว่าให้คุณในดวงชาตา เมื่อโคจรมาต้องตัวเองเข้าก็ถือว่าให้ผลดี ตรงกันข้ามดาวพระเคราะห์ที่ให้โทษในดวงชาตา เมื่อโคจรมาต้องตัวเองก็จะให้ผลร้าย 
            ๗.  การพิจารณาผลจากดาวพระเคราะห์โคจรมาต้อง ให้ตรวจดูว่าดาวดวงนั้นตั้งอยู่ในภพใดจากดาวนั้น ก็จะให้คุณให้โทษตามสภาพของภพนั้น ๆ 
ดาวพระเคราะห์ครองทิศตามหลักโหราศาสตร์


            ตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ที่ครองใน ๑๒ ราศีนี้ ก็คือตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีอุจจ์ของตนนั่นเอง คือ อาทิตย์เป็นอุจจ์ในราศีเมษ ทิศบูรพา อังคารเป็นอุจจ์ในราศีมังกรทิศทักษิณ เสาร์เป็นอุจจ์ในราศีตุลย์ทิศประจิม พฤหัสบดีเป็นอุจจ์ในราศีกรกฏทิศอุดร สำหรับทิศเฉียงคือ ทิศอาคเณย์มีศุกร์เป็นอุจจ์อยู่ดวงเดียว จึงเป็นดาวครองทิศอาคเณย์ ทิศหรดีมีราหูเป็นอุจจ์อยู่ดวงเดียว จึงเป็นดาวครองทิศหรดี ทิศพายัพมีพุธเป็นอุจจ์อยู่ดวงเดียว จึงเป็นดาวครองทิศพายัพ ทิศอิสานมีจันทร์เป็นอุจจ์อยู่ดวงเดียวจึงเป็นดาวครองทิศอิสาณ แต่คัมภีร์โหราศาสตร์หลายฉบับได้แบ่งดาวพระเคราะห์เข้าครองทิศผิดไปจากที่กล่าวแล้วในทิศพายัพ อุดร และ อิสาณ กล่าวคือให้จันทร์ครองทิศพายัพ พุธครองทิศอุดร และพฤหัสบดีครองทิศอิสาณ 
ตำรามหาทักษา


            เมื่อพระอิศวรได้สร้างโลก สร้างดาวนพเคราะห์ และสร้างสรรพชีวิตมนุษย์สัตว์ขึ้นมาแล้ว ก็ได้สั่งให้เทวดานพเคราะห์มีหน้าที่ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเสวยอายุบุคคลตามระยะเวลาอันเท่ากับกำลังของพระเคราะห์นั้น ๆ ส่วนพระเกตุให้ประจำอยู่ตลอด 
            ผู้ใดเกิดวันใด เทวดาดาวพระเคราะห์ที่ตรงกับวันเกิดจะเสวยอายุก่อนเท่ากำลังของตน เป็นกำลังละ ๑ ปี เช่นพระอาทิตย์มีกำลัง ๖ ก็จะเสวยอายุ ๖ ปี จากนั้น เทวดาดาวพระเคราะห์ถัดไป ตามภูมิอัฐจักรพยากรณ์ก็จะเข้าเสวยอายุต่อไปตามกำลังของตน ตามลำดับไปจนครบ ๘ องค์ เป็นเวลา ๑๐๘ ปี เรียกว่า กำลังพระเคราะห์ ๑๐๘ ในขณะที่เทวดาดาวพระเคราะห์องค์หนึ่งองค์ใดเสวยอายุอยู่ จะมีเทวดาดาวพระเคราะห์องค์อื่นเข้ามาแทรก การคำนวณให้รู้ว่า เทวดาองค์ใดเสวยอายุตัวเองเท่าใด และองค์อื่นแทรกเป็นเวลาเท่าใด มีวิธีคำนวณ ดังนี้ 
            ให้ตั้งกำลังพระเคราะห์ที่เสวยอายุลง เสวยอายุตัวเองเท่าใดเอากำลังเป็นตัวคูณแล้วเอา ๑๐๘ เป็นตัวหาร ผลลัพธ์ที่ได้เป็นปี ถ้ามีเศษของปีเอา ๑๒ คูณ แล้วเอา ๑๐๘ หาร ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเดือนถ้ามีเศษเดือนเอา ๓๐ คูณ แล้วเอา ๑๐๘ หาร ผลลัพธ์ที่ได้เป็นวัน ถ้ามีเศษวันให้เอา ๖๐ มหานาฑีคูณ แล้วเอา ๑๐๘ หาร ผลลัพธ์เป็นมหานาฑี ถ้าจะทำให้เป็นชั่วโมงให้เอา ๒๔ คูณ แล้วเอา ๖๐ หาร ผลลัพธ์เป็นชั่วโมง ก็จะรู้ว่าเสวยอายุตัวเองเป็นเวลาเท่าใด 
            ถ้าต้องการรู้ระยะเวลาพระเคราะห์องค์ที่แทรก ให้เอากำลังพระเคราะห์องค์ที่แทรก คูณกำลังพระเคราะห์ที่เสวยอายุแล้วเอา ๑๐๘ หาร กระทำไปตามลำดับดังที่กล่าวมาแล้ว ก็จะทราบว่าพระเคราะห์ที่แทรกนั้นเป็นระยะเวลาเท่าใด 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระอาทิตย์เสวยอายุครบ ๖ ปี พระจันทร์เสวยอายุต่อตั้งแต่อายุ ๗ ปี ถึง อายุ ๒๑ ปี แล้วพระอังคารเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๒๒ ปี ถึงอายุ ๒๙ ปี พระพุธเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๓๐ ปี ถึงอายุ ๔๖ ปี แล้วพระเสาร์เสวยอายุตั้งแต่อายุ ๔๗ - ๕๖ ปี พระพฤหัสบดีเสวยอายุตั้งแต่ อายุ ๕๗ - ๗๕ ปี พระราหูเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๗๖ - ๘๗ ปี จากนั้นพระศุกร์เสวยอายุตั้งแต่อายุ ๘๘ - ๑๐๘ ปี 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ พระจันทร์เสวยอายุถึง อายุ ๑๕ ปี พระอังคารเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๑๖ - ๒๓ ปี พระพุธเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๒๔ - ๔๐ ปี พระเสาร์เสวยอายุตั้งแต่อายุ ๔๑ - ๕๐ ปี พระพฤหัสบดีเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๕๑ - ๖๙ ปี พระราหูเสวยอายุตั้งแต่อายุ ๗๐ - ๘๑ ปี พระศุกร์เสวยอายุตั้งแต่อายุ ๘๒ - ๑๐๒ ปี และพระอาทิตย์เสวยอายุตั้งแต่อายุ ๑๐๓ - ๑๐๘ ปี 
            สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร วันพุธ วันเสาร์ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ ก็ทำในทำนองเดียวกันไปตามลำดับตั้งแต่เกิดจนอายุ ๑๐๘ ปี 
            ในระหว่างที่เทวดาพระเคราะห์เข้ามาเสวยอายุอยู่แต่ละองค์ ก็จะมีเทวดาพระเคราะห์องค์อื่นจรเข้ามาแทรก ตามตารางที่แสดงไว้ตามลำดับการเสวยอายุของพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู และพระศุกร์

คัมภีร์กาลโยค


            การหาว่าในปีใด จะมีวันใดเป็นวันธงชัย วันอธิบดี วันอุบาทว์ วันโลกาวินาสน์ มีการคำนวณตามคัมภีร์กาลโยคดังนี้ 
            ธงชัย  ถ้าต้องการรู้ว่าในแต่ละปี ราศีใด วันใด ยามใด ดิถีใด และฤกษ์ใด จะเป็นธงชัย ให้ตั้งจุลศักราชของปีนั้นลง เอา ๑๐ คูณ เอา ๓ บวก ได้ผลลัพธ์เท่าใดเป็นเกณฑ์ตราไว้ แล้วตั้งเกณฑ์ดังกล่าวลงเป็น ๕ ฐาน เอาเลข ๕ จำนวนได้แก่ ๗, ๘, ๑๒, ๓๐, และ ๒๗ หารเกณฑ์จำนวนละฐาน เหลือเศษเท่าใด จะเป็นผลดังนี้ 
                ๗     หารเกณฑ์     เศษเป็นวันธงชัย 
                ๘     หารเกณฑ์     เศษเป็นยามธงชัย 
                ๑๒  หารเกณฑ์     เศษเป็นราศี ธงชัย 
                ๓๐  หารเกณฑ์      เศษเป็นดิถี ธงชัย 
                ๒๗  หารเกณฑ์     เศษเป็น ฤกษ์ ธงชัย 
            อธิบดี  ให้ตั้งจุลศักราชของปีนั้นลง เอา ๔๙๘ หาร ได้เศษเท่าใดเป็นเกณฑ์ตราไว้ แล้วตั้งเกณฑ์ เป็น ๕ ฐาน เอาเลข ๕ จำนวนหารเกณฑ์จำนวนละฐาน เหลือเศษเท่าใด จะได้ผลดังนี้ 
                ๗     หารเกณฑ์     เศษเป็นวันอธิบดี 
                ๘     หารเกณฑ์     เศษเป็นยามอธิบดี 
                ๑๒  หารเกณฑ์     เศษเป็นราศีอธิบดี 
                ๓๐  หารเกณฑ์      เศษเป็นฤกษ์อธิบดี 
            อุบาทว์  ให้ตั้งจุลศักราชปีนั้นลง เอา ๑๐ คูณ เอา ๒ บวก ได้ผลลัพธ์เท่าใดเป็นเกณฑ์ตราไว้ แล้วตั้งเกณฑ์เป็น ๕ ฐาน เอาเลข ๕ จำนวน หารเกณฑ์จำนวนละฐาน เหลือเศษเท่าใด จะได้ผลดังนี้ 
                ๗    หารเกณฑ์   เศษเป็นวันอุบาทว์ 
                ๘    หารเกณฑ์   เศษเป็นยามอุบาทว์ 
                ๑๒ หารเกณฑ์   เศษเป็นราศีอุบาทว์ 
                ๓๐  หารเกณฑ์   เศษเป็นดิถีอุบาทว์ 
                ๒๗ หารเกณฑ์   เศษเป็นฤกษ์อุบาทว์ 
            โลกาวินาสน์  ให้ตั้งจุลศักราชปีนั้นลง เอา ๑๑๒๐ บวก ได้ผลลัพธ์เท่าใด เป็นเกณฑ์ตราไว้ แล้วตั้งเกณฑ์เป็น ๕ ฐาน เอาเลข ๕ จำนวน หารเกณฑ์จำนวนละฐาน เหลือเศษเท่าใด จะได้ผลดังนี้ 
                ๗   หารเกณฑ์   เศษเป็นวันโลกาวินาสน์ 
                ๘   หารเกณฑ์   เศษเป็นวันยามโลกาวินาสน์ 
                ๑๒ หารเกณฑ์   เศษเป็นวันราศีโลกาวินาสน์ 
                ๓๐ หารเกณฑ์   เศษเป็นวันดิถีโลกาวินาสน์ 
                ๒๗ หารเกณฑ์  เศษเป็นวันฤกษ์โลกาวินาสน์ 
            ในทุกกรณีที่กล่าวมาแล้วถ้าหารได้เศษ ๐ ให้นับเศษเท่ากับจำนวนที่ใช้หารนั้น ๆ 
ลัคนา และดวงชาตา 
            ลัคนาคือความหมุนของโลกในระยะ ๑ วัน กำหนดด้วยวิถีของโลกโคจรตามคติในรอบ ๑ ปี เมื่อเราได้คำนวณสมผุสแล้วว่าพระอาทิตย์อยู่ในราศีใด มีมุมเป็นองศา ลิบดาเท่าใดก็จะรู้ได้ว่าลัคนาเกาะอยู่ที่ใด คือเกาะอยู่ในนวางค์ ตรียางค์ใดของราศีใด ตามคติเวลาของอันโตนาที 
            เส้นทางที่เป็นลัคนากำหนดไว้ว่า เวลาย่ำรุ่งเส้นนี้อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เสมอ และในราศีที่เห็นดวงอาทิตย์อยู่นั้น ระยะทางที่เห็นว่าดวงอาทิตย์ผ่านไปแล้วกี่องศา กี่ลิบดา เรียกว่า อดีต อาทิตย์อุทัย และอีกกี่องศา และลิบดาที่ดวงอาทิตย์จะต้องผ่านไปจนตลอดราศีนั้นเรียกว่าอนาคตอุทัย การที่ลัคนาเกาะอยู่ในเวลาย่ำรุ่งคือเส้นที่แบ่งเขตอดีต และอนาคตอุทัย ถ้าลากเส้นนี้ผ่านดวงอาทิตย์ออกเป็นสองซีก ให้ตรงไปยังดาวราศีที่เห็นข้างหลังดวงอาทิตย์  แล้วต่อเส้นตรงนี้มายังโลก เส้นตรงนี้จะผ่าโลกออกเป็นสองซีกตลอดขั้วโลกเหนือและใต้ เส้นตรงนี้เรียกว่าลัคนาที่เกาะอยู่ในโลกเมื่อเวลาย่ำรุ่ง ซึ่งก็คือเส้นเมอริเดียนของโลก ที่อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เมื่อเวลาย่ำรุ่ง เมื่อที่หมาย ณ ที่นั้นเคลื่อนไปจากที่ตรงกับดวงอาทิตย์ อันเนื่องด้วยการหมุนของโลก เรียกว่าลัคนาจรไป เมื่อจรไปบรรจบครบรอบที่เดิมก็เป็นห้วงเวลาหนึ่งวันพอดี ดังนั้นลัคนาจรก็คือเส้นเมอริเดียนจร เมื่อจรไประยะ ๑๒ ราศี ใน ๒๔ ชั่วโมง ราศีหนึ่งก็จะตก ๒ ชั่วโมงพอดี 
            ตามคติโบราณได้นำความรู้อันเป็นเกณฑ์คำนวณมาจากการวัดเงาแดด โดยกำหนดว่า เมื่อดวงอาทิตย์โคจรไปถึงลาดทางที่สูงสุดทางฝ่ายเหนือ เงาแดดตรงหลักในที่นั้นเมื่อเวลาเที่ยงวันจะไม่มีหรือเป็นศูนย์ เวลานั้นเรียกว่า อายันตรสงกรานต์เหนือ หลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะต้องถอยกลับมาทางฝ่ายใต้ ลาดทางที่ถอยนี้ ทางภูมิศาสตร์เรียกว่าเส้นทรอปิคออฟ แคนเซอร์ ซึ่งเป็นเส้นที่แบ่งฤดูกาลหนาวร้อนเจือกัน เป็นฝ่ายเหนือ และฤดูร้อนเป็นฝ่ายใต้ สำหรับซีกโลกเหนือ 
            ถ้าจะพูดถึงปรากฏการณ์ในท้องฟ้า ดวงอาทิตย์โคจรถึงราศีกรกฏ คือ ดาวปู หรือปุษยฤกษ์ แล้วถอยจากฤกษ์นี้ลงทางใต้ ซึ่งจะตกในวันที่  ๒๒ มิถุนายน เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมถุนได้ประมาณ ๑๐ วัน ตามปฏิทินโหรไทย เมื่อดวงอาทิตย์ถอยจากเหนือแล้ว เงาของหลักก็จะค่อย ๆ ยาวออกไปทางทิศเหนือเมื่อเวลาเที่ยงวัน วันละน้อย ๆ จนยาวได้ประมาณเท่าความยาว ๑๕ เม็ดข้าวเปลือก เรียกว่า ๑๕ พืช หรือ ๑๕ เพ็ชนาที หรือเท่ากับ ๑ รอยเท้า เรียกว่าบาท เมื่อเงาของดวงอาทิตย์ยาวออกไปได้ ๑ บาท แสดงว่าดวงอาทิตย์โคจรไปได้ ๑ ราศี  เงายาวออกไปได้ ๖ รอยเท้าเป็นเวลา ๖ เดือน จากนั้นก็เริ่มหดสั้นจนเป็นศูนย์อีก เป็นเวลา ๖ เดือน รวม ๑ รอบ  เท่ากับ ๑ ปี เป็นระยะทาง ๑๒ รอยเท้า เท่ากับดวงอาทิตย์โคจรไปได้ ๑๒ ราศี 
            เวลาเงาที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งยาวขึ้น และสั้นเข้าได้ ๑ รอยเท้านั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยกว่ากันไม่ได้ลงตัวอยู่ที่ ๓๐ วันเสมอไป 
            เมื่อย่อระยะทางในเวลา ๑ ปี มาคิดเป็นระยะทางในเวลา ๑ วัน โลกหมุนรอบตัวเอง ๑ วัน พร้อมกับโคจรเคลื่อนที่ไปประมาณ ๑ องศา การแนวทางโคจรจึงเป็นวงรี ดังนั้นจึงนำเอา ๖๐ มหานาที ซึ่งเป็นเกณฑ์ ๑ วันในครั้งกระนั้นมาคิดเฉลี่ย ได้เวลาในราศีมีนกับราศีเมษ ราศีละ ๕ มหานาที ราศีพฤกษภ กับราศีกุมภ์ ราศีละ ๔ มหานาที ราศีเมถุนกับราศีมังกร ราศีละ ๓ มหานาที ราศีกรกฏกับราศีธนู ราศีละ ๕ มหานาที ราศีสิงห์กับราศี พฤศจิก ราศีละ ๖ มหานาที ราศีกันย์และราศีตุลย ราศีละ ๗ มหานาที เกณฑ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า อันโตนาที 
            การวางลัคนาให้คิดเวลาเกิดตั้งแต่อนาคตอาทิตย์อุทัยไปจนถึงเวลาที่เกิด แล้วเอาเวลาอนาคตอาทิตย์อุทัยลบออกเสียก่อน จากนั้นเอาเวลาตามอันโตนาทีในราศีข้างหน้าลบต่อไปโดยลำดับ เมื่อลบไม่ได้ในราศีใด ลัคนาก็จะตกอยู่ในราศีนั้น 
            ถ้าอธิบายตามความหมายบนพื้นโลกแล้ว เส้นเมอริเดียนที่อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เมื่อเวลาอาทิตย์อุทัยนั้น เมื่อเคลื่อนที่ผ่านลาดทางของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า อีคลิปติค อยู่ในเวลาอันโตนาทีของราศีใด ลัคนาก็จะอยู่ในราศีนั้น ดาวพระเคราะห์ดวงใดที่เห็นอยู่ตรงราศีใด ณ เวลาตกฟาก ก็จะเป็นที่อยู่ของดาวพระเคราะห์ดวงนั้นในดวงชาตาไปตลอดชีวิต 
            การกระทำกิจการใด ๆ ก็ดี จะถือเอาเวลาเริ่มต้นของกิจการนั้นเป็นลัคนาของกิจการนั้น ๆ และมีความสัมพันธ์กับดวงชาตากำเนิดของผู้เป็นเจ้าของกิจการนั้น ๆ ถ้าดวงชาตากำเนิดให้ร้ายแต่ดวงชาตาการงาน หรือดวงชาตาการงานให้ร้ายแก่ดวงชาตากำเนิด ก็จะเกิดความผลเสียแก่กิจการนั้น ๆ และผู้ทำกิจการนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นจึงให้วางดวงชาตากำเนิดไว้เป็นหลักของดวงกิจการก่อน เมื่อการโคจรของดาวพระเคราะห์มาเป็นผลดีต่อดวงชาตากำเนิดแล้ว ก็จะจัดวางลัคนาของกิจการนั้น ๆ ให้เป็นโยคแก่ชาตาเดิม 
อันโตนาที


            เมื่อคิดเอาระยะการโคจรของดวงอาทิตย์โคจรรอบจักรราศีเป็นเวลา ๑ ปี มาเทียบส่วนกับเวลา ซึ่งถ้าอาทิตย์โคจรในวันเดียวครบรอบจักรราศีแล้ว จะได้เวลาออกมาเท่านั้น ๆ นาฑิกา จำนวนนาฑิกาที่เทียบส่วนโคจรของดวงอาทิตย์ ในราศีหนึ่ง ๆ เรียกว่า อันโตนาที เป็นเกณฑ์ที่ต้องใช้มากที่สุดในเรื่องโหราศาสตร์ นาฑิกาหนึ่งเท่ากับ ๒๔ นาที ดังนั้นเมื่อเอา ๒๔ คูณนาฑิกา จึงได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนนาที 
การวางลัคนาผูกดวงชาตากำเนิด 
            ดวงชาตากำเนิด หมายถึงแผนที่ของดาวนพเคราะห์ ซึ่งสถิตอยู่ตามจักรราศีในขณะที่เจ้าชาตาเกิดเรียกว่า เวลาตกฟาก เวลาตกฟากนี้เป็นหัวใจของการผูกดวงชาตากำเนิด เป็นตัวตั้งในการสมผุสดาวพระเคราะห์ทุกดวง และตัวลัคนาเอง เวลาตกฟากยังเป็นจุดกำเนิดของลัคนา ซึ่งเป็นประธานของดวงชาตากำเนิด ดังนั้นเวลาตกฟาก จะต้องเป็นเวลาที่ถูกต้องตรงตามตำบลที่แท้จริงด้วย เวลาที่ใช้มีอยู่สามประการด้วยกันคือ 
            เวลาสมมุติของตำบลที่  เป็นเวลาตามนาฬิกา ซึ่งอาจไม่ตรงตามเวลาของตำบลที่เป็นเวลาที่ใช้ในเขตพื้นที่กว้าง ๆ จะได้สดวกแก่การใช้ สำหรับประเทศไทยใช้เวลา ๗ ชั่วโมง ในเส้นแวง ๑๐๕ องศาตะวันออกจากเมืองกรีนิชของอังกฤษ ซึ่ง ณ จุดนี้จะตรงกับเมืองไซ่ง่อนของเวียดนาม แต่ความจริงเวลาของประเทศไทยเราถือพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) ที่กรุงเทพ ฯ เป็นศูนย์กลางของประเทศ ถ้าเทียบกับเวลาที่เมืองกรีนิช จะต่างกันเป็นเวลา ๖ ชั่วโมง ๔๑ นาที ๕๗.๙ วินาที ในเส้นแวง ๑๐๐ องศา 
๒๙ ลิบดา ๒๘.๕ พิลิบดาตะวันออก ซึ่งเร็วกว่าเวลาจริงอยู่ ๑๘ นาที ๒.๑ วินาที 
            เวลาจริงของตำบลที่  จะต้องมีตัวแก้ไปทุกท้องที่ ตามเส้นแวงของตำบลนั้น ๆ โดยเอาค่าของเส้นแวงมาคำนวณเป็นเวลา แล้วไปเปรียบเทียบกับเวลาที่ไซ่ง่อนคือ ๗ ชั่วโมงต่างจากเวลาที่กรีนิช 
            เวลาจริงของดวงอาทิตย์  เวลาจริงของตำบลที่ก็ยังเป็นเวลาสมมุติอยู่คือ สมมุติว่าดวงอาทิตย์เดินตรงคงที่อยู่ที่เส้นศูนย์สูตร  แต่ความจริงดวงอาทิตย์มิได้อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรตลอดเวลา แต่จะเปลี่ยนเส้นทางไปตามฤดูกาล (การคำนวณเราสมมติว่า ดวงอาทิตย์เดินโลกอยู่กับที่ หรือจะให้โลกเดินดวงอาทิตย์อยู่กับที่ก็เหมือนกัน) ทางดาราศาสตร์เรียก 
เดคลิเนชั่นเหนือ และเดคลิเนชั่นใต้  ทางโหราศาสตร์เรียกว่าดวงอาทิตย์ซัดเหนือ หรือซัดใต้ เมื่อดวงอาทิตย์ซัดเหนือ จะมีเวลากลางวันยาวกว่ากลางคืน และเมื่อดวงอาทิตย์ซัดใต้ จะมีเวลากลางวันน้อยกว่าเวลากลางคืน ในวันที่ ๒๒ มิถุนายน เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ซัดเหนือมากที่สุด คือ อยู่ที่เส้นรุ้ง ๒๓ องศาเหนือ กลางวันจะยาวที่สุด และกลางคืนจะสั้นที่สุดสำหรับประเทศไทย และพื้นที่ที่อยู่ในซีกโลกเหนือ จากนั้นก็จะเริ่มโคจรลงทางใต้จนถึง วันที่ ๒๒ ธันวาคม ดวงอาทิตย์จะซัดใต้มากที่สุดคือ อยู่ที่เส้นรุ้ง ๒๓ องศาใต้ กลางวันจะสั้นที่สุด และกลางคืนจะยาวที่สุด สำหรับประเทศไทย และพื้นที่ในซีกโลกเหนือ 
            ฉะนั้นเมื่อต้องการเวลาจริง จึงต้องคำนวณหาสมผุสดวงอาทิตย์ก่อนแล้วจึงคำนวณหามุมเวลา คือเวลาจริงของดวงอาทิตย์อีกชั้นหนึ่ง มุมเวลาคือมุมระหว่างจุดอาทิตย์อุทัย ถึงจุดที่ดวงอาทิตย์อยู่ในเวลาตกฟากของเจ้าของชาตา 
            ดังนั้นการที่จะวางลัคนาได้ถูกต้อง จะต้องมีข้อมูลสามประการคือ ต้องรู้ตำบลที่เจ้าชาตาเกิด ต้องรู้เวลาจริงของตำบลนั้น ๆ และต้องรู้สมผุสดวงอาทิตย์ในเวลาเกิดของเจ้าของชาตา 
มาตรฐานดาวเคราะห์


            เกษตร คือ ดาวที่ครองราศีต่าง ๆ ทั้ง ๑๒ ราศี โดยกำหนดอาทิตย์เป็นเกษตร์ในราศีสิงห์ และจันทร์เป็นเกษตรในราศีกรกฏ จากนั้นก็จัดดาวเข้าครองเป็นเกษตรโดยกำหนดตามระยะที่ดาวนั้นอยู่ใกล้ไกลโลก เรียงไปตามลำดับคือ พุธ  ศุกร์  อังคาร  พฤหัสบดี และเสาร์ โดยจัดให้พุธครองราศีกันย์ ศุกร์ครองราศีตุลย์ อังคารครองราศีพิจิก พฤหัสบดีครองราศีธนู และเสาร์ครองราศีมังกร จากนั้นก็เรียงถอยหลังต่อไปจนถึงราศีกรกฏคือ เสาร์อยู่กุมย์ พฤหัสบดีอยู่มิน อังคารอยู่เมษ ศุกร์อยู่พฤกษภ และพุธอยู่เมถุน อาทิตย์ และจันทร์เป็นเกษตรครองเรือนประจำดวงละราศี พระเคราะห์นอกนั้นเป็นเกษตรครองเรือนประจำดวงละ ๒ ราศี เว้นแต่ราหูและเกตุ ไม่ได้เป็นเกษตรครองเรือนใด แต่อาศัยให้ราหูครองราศีกุมภ์ร่วมกับเสาร์ 
            ในจักรราศีแบ่งออกเป็นสองซีก คือ ระหว่างราศีกรกฏ กับราศีสิงห์ และระหว่างราศีมังกร กับราศีกุมภ์ 
            ดวงชาตาใดที่มีดาวพระเคราะห์อยู่ในตำแหน่งเกษตร ถือว่าเป็นดวงชาตาดี มั่นคงมีหลักฐาน มีความประพฤติดี มีคำทำนายผลของดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรดังนี้ 
            อาทิตย์ เป็นเกษตรจะชนะศัตรู มีทรัพย์สมบัติเป็นหลักฐานมีรูปโฉมงาม 
            จันทร์เป็นเกษตร จะเป็นที่รักใคร่ของขุนนาง ท้าวพระยา คนทั้งหลายจะนับถือบูชา มีทรัพย์สิน และลาภมาก 
            อังคารเป็นเกษตร มีวิชาความรู้มาก จะได้เป็นขุนนางมีชื่อเสียงโด่งดัง และจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน 
            พุธเป็นเกษตร จะได้เป็นนักปราชญ์ผู้ใหญ่ในแผ่นดิน บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน อุดมกว่าญาติ 
            พฤหัสบดีเป็นเกษตร จะได้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีลาภมีทรัพย์อุดมกว่าคนทั้งหลาย ประพฤติตัวตั้งมั่นอยู่ด้วยคุณงามความดี 
            ศุกร์เป็นเกษตร มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค มีลักษณะดี เจรจาบัณฑูรดูงามในท่ามกลางบริษัท เป็นสง่าแก่คนทั้งหลาย 
            เสาร์ราหู เป็นเกษตร มีข้าหญิงชายและทรัพย์มาก จะได้ลาภเป็นอันดี เพราะศักดิ์กล้าหาญ แต่เป็นคนตระหนี่ทรัพย์ ไม่ทำบุญสุนทาน และจะมีผมบาง 
            ถ้าผู้ใดมีเกษตร ๑ ตัว จะมีข้าทาษชายหญิง มีเกษตร ๒ ตัว จะมีทรัพย์เงินทองเจ้าของ ข้าวเปลือก ข้าวสารมาก มีเกษตร ๓ ตัว จะมีวัวควายช้างม้าข้าคนมาก มีเกษตร ๔ ตัว จะมีภรรยามาก มีเกษตร ๕ ตัว จะเป็นนักปราชญ์โหราธิบดีผู้ใหญ่ มีเกษตร ๖ ตัว จะเป็นพระอรหันต์ มีเกษตร๗ ตัว จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีเกษตร ๘ ตัว จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งเกษตรครบทั้ง ๘ ตัวนี้เป็นไปได้จากตำรับ ขับพระเคราะห์เข้าเกษตร 
            ปรเกษตร  คือ ดาวพระเคราะห์ที่เป็นข้าศึกตรงข้ามกับเกษตร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ประ จะอยู่ในราศีตรงข้ามกับเกษตร ถือว่าไม่ดี มีกำลังอ่อนให้ผลตรงข้ามกับเกษตร ขาดความสามารถ ไม่เอาการเอางาน อาภัพ เช่น อังคาร อยู่ในราศีเมษเป็นเกษตร เปลี่ยนมาอยู่ราศีตรงข้ามคือราศีตุลย์ เป็นประมีคำทำนายผลของดาวพระเคราะห์ที่เป็นประจำดังนี้ 
                อาทิตย์เป็นประ         ดีชั่วปนกันมักอาภัพ 
                จันทร์เป็นประ          รูปไม่งาม 
                อังคารเป็นประ          อาภัพพี่น้องและมิตร 
                พุธเป็นประ                อาภัพบุตรภรรยา ถึงมีก็หาดีไม่ได้ 
                พฤหัสบดีเป็นประ    อาภัพครูบาอาจารย์ 
                ศุกร์เป็นประ               หูตามักพิการ 
                เสาร์เป็นประ              ใจบาปหยาบช้า กล้าหาญ 
                ราหูเป็นประ                นัยตาจะเอียง เป็นคนหยาบช้ากล้าแข็ง 
            เมื่อพิจารณาการจัดดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรประจำทั้ง ๑๒ ราศี จะเห็นว่าเมื่อเอาตัวเลขประจำดาวพระเคราะห์ทั้งสองดวงมารวมกันแล้วจะได้จำนวน ๙ เช่น พฤหัสบดี (๕) เกษตรราศีธนู อยู่ตรงข้ามกับพุธ (๔) เกษตรในราศีเมถุน ดังนั้นถ้าดาวพระเคราะห์ทั้งสองอยู่สับเรือนกัน เมื่อรวมตัวเลขแล้วก็ยังคงได้จำนวน ๙ เท่าเดิม จึงอนุโลมให้พระเคราะห์สับเรือนเป็นเกษตรได้ด้วย อีกประการหนึ่งพระเคราะห์ที่แลกเรือนกันแล้วเป็นเกษตร เช่น อังคารเป็นเกษตรในราศีเมษ แต่ไปอยู่ราศีพฤกษภ ศุกร์เป็นเกษตรในราศีพฤกษภไปอยู่ราศีเมษ ก็ให้นับว่าดาวพระเคราะห์ทั้งสองดวงนี้ได้รับตำแหน่งเกษตรด้วย 
อุจจ์และนิจ


                อุจจ์  มีความหมายว่าสูง ดังนั้นดวงชาตาใดมีดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีอันเป็นตำแหน่งอุจจ์ของดวงดาวนั้น จัดว่าดวงชาตานั้นประเสริฐยิ่ง ให้คุณมากกว่าดาวพระเคราะห์ที่เป็นเกษตร และให้คุณผาดโผนกว่าปกติธรรมดา มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งอุจจ์ไว้ดังนี้ 
                อาทิตย์ เป็นอุจจ์ มีสมบัติมาก มีปัญญาอุดมกว่าญาติทั้งปวง มีความสุขมาก 
                จันทร์ เป็นอุจจ์ มีความสุขมีหิรัญสุวรรณสารเป็นอันมาก จะไปในที่ใด ย่อมมีสง่างามในท่ามกลางบริษัทชนทั้งหลายจะบูชา จะได้เป็นเสนาบดีมีชื่อเสียง 
                อังคาร เป็นอุจจ์ มีโภคสมบัติ และบริวาร ช้าง ม้า โค กระบือมาก  จะมีบุตรยากมาก จะไปในทิศทางต่าง ๆ ย่อมมีลาภทุกเมื่อ 
                พุธ เป็นอุจจ์ มีความเจริญด้วยความสุข ได้ทรัพย์สินเงินทอง แก้วแหวน และชนะข้าศึกทั้งปวง 
                พฤหัสบดี เป็นอุจจ์ มีทรัพย์มียวดยานพาหนะ ช้าง ม้า และธัญญาหารมาก มีปัญญาแกล้วกล้ายิ่งนัก 
                ศุกร์ เป็นอุจจ์ ได้เป็นอำมาตย์ มีรูปอันงามอุดม เป็นที่รักแก่มหาชนทั่วไป 
                เสาร์ เป็นอุจจ์ มีปัญญามีพลพาหนะ และความเพียรมาก แต่จะดุร้ายไม่ละอายบาป จะมีโรคน้อย ทุกข์โทษภัยไม่มี 
                ราหู เป็นอุจจ์ มีโภคทรัพย์ มีความโกรธน้อย มีจิตเป็นกุศลมาก จะไปในที่ใด ๆ ย่อมไปด้วยยานพาหนะ มีช้าง ม้าต่าง ๆ ทุกข์โทษภัยไม่มี 
                ดวงชาตาใดมีอุจจ์หลายตัว ท่านว่าเป็นคนเข้มแข็ง ใจคอแข็งแกร่งไม่ยอมลงใครง่าย ๆ ไม่เกรงกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ มุ่งแต่ความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ท่านสรรเสริญว่าดวงชาตาที่มีพระเคราะห์ ได้ตำแหน่งอุจจ์ว่าเป็นดวงดี  มีความสมบุรณ์พูนสุขกว่าตระกูล มีคำทำนายดวงชาตาที่ได้ตำแหน่งอุจจ์หลายตัวไว้ดังนี้ 
                ดวงชาตาใดได้อุจจ์ ๑ ตัว จะตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิประพฤติการกุศล ได้อุจจ์ ๒ ตัว จะเป็นปราชญ์ รู้อรรถธรรมมาก ได้อุจจ์ ๓ ตัว จะได้เป็นอำมาตย์ ได้อุจจ์ ๔ ตัว จะได้เป็นกษัตริย์ ได้อุจจ์ ๕ ตัว จะได้เป็นจักรพรรดิราช ได้อุจจ์ ๖ ตัว จะได้เป็นพระอรหันต์ ได้อุจจ์ ๗ ตัว จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้อุจจ์ ๘ ตัว จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งอุจจ์ทั้ง ๘ ตัวนั้น จะเป็นได้ก็แต่ในตำราขับพระเคราะห์เข้าอุจจ์ โดยธรรมดาแล้วจะเป็นไปไม่ได้ 
                นิจ  แปลว่าต่ำ ดาวพระเคราะห์ที่เป็นนิจจะส่งผลกดดวงชาตาให้ต่ำลง ไม่มีกำลังให้คุณแก่ดวงชาตา ทำให้ถอยวาสนา เป็นคนอาภัพ ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ในราศีเปลี่ยนเรือนกับอุจจ์ จัดเป็นดาวพระเคราะห์คู่ศัตรู เรียกว่านิจ ส่งผลให้ดุจดังปรเกษตรเป็นศัตรูกับเกษตร เช่นอาทิตย์อยู่เมษ และเสาร์อยู่ตุลย์ จัดว่าเป็นอุจจ์ แต่ถ้าเสาร์มาอยู่เมษ อาทิตย์มาอยู่ตุลย์ จัดว่าเป็นนิจ มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ที่เป็นนิจ ดังนี้ 
                อาทิตย์เป็นนิจในราศีตุลย์ จะเป็นทาสแก่ตนเอง มีญาติมิตรล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำ มีศัตรูเบียดเบียนมาก 
                จันทร์เป็นนิจในราศีพิจิก (ตั้งแต่ ๑ - ๓ องศา) จะมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก มีทรัพย์ก็มักฉิบหาย 
                อังคารเป็นนิจในราศีกรกฏ หาทรัพย์มิได้ จะเป็นทาษผู้อื่น 
                พุธเป็นนิจในราศีมิน (ตั้งแต่ ๑-๑๕ องศา) จะมีญาติมักเป็นทาษเขา 
                พฤหัสบดีเป็นนิจในราศีมังกร เจรจามักผิด ทำให้เกิดโทษเพราะวาจา 
                ศุกร์เป็นนิจในราศีกันย์ มีบุตรมักตาย หาพืชพันธุ์มิได้ 
                เสาร์เป็นนิจในราศีเมษ จะเป็นคนทุศีลหาญาติมิได้ 
                ราหูเป็นนิจในพฤกษภ จะต้องพันธการจองจำ 
    อุจจาวิลาสและอุจจาภิมุข


                ดาวพระเคราะห์ที่เป็นอุจจาวิลาส คือดาวพระเคราะห์ที่เป็นวินาสน์  คือเป็น ๑๒ กับ ตำแหน่งอุจจ์ของตนเอง เช่นอาทิตย์อยู่ราศีเมษเป็นอุจจ์ เมื่ออาทิตย์อยู่ราศีมีน จะเป็นอุจจาวิลาส ดาวพระเคราะห์ที่โคจรเข้าใกล้เรือนอุจจ์ของตน จัดว่าเป็นดาวพระเคราะห์ที่มีกำลังมาก ส่งผลคุณทางดีให้มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ ที่เป็นอุจจาวิลาส ดังนี้ 
                อาทิตย์เป็นอุจจาวิลาส        จะเป็นอำมาตย์ ชอบทำราชการ จะเป็นผู้รอบรู้ในราชกิจ 
                จันทร์เป็นอุจจาวิลาส          จะเป็นคนมีเสน่ห์ มีปัญญา และมีทรัพย์ จะได้เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย 
                อังคารเป็นอุจจาวิลาส         ชอบเป็นทหาร จะชนะศัตรู 
                พุธเป็นอุจจาวิลาส               มีเดชมาก มีปัญญาเป็นอาวุธ และจะเป็นที่ชอบใจแก่ญาติทั้งหลาย 
                พฤหัสบดีเป็นอุจจาวิลาส    จะได้เป็นครูแห่งท้าวพระยา จะได้เป็นขุนนาง อุดมกว่าญาติทั้งหลาย 
                ศุกร์เป็นอุจจาวิลาส               จะเป็นพ่อค้ามีทรัพย์มาก ถ้าทำราชการจะได้เป็นปุโรหิต 
                เสาร์เป็นอุจจาวิลาส              จะได้เป็นเศรษฐีมีแก้วแหวนเงินทองมาก จะบริบูรณ์ด้วยข้าคน 
                ราหูเป็นอุจจาวิลาส               ชอบเป็นทหาร มีเดชแกล้วกล้า จะชนะศัตรู 
                ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ราศีข้างหน้าราศีอุจจ์ของตน เรียกว่าอุจจาภิมุข ถือว่าให้คุณเช่นกัน


            มหาจักร  ดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งมหาจักร ท่านนิยมว่าดีนัก มีคำทำนาย ดังนี้ 
                อาทิตย์         เป็นมหาจักร    จะมียศศักดิ์ยิ่งใหญ่ 
                จันทร์          เป็นมหาจักร     จะได้คู่ครองที่ดี เป็นที่พึ่งแก่ตน 
                อังคาร         เป็นมหาจักร    จะมีสติปัญญา มีบุญวาสนา 
                พุธ               เป็นมหาจักร    จะเป็นผู้ที่อ่อนหวานมีบริวารมาก 
                พฤหัสบดี   เป็นมหาจักร    จะเจริญด้วยวุฒิ เป็นที่บูชาของมหาชนทั่วไป 
                ศุกร์             เป็นมหาจักร    จะมียศ และทรัพย์มาก 
                ราหู             เป็นมหาจักร    จะเจริญด้วยโภคทรัพย์ มีชัยแก่ศัตรู


            ราชาโชค  ดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งราชาโชค จะให้คุณแก่เจ้าของดวงชาตาให้เป็นผู้มีทรัพย์สินบริบูรณ์ มีอำนาจและประสบโชคลาภ มีตำแหน่ง ดังนี้ 
                อาทิตย์        เป็นราชาโชค    จะมีอานุภาพมาก เป็นที่รักของคนทั้งหลาย 
                จันทร์          เป็นราชาโชค     จะได้คู่เป็นคนสูงศักดิ์ สตรีผู้ใหญ่จะให้ความเมตตา 
                อังคาร        เป็นราชาโชค      จะได้มิตรสหายเป็นที่พึง 
                พุธ              เป็นราชาโชค      จะมีสติปัญญามาก เจรจาอ่อนหวาน 
                พฤหัสบดี  เป็นราชาโชค      จะมีความสุข ผู้ใหญ่จะชุบเลี้ยง 
                ศุกร์            เป็นราชาโชค       จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน เงินทอง ทำราชการดี 
                เสาร์           เป็นราชาโชค        ทำราชการฝ่ายทหารดี อายุยืน 
                ราหู            เป็นราชาโชค        จะอุดมด้วยทรัพย์กว่าญาติทั้งหลาย

คำทำนายตามปีเกิด


            คนเกิดปีชวด - หนู  ปีชวดเป็นเทวดาผู้ชาย ธาตุน้ำ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นมะพร้าว และต้นกล้วย 
            ผู้ใดเกิดปีชวด ชันษาตกอยู่ที่หัวพรหม พฤหัสบดีเป็นปาก เจรจาโอหัง พูดจาเด็ดขาด เจรจากับขุนนางท้าวพระยาดี จะไปทิศใดมีผู้กลัวเกรงคอยต้อนรับ พระจันทร์กับพระพุธเป็นมือ ทำงานละเอียดมิได้ เป็นคนมีมานะอุตสาหะดี พระอาทิตย์เป็นใจ ใจไม่แน่นอนเรรวนคบกับคนดีได้ คบกับคนชั่วก็เป็นคนชั่วได้ พอใจเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ มีวิชาความรู้พอประมาณพอเลี้ยงตัวได้ พระพฤหัสบดีกับพระเสาร์เป็นเท้า มักเป็นคนชอบเดิน ไม่อยู่กับที่มักไปต่างแดน พระศุกร์เป็นที่นั่งเป็นคนหมกมุ่น คิดแต่ในเรื่องตัณหาเป็นคนราคะแรง ถ้าเป็นชายท่านว่ามีบาปติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อน้อยอาภัพ พึ่งญาติผู้ใดมิได้ ต่อภายหน้าจะมีบุญวาสนา จะได้เป็นใหญ่กว่าเพื่อนฝูงทั้งปวง อาสาขุนนางท้าวพระยาจะได้ความชอบ ถ้าเป็นหญิงมักเกิดเป็นโรคาพยาธิต่าง ๆ อาภัพผัวใจแข็ง ปากกล้า 
            ได้เมื่อพระเตมีย์ใบ้ พระราชบิดาสั่งให้นายสารถีจับใส่รถเอาไปฝังเสียทั้งเป็นในป่า ให้เกรงจะเจ็บป่วยนานจึงจะหาย 
            คนเกิดปีชวด  เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกหนูท้องขาว ธาตุน้ำทะเล เป็นหนูคาบแก้ว มีปัญญา ในอ่อน ทำราชการจะได้เป็นใหญ่ มี ช้าง ม้า ข้าไทย ทำเรือกสวนไร่นา ค้าขาย จะมีทรัพย์มาก เป็นพระสงฆ์จะได้เป็นเจ้าวัด ชอบไปอยู่เมืองอื่นดี จะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย 
            คนเกิดปีชวด เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ  ตกหนูหริ่ง ธาตุน้ำคลอง มักตกยากเข็ญใจ พูดจาไม่ยั่งยืน ใจบุญ ทำราชการไม่สู้ดี ทำเรือกสวนไร่นา พอมีอันจะกินเทียบท่าน 
            คนเกิดปีชวด เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกหนูผี ธาตุน้ำป่า มักเข็ญใจ ใจบาป ทำราชการชอบใจเจ้านายดี ทำไร่นาค้าขาย จะมีอันจะกินเทียมท่าน 
            คนเกิดปีชวด เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกหนูพุก ธาตุน้ำคนตัก ทำราชการพอเทียมเพื่อน ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี มีลูกมาก ใจบุญ ชอบไปอยู่ต่างประเทศ จึงจะได้ดี 
            คนเกิดปีชวด วันอาทิตย์ ได้เพื่อพระยาสัตลุง จะถูกนำตัวไปฆ่า ไม่ดี ย่อมมีพิษ แต่รูปงาม 
            คนเกิดปีชวด วันจันทร์ จะมีความสุข มีลูกมาก ดีนัก 
            คนเกิดปีชวด วันพฤหัสบดี ได้เมื่อเทวดาชุบ พระยาสัตลุง ให้เป็นขึ้นมา ดีนัก 
            คนเกิดปีชวด วันศุกร์ ได้เมื่อเทวดาแต่งโภชนาหารมาเลี้ยงพระยาสัตลุง ดีนัก 
            คนเกิดปีชวด วันเสาร์ ได้เมื่อพระยาสัตลุงกลับคืนมาครองราชสมบัติ ดีนักแล


            คนเกิดปีฉลู - วัว  เป็นมนุษย์ผู้ชาย ธาตุดิน มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นตาล 
            ผู้ใดเกิดปีฉลู ชันษาตกอยู่ที่ปากพรหม พระเสาร์เป็นปาก เจรจาโอหัง รู้หลักนักปราชญ์ มักชอบเจรจาเรื่องราวต่าง ๆ ของคนอื่น เล่าเรียนวิชาต่าง ๆ ดี เจรจาหลักแหลม พระอังคารกับพระพฤหัสบดีเป็นมือ ทำการงานมิสู้จะดี พระอาทิตย์เป็นใจ เป็นคนฉลาด เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่าย และเข้าใจในทางถ้อยความ พอใจคบหาสมณะ และเจ้านาย ไปไหนมักไปด้วยยวดยานพาหนะ พระเสาร์เป็นที่นั่งเป็นคนมีตัณหาแรง ถ้าเป็นชายมักจะมีเมียมาก ถ้าเป็นหญิงมักมีตำหนิในที่ลับ ถ้าเป็นชายมักเจรจาชอบในหญิง เป็นคนใจอ่อน ใจบุญ ถ้าเป็นหญิงมักหย่าผัว 
            ได้เมื่อพระมหาชนกลามารดาไปค้าขาย สำเภาแตก ว่ายน้ำอยู่เจ็ดวัน นางมณีเมขลาจึงอุ้มพาเหาะไปยังอุทยานหลวง ไปค้าขายต่างเมืองจะได้ลาภทรัพย์สินเงินทอง ผ้าผ่อนอันพึงใจ 
            คนเกิดปีฉลู เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกวัวป่า ใช้ยาก ธาตุดินสุก ทำราชการจะได้เป็นมนตรี มีพี่น้องเผ่าพันธุ์มาก ใจแข็ง จะมีทรัพย์สินเงินทองมาก เมื่อน้อยดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายแต่พอประมาณ 
            คนเกิดปีฉลู เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกวัวคนอาศัย ธาตุดินตม ใจแข็ง เมื่อน้อยดี ครั้นใหญ่มาเจรจาใช้มิได้ รู้ทำกินดี มีปัญญา ทำไร่นา ค้าขายดี ทำราชการดีมีทรัพย์มาก 
            คนเกิดปีฉลู เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกวัวเปลี้ย หากินยาก ธาตุดินจอมเขา ทำราชการพอคุ้มตัว ทำสวนไร่นา พอมีกินเทียมเพื่อน มีปัญญา ใจกุศล 
            คนเกิดปีฉลู เดือนสอง เดือนสาม เดือนสี่ ตกวัวอุสุภราช  ธาตุดินสุกอุดม ทำราชการจะได้เป็นใหญ่ มีบริวารมาก ทำเรือกสวนไร่นาจะมีทรัพย์มาก ถ้าค้าขายดี จะมีทรัพย์มาก 
            คนเกิดปีฉลู วันอาทิตย์ วัวขวัญร้าย อาภัพ เบียดเบียนทรัพย์ท่านมิดี 
            คนเกิดปีฉลู วันจันทร์ วัวพระโพธิสัตว์ มีบริวารมาก ดีนัก 
            คนเกิดปีฉลู วันอังคาร วัวสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
            คนเกิดปีฉลู วันพุธ วัวขาหักและตาบอด หาเลี้ยงตัวยาก มิดี 
            คนเกิดปีฉลู วันพฤหัสบดี วัวขวัญดี มีทรัพย์มาก ดีนัก 
            คนเกิดปีฉลู วันศุกร์ วัวพ่อแม่ตายต้องทำงานเหนื่อย มิดี 
            คนเกิดปีฉลู วันเสาร์ วัวโจรฆ่ากิน จะต้องลำบากมาก มิดี


            คนเกิดปีขาล - เสือ  เป็นผีเสื้อผู้หญิง ธาตุไม้ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นขนุนลำมะลอ และต้นรัง 
            ผู้ใดเกิดปีขาล ชันษาตกที่บ่าพรหม พระอังคารเป็นปาก เจรจากระด้าง มักพูดโอหัง ชอบเจรจาแต่เรื่องหญิง และมักเจรจาตลกคะนอง เป็นคนทำตัวไม่เป็นทุกข์อยู่เสมอ พระพุธกับพระศุกร์เป็นมือ เป็นคนชอบการช่างต่าง ๆ พระพฤหัสบดีเป็นใจ ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม มักชอบเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ พระเสาร์กับพระจันทร์เป็นเท้ามักเป็นคนต้องเดิน ถ้าทำราชการมักจะถูกย้ายเนือง ๆ ถ้าค้าขายติดต่อการค้าขายกับต่างแดน หรือต่างเมืองจึงจะดี  พระอาทิตย์เป็นที่นั่งมักมีตำหนิในที่ลับ เป็นคนชอบกามารมณ์ ถ้าเป็นหญิงมักมีสองผัว 
            ได้เมื่อพระสุวรรณสามอยู่ป่า ตักน้ำขึ้นตั้งบนหลังกวางเอามาเลี้ยงบิดามารดาซึ่งตามืด อยู่ในบรรณศาลากลางป่า ท่านว่าจะได้ลาภข้าวของเงินทอง แต่ญาติพี่น้องของตน ดีนัก 
            คนเกิดปีฉลู เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกเสือดาว ธาตุไม้แห้ง ทำราชการจะได้เป็นมนตรี จะตกยากครั้งหนึ่ง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี เจรจาซื่อสัตย์ ดีนัก 
            คนเกิดปีขาล เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกเสือเหลือง ธาตุไม้หอมมีแก่น ทำราชการมิสู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาดี จะมีลูกมีบุญ จะได้พึ่งพาอาศัย จะมีวาสนาเมื่อแก่ 
            คนเกิดปีขาล เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกเสือปลา ธาตุไม้หอมมีแก่น ทำราชการจะได้กินบ้านกินเมือง ทำเรือกสวนไร่นามาค้าขาย จะได้เป็นเศรษฐี เจรจาซื่อสัตย์ ดีนัก 
            คนเกิดปีขาล เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกเสือโคร่ง ธาตุไม้จอมเขา ทำราชการอาสาขุนนางดี มีปัญญา ทำเรือกสวนไร่นาดี จะมีกินเทียมเพื่อน 
            คนเกิดปีขาล วันอาทิตย์ เสืออยู่ถ้ำ อดอาหาร หากินกันดาร มิดี 
            คนเกิดปีขาล วันจันทร์ เสือติดจั่น จะได้รับทุกข์มาก จะต้องลำบาก มิดี 
            คนเกิดปีขาล วันอังคาร เสือกินคน มักมีโทสะมาก ใจดุร้าย มิดี 
            คนเกิดปีขาล วันพุธ เสือจำศีล ใจบุญ ดีนัก 
            คนเกิดปีขาล วันพฤหัสบดี เสือฤษีชุบ มีบุญ ภายหลังจะได้เป็นใหญ่ 
            คนเกิดปีขาล วันศุกร์ เสือตกเหว อาภัพมิดี จะต้องลำบาก 
            คนเกิดปีขาล วันเสาร์ เสือเทพารักษ์ ดีนัก


            คนเกิดปีเถาะ - กระต่าย  เป็นมนุษย์ผู้หญิง ธาตุไม้ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นมะพร้าวมาลิเก และต้นงิ้ว 
            ผู้ใดเกิดปีเถาะ ชันษาตกอยู่ที่บ่าพรหม พระพุธเป็นปาก ปากนั้นอาภัพ เจรจาไม่สู้ไพเราะพูดจาเอาใจคนไม่เป็น พระพฤหัสบดีกับพระเสาร์เป็นมือ ทำการงานดี ฝีมือเรียบร้อยดีมาก พระศุกร์เป็นใจ กล้าหาญ ชอบอาสาขุนนางเจ้านาย แต่ตัวอาภัพ แต่ว่ามีคนรักมาก หากินพอเลี้ยงตัวได้ พระอาทิตย์กับพระจันทร์เป็นเท้า มักต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ พระจันทร์เป็นที่พึ่ง เป็นคนกามราคะน้อย ไม่สู้สนใจในเรื่องหญิง และในการชู้สาว ถ้าเป็นหญิงมักมีสามผัว 
            ได้เมื่อพระเนมิราชไปเยือนเมืองสวรรค์-เมืองนรก ถ้าไปจากที่เกิดจะได้ดี จะมีทรัพย์สินเงินทองมาก ถ้าคบคนต่ำศักดิ์จะเสียเงินทอง 
            คนเกิดปีเถาะ เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกกระต่ายหม้อ ธาตุไม้แห้ง ถ้าทาษจะได้เป็นไท ทำราชการจะได้เป็นขุนนาง ทำสวนไร่นาค้าขายดี ถ้าหญิงจะได้เป็นคุณท้าวคุณจอม 
            คนเกิดปีเถาะ เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกกระต่ายแสนหก ธาตุไม้แก่น ทำราชการจะได้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่ชอบใจท้าวพระยา ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย มิสู้ดี ต่อไปภายหน้า จะมีทรัพย์สินเงินทอง เทียมท่าน 
            คนเกิดปีเถาะ เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกกระต่ายเปลี้ย ธาตุไม้หอม มักจะตกระกำลำบาก เข็ญใจ ทำราชการอาภัพ ทำเรือกสวนไร่นาแต่พอกิน มักบาดเจ็บที่ข้อมือข้อเท้า จะมีบุญเมื่อแก่ 
            คนเกิดปีเถาะ เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกกระต่ายในดวงจันทร์ ธาตุไม้จอมเขา ดีนัก ทำราชการจะได้เป็นขุนนาง ท้าวพระยาผู้ใหญ่ ทำสวนไร่นาค้าขายดีนัก ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นเจ้าจอมหม่อมห้าม จะได้เป็นนางบ้านนางเมือง 
            คนเกิดปีเถาะ วันอาทิตย์ กระต่ายสาธารณ์ ไฟไหม้ จะต้องตกระกำลำบาก มิดี 
            คนเกิดปีเถาะ วันจันทร์ กระต่ายเทวดาเลี้ยง ดีนัก 
            คนเกิดปีเถาะ วันอังคาร กระต่ายสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
            คนเกิดปีเถาะ วันพุธ กระต่ายขาหัก ลำบาก 
            คนเกิดปีเถาะ วันพฤหัสบดี กระต่ายสันดร แล่นไปก่อนลูก เป็นคนใจร้อนและใจเร็ว 
            คนเกิดปีเถาะ วันศุกร์ กระต่ายพระยา มีบริวารมาก จะได้เป็นใหญ่ ดีนัก 
            คนเกิดปีเถาะ วันเสาร์ กระต่ายมีบริวารมาก อุดมดีนัก


            คนเกิดปีมะโรง - งูใหญ่  เป็นเทวดาผู้ชาย ธาตุทอง มิ่งขวัญตกอยู่ต้นงิ้ว และกอไผ่ 
            ผู้ใดเกิดปีมะโรง ชันษาตกอยู่ที่อกพรหม พระพฤหัสบดีเป็นปาก เจรจาเฉียบแหลมรู้หลักนักปราชญ์ เจรจาได้ถ้อยความ พระศุกร์กับพระอาทิตย์เป็นมือ ทำการงานมักหยาบ เป็นคนไม่มีฝีมือ ทำงานละเอียดมิได้ พระเสาร์เป็นใจ มักมีโทสะมาก โกรธง่ายหายเร็ว แต่ใจบุญ พระจันทร์กับพระพุธเป็นเท้า มักเป็นคนชอบเดิน พระอังคารเป็นที่นั่ง มีตัณหาแรง มักมีตำหนิในที่ลับ มีบุตรจะได้พึ่ง บุตรเป็นคนจะมีวาสนา มีญาติมาก และมีเงินทอง ข้าทาสชายหญิง เจรจาชอบใจสมณชีพราหมณ์ และขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าเป็นหญิงมักกำพร้า มีผัวสามคน 
            ได้เมื่อพระมโหสถ แก้ปริศนาให้เทวดาฟัง จะมีทรัพย์สินเงินทองมาก ชอบใจหญิงทั้งหลาย ดีนัก จะได้เป็นใหญ่ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอประมาณ ทำราชการมีบ่าวไพร่ บริวารติดตามมาก 
            คนเกิดปีมะโรงเดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด วูนาคราช ธาตุทองอุดม หาศัตรูมิได้ ทำราชการดีนัก จะได้เป็นใหญ่ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอประมาณ ทำราชการมีบ่าวไพร่บริวารติดตามมาก 
            คนเกิดปีมะโรง เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ งูพญางูเหลือม ธาตุทองราคี ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยามหากษัตริย์ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอประมาณ เมื่อหนุ่มมักเข็ญใจ ต่อภายแก่จึงจะได้ดี 
            คนเกิดปีมะโรง เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย พญางูมีพิษ ธาตุทองยังชั่ว  ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยาพอคุ้มตัวได้ ใจดี ใจบุญ ใจใหญ่ เอ็นดูคนเข็ญใจ ทำสวนไร่นาค้าขายแต่พอมีกินเทียมเพื่อน ชอบเป็นพระสงฆ์ เป็นที่ชอบใจขุนนาง 
            คนเกิดปีมะโรง เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ งูพญางูดิน หาพิษมิได้ ธาตุทองเนื้อดี ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยาดี จะได้เป็นนายคน มีปัญญา ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอมีกินเทียมเพื่อน 
            คนปีมะโรง วันอาทิตย์         งูพญานาค มีบริวารมาก ดี 
            คนปีมะโรง วันจันทร์           งูสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
            คนปีมะโรง วันอังคาร          งูมีพิษ ดุร้าย มิดี 
            คนปีมะโรง วันพุธ                งูตกเหว จะต้องลำบาก มิดี 
            คนปีมะโรง วันพฤหัสบดี    งูสาตราคม คนเอาไปเล่น มิดี 
            คนปีมะโรง วันศุกร์               งูคนตีหลังหัก อาภัพ มิดี 
            คนปีมะโรง วันเสาร์              งูเทพารักษ์ ดีนัก


            คนเกิดปีมะเส็ง - งูเล็ก  เป็นมนุษย์ผู้ชาย ธาตุไฟ มิ่งขวัญตกอยู่ที่กอไผ่ และต้นรัง 
            ผู้ใดเกิดมีมะเส็ง ชันษาตกที่ท้องพรหม พระอังคารเป็นปาก เจรจามักเป็นเชิงชู้สาว เป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย พระเสาร์กับพระจันทร์เป็นมือ ทำการงานมักเสร็จเร็ว พระอาทิตย์เป็นใจมักรวนเรไม่แน่นอน พระอังคารกับพระพฤหัสบดีเป็นเท้า มักเดินทางไกลอยู่เสมอ พระพุธเป็นที่นั่ง มีกามารมณ์พอประมาณ ไม่ใคร่ชอบพึ่งใคร ปากอ่อน 
            ได้เมื่อพระโพธิสัตว์ ลาพระราชบิดาขึ้นมาแต่เมืองนาคพิภพ มาจำศีลภาวนาอยู่บนจอมปลวก อาลัมพายน์พาเอาตัวไป ถ้าจะหาทรัพย์ให้บอกกล่าวกับต้นไม้ที่เป็นมิ่งขวัญเสียก่อน จึงจะหาทรัพย์ได้ และจะอยู่เย็นเป็นสุข จะได้ลาภผ้าผ่อนเงินทองนานาประการ 
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกงูเห่าตาลาน ธาตุไฟฟ้า ทำราชการดีพอประมาณ พอเลี้ยงตัวได้ ใจบุญ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอทำพอกิน ถ้าเป็นหญิงมักนอกใจผัว ใจร้าย โกรธร้าย 
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกงูกระด้าง ธาตุไฟคนสุม ทำราชการ ชอบทำเรือกสวนไร่นา ค้าขายดี จะมีเงินทองมาก ใจแข็งใจบุญ มีปัญญาดีนัก 
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกงูเกิดในผ้าขี้ริ้ว ธาตุไฟในหิน ใจดี ใจบุญ ใจเติบ มักเอ็นดูคนเข็ญใจ มีปัญญา ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยาจะได้ลาภ ทำเรือกสวนไร่นา แต่พอทำพอกิน 
            คนเกิดปีมะเส็ง เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกพญางูเหลือม ธาตุไฟในแก้ว ทำราชการได้ที่ขุนนางท้าวพระยา จะได้กินเมือง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย ดีนัก 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันอาทิตย์        งูหนีไฟลงน้ำ มักจะต้องลำบาก อาภัพ มิดี 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันจันทร์         งูอยู่รู จะมีความสุข ดีนัก 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันอังคาร        งูออกหากิน อาภัพ จะตกยาก มิดี 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันพุธ              งูสาธารณ์ หาเลี้ยงตัวยาก มิดี 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี  งูเทพารักษ์ อยู่เฝ้าทอง จะได้เป็นใหญ่ จะมีทรัพย์ ดี 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันศุกร์            งูเฝ้าทรัพย์ จะมีทรัพย์มาก ดีนัก 
            คนเกิดปีมะเส็ง วันเสาร์           งูเล่นชู้ ถ้าเป็นชาย มักจะมีเมียมาก ถ้าเป็นหญิง มักจะมีผัวมาก ใจนักเลง


            คนเกิดปีมะเมีย - ม้า  เป็นเทวดาผู้หญิง ธาตุไฟ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นตะเคียน และต้นกล้วย 
            ผู้ใดเกิดปีมะเมีย ชันษาตกอยู่ที่มือพรหม พระเสาร์เป็นปาก เจรจาโอหัง มักจะถือดี พระอาทิตย์กับพระอังคารเป็นมือ ทำการงานมิสู้ดี พระจันทร์เป็นใจ ใฝ่สูง มักคิดทำการงานใหญ่โต ซึ่งบางครั้งก็ทำไม่ได้ พระพุธกับพระศุกร์เป็นเท้า เป็นคนมิสู้จะต้องเดินทางไกล พระพฤหัสบดีเป็นที่นั่ง ไม่สู้สนในเรื่องกามารมย์ และเรื่องชู้สาว เมื่อน้อยบิดามารดารักใคร่เอาใจใส่ เป็นคนใจอ่อน 
            ได้เมื่อพระจันทกุมาร พระราชบิดาสั่งแก่พราหมณ์ทั้งสี่ ให้เอาบูชากองกุณฑ์ เทวดาลงมาช่วยให้เกิดพายุพัดเป็นจุณไป พราหมณ์ทั้งสี่เจ็บปวดเป็นหนักหนา จะได้เงินทองข้าคน 
            คนเกิดปีมะเมีย เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกม้ามณีกาศ ธาตุไฟป่า มักตกเข็ญใจ ทำราชการพอประมาณ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอมีพอกิน พอเลี้ยงตัวได้ มีปัญญา ใจบุญ 
            คนเกิดปีมะเมีย เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกม้าคนเลี้ยง ธาตุไฟคนสุม ปากร้าย ถ้าเป็นหญิงมักนอกใจผัว ทำราชการมักผิดเพราะปาก ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี จะมีเงินทองทรัพย์สิน มีข้าทาสชายหญิงบริบูรณ์ 
            คนเกิดปีมะเมีย เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกม้ากระจอกเทศ ธาตุไฟในหิน มักเข็ญใจ ทำราชการมิสู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้ขายพอมีอันจะกินเทียมท่านทั้งหลาย 
            คนเกิดปีมะเมีย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกม้าอาชาไนย ธาตุไฟในแก้ว เป็นม้าพระยาเลี้ยง ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยาจะได้เป็นใหญ่ จะมียศฐาบรรดาศักดิ์ มีข้าทาสมาก ทำสวนไร่นาค้าขาย จะได้เป็นเศรษฐี 
            คนเกิดปีมะเมีย วันอาทิตย์ ม้าคนเลี้ยง จะมีตบะเดชะดี 
             คนเกิดปีมะเมีย วันจันทร์ ม้าเทวดาเลี้ยง จะมีบุญ ดีนัก 
             คนเกิดปีมะเมีย วันอังคาร ม้าพระมหากษัตริย์ อุดม ดีนัก 
             คนเกิดปีมะเมีย วันพุธ ม้าสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
             คนเกิดปีมะเมีย วันพฤหัสบดี ม้าพระโพธิสัตว์อุดม แต่จะต้องลำบาก 
             คนเกิดปีมะเมีย วันศุกร์ ม้าแม่ตาย อาภัพ มิดี 
             คนเกิดปีมะเมีย วันเสาร์ ม้าเสียเส้น จะต้องลำบาก มิดี


            คนเกิดปีมะแม - แพะ  เป็นเทวดาผู้หญิง ธาตุทอง มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นปาริชาติ และต้นไผ่ป่า 
            ผู้ใดเกิดปีมะแม่ ชันษาตกอยู่ที่มือซ้ายพรหม พระอาทิตย์เป็นปาก เจรจาเป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย มีสมณชีพราหมณ์เป็นต้น พระจันทร์กับพระพุธเป็นมือทำการงานหยาบ  เอาดีไม่ได้ แต่เป็นคนมีมานะดี พระอังคารเป็นใจ ชอบเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ มีวิชาปานกลาง พอเลี้ยงตัวได้ พระพฤหัสบดีกับพระเสาร์เป็นเท้า มักต้องเป็นคนเดินมาก  พระศุกร์เป็นที่นั่ง เป็นคนมีตัณหาแรง เมื่อน้อยอาภัพ พึ่งผู้อื่นมิได้ เป็นคนปากแข็ง ใจแข็ง 
            ได้เมื่อพระพรหมนารอทเสด็จจากพรหมโลก หาบทองลงมายังเมืองมนุษย์ จะได้ทรัพย์สินเงินทอง ผ้าผ่อนแพรพรรณ เพราะเจ้าขุนมูลนาย ทำราชการจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มียศฐาบรรดาศักดิ์สูง 
            คนเกิดปีมะแม เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกแพะหาผลไม้ ธาตุทองมีฝ้า มักตกเข็ญใจ ทำราชการพอปานกลาง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอมีอันจะกินเทียมเพื่อน มักชอบเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ มีความรู้พอเลี้ยงตัวได้ 
            คนเกิดปีมะแม เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกแพะคนเลี้ยง ธาตุทองมีราคี ทำราชการดีแต่มักจะเกิดความอยู่เนือง ๆ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี เมื่อแก่มีทรัพย์ ใจบุญ 
            คนเกิดปีมะแม เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกแพะดาบส ธาตุทองขาว ทำราชการมิสู้ดี ให้เกรงจะเจ็บมือเจ็บเท้า ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายมิสู้ดี หาได้ไว้มิคงที่ มีใจกล้าหาญ มีปัญญาดี รู้เท่าทันคน 
            คนเกิดปีมะแม เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกแพะพระยาเลี้ยง ธาตุทองเนื้อดี ใจอ่อน ทำราชการจะเป็นใหญ่เป็นโต ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี มีทรัพย์มาก ใจบุญ มีปัญญาดี 
            คนเกิดปีมะแม วันอาทิตย์ แพะกลางตลาด หาได้ไว้มิคงมิดี 
            คนเกิดปีมะแม วันจันทร์ แพะเศรษฐีเลี้ยง อุดม ดีนัก 
            คนเกิดปีมะแม วันอังคาร แพะตาบอด หากิน กันดาร มิดี 
            คนเกิดปีมะแม วันพุธ แพะราชครูเลี้ยง มีปัญญา ดีนัก 
            คนเกิดปีมะแม วันพฤหัสบดี แพะพระโพธิสัตว์เลี้ยง จะได้เป็นใหญ่ ดีนัก 
            คนเกิดปีมะแม วันศุกร์ แพะไม่มีเจ้าของ มักจะต้องลำบาก มิดี 
            คนเกิดปีมะแม วันเสาร์ แพะคนตาบอดเลี้ยง จะต้องลำบาก มิดี


            คนเกิดปีวอก - ลิง  เป็นผีเสื้อผู้ชาย ธาตุเหล็ก มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นขนุน 
            คนเกิดปีวอก  ชันษาตกอยู่ที่ท้องพรหม พระจันทร์เป็นปาก เจรจาหยิ่งยะโส หลักแหลม รู้หลักนักปราชญ์ เล่าเรียนวิชาดีนัก  เป็นที่ชอบใจของสมณชีพราหมณ์  และเจ้านายท้าวพระยา พระอังคารกับ พระพฤหัสบดีเป็นมือ เป็นคนมีฝีมือดี แต่มักทำการเนิ่นช้า พระอาทิตย์เป็นใจ เป็นคนที่เข้าใจเรื่องกฎหมาย และทางถ้อยความต่าง ๆ พระศุกร์กับพระอาทิตย์เป็นเท้า เป็นคนมิค่อยจะสู้เดิน มักจะไปด้วยยานพาหนะ พระเสาร์เป็นที่นั่ง เป็นคนมีตัณหาแรง ถ้าเป็นหญิงมักมีตำหนิในที่ลับ ถ้าเป็นชายมักมากชู้หลายเมีย เป็นคนฝักใฝ่ในเรื่องผู้หญิง เป็นคนปากอ่อนใจบุญ เมียมักจะหน่ายหนี 
            ได้เมื่อพระวิธูรบัณฑิต ปุณณกะยักษ์เอาเธอผูกกับหางม้าพระเหาะไปถึงเมืองนาค เธอจึงเทศนาให้พญานาค และปุณณกยักษ์ได้ฟัง จะได้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของเพราะขุนนาง ดีนัก 
            คนเกิดปีวอก เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกลิงลม เลี้ยงยาก ธาตุเหล็กกล้า ทำราชการอาสาขุนนางท้าวพระยา ดีนัก ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายมิสู้ดี เป็นคนใจอ่อน จะได้ดีเมื่อแก่ 
            คนเกิดปีวอก เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกลิงพระโพธิสัตว์ ธาตุเหล็กอ่อน ทำราชการจะได้เป็นท้าวพระยา พระ หลวง จะได้กินเมือง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี เจรจาซื่อสัตย์ ใจบุญ 
            คนเกิดปีวอก เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกลิงป่า ธาตุเหล็กดี เลี้ยงตัวเอง ทำราชการมิสู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี จะมีข้าทาสชายหญิงมาก ใจเป็นทหาร ใจร้อน เป็นคนมักได้ 
            คนเกิดปีวอก เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกลิงแสม ธาตุเหล็กป่า ร้ายนัก ทำราชการพอคุ้มตัวได้ ทำเรือกสวนไร่นา พอเลี้ยงตัวใจ ใจบุญ เจรจาซื่อสัตย์ดี 
            คนเกิดปีวอก วันอาทิตย์ ลิงพระยาเลี้ยง ดีนัก จะได้เป็นใหญ่ 
            คนเกิดปีวอก วันจันทร์ ลิงสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
            คนเกิดปีวอก วันอังคาร ลิงถูกขังกรงเหล็ก มิดี มักจะมีความทุกข์ 
            คนเกิดปีวอก วันพุธ ลิงฤษีเลี้ยง ดี มักจะมีความรู้ 
            คนเกิดปีวอก วันพฤหัสบดี ลิงราชครูเลี้ยง มีปัญญา ดีนัก 
            คนเกิดปีวอก วันศุกร์ ลิงพระโพธิสัตว์เลี้ยง ดี จะมีวาสนา 
            คนเกิดปีวอก วันเสาร์ ลิงถูกล่ามโซ่ มิดี มักจะต้องโทษ


            คนเกิดปีระกา - ไก่  เป็นผีเสื้อผู้ชาย ธาตุเหล็ก มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นยาง และต้นฝ้ายเทศ 
            ผู้ใดเกิดปีระกา ชันษาตกอยู่ที่เข้าพรหมด้านซ้าย พระอังคารเป็นปาก เจรจาไม่มีหางเสียง ชอบกล่าวเรื่องราวของผู้อื่น พระพุธกับ พระศุกร์เป็นมือ เป็นคนมีฝีมือในการช่าง เรื่องเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ พระพฤหสับดีเป็นใจ ไม่สู้จะฉลาด เล่าเรียนวิชาสิ่งใด ๆ ก็ดี ไม่ค่อยจะมีความทรงจำ พระเสาร์กับ พระจันทร์เป็นเท้า มักเป็นคนชอบเดิน พระอาทิตย์เป็นที่นั่ง เป็นคนมีตัณหาราคะจัด เมื่อน้อยอาภัพ ไร้ญาติพี่น้อง ใจบุญ 
            ได้เมื่อพระเวสสันดรพาพระนางมัทรี ชาลี กัณหาไปสู่เขาวงกฏ ทรงบรรพชาเป็นดาบสอยู่กลางป่า อาภัพพ่อแม่ญาติกา แต่ใจดีนัก 
            คนเกิดปีระกา เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกไก่คนเลี้ยง ธาตุเหล็กดี เมื่อน้อยเข็ญใจ ทำราชการจะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี ใจอ่อน สอนง่าย ใจบุญ ถ้าเป็นหญิงมักหลายผัว 
            คนเกิดปีระกา เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกไก่เถื่อน ธาตุเหล็กอ่อน เลี้ยงยาก เจรจากลับกลอก มีความโกรธร้านดังงูพิษ งูเห่า ทำราชการไม่สู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายจึงจะดี ใจบุญ มีปัญญา 
            คนเกิดปีระกา เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกไก่แจ้สินบน ธาตุเหล็กกล้า ทำราชการพอคุ้มตัวได้ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอทำพอกิน เป็นคนเขลา มักตกอับเข็ญใจ แต่ใจบุญ 
            คนเกิดปีระกา เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกไก่พระยาเลี้ยง ธาตุเหล็กอุดม ทำราชการจะได้เป็นมนตรีผู้ใหญ่ จะมีทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสชายหญิง เป็นคนมีปัญญา ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดีนัก 
            คนเกิดปีระกา วันอาทิตย์ ไก่พระยาเลี้ยง สมบูรณ์ดีนัก 
            คนเกิดปีระกา วันจันทร์ ไก่หาอาหารมิได้ มักต้องตกยาก 
            คนเกิดปีระกา วันอังคาร ไก่พนันเอาเมือง ดีนัก 
            คนเกิดปีระกา วันพุธ ไก่พระโพธิสัตว์เลี้ยง ดีนัก จะมีบุญวาสนา 
            คนเกิดปีระกา วันพฤหัสบดี ไก่ราชครูเลี้ยง ดีนัก จะมีปัญญาความรู้ เฉลียวฉลาด 
            คนเกิดปีระกา วันศุกร์ ไก่คนเลี้ยง มิดี จะได้รับความลำบาก 
            คนเกิดปีระกา วันเสาร์ ไก่สมณพราหมณ์เลี้ยง บริบูรณ์ ดีนัก


            คนเกิดปีจอ - หมา  เป็นผีเสื้อผู้หญิง ธาตุดิน มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นสำโรง และต้นบัวหลวง 
            ผู้ใดเกิดปีจอ ชันษาตกอยู่ที่เท้าขวาของพรหม พระพุธเป็นปาก เจรจากระด้าง เจรจาประเล้าประโลมไม่เป็น แต่พอเอาตัวรอดได้ พระอาทิตย์กับ พระเสาร์เป็นมือ เป็นคนมีฝีมือดี เข้าใจในการช่างต่าง ๆ พระศุกร์เป็นใจ แกล้วกล้า ชอบอาสาขุนนางท้าวพระยาเจ้านาย เป็นที่ชอบใจแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย แต่ว่าตัวเองมักอาภัพ พระอาทิตย์กับพระอังคารเป็นเท้า เป็นคนมิสู้จะต้องเดิน ไปไหนมาไหนมักไปด้วยยานพาหนะ พระจันทร์เป็นที่นั่งมิสู้จะสนใจเรื่องตัณหา มีราคะไม่รุนแรง มักจะเกิดพยาธิ จะมีข้าทาสชายหญิงพอปานกลาง ที่หน้ามักจะมีแผลเป็น ใจบุญ 
            ได้เมื่อพระยาโปริสาท เขี้ยวงอกออกมายาว เพราะได้กินเนื้อมนุษย์ ทำฟุ้งเฟื่อง ถูกเขาขับออกจากเมือง บุญชักให้กลับเข้ามาอยู่ในเมืองอีก ให้เกรงขุนนางจงหนัก จะพลัดพรากจากที่อยู่ที่กิน ถ้าไปอยู่เมืองอื่น จะได้ลาภมาก 
            คนเกิดปีจอ เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกหมาพระยาเลี้ยง ธาตุดินสุกอุดม เมื่อน้อยมักเข็ญใจ ครั้นเติบใหญ่มากลางคนจะมีทรัพย์มาก ทำราชการอาสาขุนนางพลันได้ดี ทำเรือกสวนไร่นา แต่พอประมาณ 
            คนเกิดปีจอ เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกหมาคนเลี้ยง ธาตุดินดำ มีปัญญามาก ถ้าตกเข็ญใจ จะได้เป็นไท ทำราชการจะได้เป็นใหญ่ จะได้กินเมือง ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอเลี้ยงตัวได้ มักทำบุญให้ทาน เจรจาซื่อสัตย์ดีนัก 
            คนเกิดปีจอ เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกหมากลางตลาด ธาตุดินจอมเขา ทำราชการพอประมาณ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี ใจนั้นมักเป็นทหาร 
            คนเกิดปีจอ เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกหมาจิ้งจอก ธาตุดินทายุ้ง ทำราชการพอเลี้ยงตัวได้ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอจะมีกินเทียมเพื่อน  พอเลี้ยงตัวได้ ใจเป็นทหาร ใจแข็ง 
            คนเกิดปีจอ วันอาทิตย์ หมาไล่เนื้อ มักตกยาก มิดี 
             คนเกิดปีจอ วันจันทร์ หมาเศรษฐีเลี้ยง สมบูรณ์ ดีนัก 
             คนเกิดปีจอ วันอังคาร หมาขี้เรื้อน อาภัพ มิดี 
             คนเกิดปีจอ วันพุธ หมาสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
             คนเกิดปีจอ วันพฤหัสบดี หมามีบริวาร อุดม ดีนัก 
             คนเกิดปีจอ วันศุกร์ หมาเศรษฐีเลี้ยง บริบูรณ์ ดีนัก 
             คนเกิดปีจอ วันเสาร์ หมาถูกล่ามโซ่ มีดี


            คนเกิดปีกุน - หมู  เป็นมนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นบัวหลวง และต้นบัวบก 
            ผู้ใดเกิดปีกุน ชันษาตกอยู่ที่เท้าซ้ายของพรหม พระพฤหัสบดีเป็นปาก เจรจาหลักแหลม รู้หลักนักปราชญ์ แตมิสู้จะมีผู้เชื่อฟัง พระศุกร์กับพระอาทิตย์เป็นมือ มักจะต้องทำการงานหนัก เหนื่อยมาก พระเสาร์เป็นใจ ใจร้อน ใจเร็ว เป็นคนเจ้าโทสะ โกรธง่ายหายเร็ว ไม่ผูกอาฆาต  พระจันทร์กับพระพุธเป็นเท้า มักเป็นคนชอบเดิน พระอังคารเป็นที่นั่ง ถ้าเป็นหญิงมักมีตำหนิในที่ลับ ถ้าเป็นชายมักจะเป็นชู้เมียท่าน เจรจาเป็นที่ชอบใจสมณชีพราหมณ์ และขุนนางท้าวพระยา 
            ได้เมื่อพระศุภมิตร พานางแก้วเกษิณีไปอยู่กลางป่า จากที่เกิดไปอยู่ที่อื่นจะได้ดี จะมีเงินทองมาก 
            คนเกิดปีกุน เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด ตกหมูเทวดาเลี้ยง ธาตุน้ำสร้าง มิสู้ดี ทำราชการมิสู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายพอทำกิน  ถ้าไปทำมาหากินต่างเมืองจะดี จะมีเงินทองมาก มีปัญญา ใจบุญ 
            คนเกิดปีกุน เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ตกหมูคนเลี้ยงอยู่ในเล้า ธาตุน้ำอาศัย มีญาติกามาก พึ่งผู้อื่นมิได้ ต้องพึ่งตัวเอง ทำราชการมิสู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี ใจบุญนัก ทำกินโดยสัจจะ โดยซื่อ มีปัญญาดีนัก 
            คนเกิดปีกุน เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย ตกหมูขี้เรื้อน ธาตุน้ำป่า มักตกเข็ญใจ ทำราชการพอประมาณ ทำเรือกสวนไร่นาค้าขาย พอมีอันจะกิน ใจบุญ เจรจาความซื่อสัตย์ดี 
            คนเกิดปีกุน เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ ตกหมูป่าคาบแก้ว ธาตุน้ำคลอง จับยาก เป็นพญาแก่หมูทั้งหลาย ทำราชการพลันได้ดี ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายดี ใจบุญ 
            คนเกิดปีกุน วันอาทิตย์ หมูพระยาเลี้ยง จะมีบุญวาสนาดีนัก 
            คนเกิดปีกุน วันจันทร์ หมูคนฆ่ากิน มักตกทุกข์ มิดี 
            คนเกิดปีกุน วันอังคาร หมูเศรษฐีเลี้ยง จะมีทรัพย์ ดีนัก 
            คนเกิดปีกุน วันพุธ หมูสาธารณ์ อาภัพ มิดี 
            คนเกิดปีกุน วันพฤหัสบดี หมูราชครูเลี้ยง ดีนัก 
            คนเกิดปีกุน วันศุกร์ หมูขาหัก มักเข็ญใจ มิดี 
            คนเกิดปีกุน วันเสาร์ หมูมีบริวาร จะได้เป็นมนตรี ดีนัก

ทายกาลชะตากำเนิด (วันเกิด) เจ็ดวัน

 


            คนเกิดวันอาทิตย์  พระประจำวันปางถวายเนตร 
            ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ ผู้นั้นใจจิตจะพลันมักง่าย ทำการเสมอตัว ดีชั่วใด ๆ ทำคุณแก่ใครเหมือนไฟตกน้ำ จะมีผู้ใหญ่เป็นผู้อุปถัมภ์ เจรจาล้ำเลิศ ไม่มีความผิด น้ำใจซื่อตรง คงสัตย์ต่อมิตร รักง่ายใจจิต ไม่คิดเสียดาย ถ้อยความมาต้อง ถึงสองสามราย ร้ายแล้วกลับกลายเป็นดีภายหลัง เมื่อน้อยไร้ทรัพย์ เมื่อเติบโตกลับมั่งคั่งบริบูรณ์ พร้อมพรั่งมีมาก แต่จากที่อยู่ จิตใจนั้นใหญ่ มักชอบเจ้าชู้ จะมีความรู้ะเป็นที่สำคัญ

 


            คนเกิดวันจันทร์  พระประจำวันปางห้ามสมุทร 
            ผู้ใดเกิดวันจันทร์ เกณฑ์ชาตาผู้นั้น ทายว่าไร้วงศา อันจะพึ่งญาติ มิได้สักครา เขากลับพึ่งพา ดีเนื้อดีใจถ้าแม้นผู้อื่น ยั่งยืนหมายไว้ ติดเนื้อต้องใจ เอาเป็นพี่น้อง ไม่เกรงกลัวใคร น้ำใจจองหอง โอหังคะนอง พบเพื่อนสูงศักดิ์ ปากอ่อนใจแข็ง โกรธร้ายแรงนัก พ่อแม่ที่รัก ไม่อยู่เลี้ยงกัน มักมีตำหนิ เป็นแผลสำคัญ ถ้ามิฉะนั้น ทายว่าถูกไฟ จะต้องลำบาก ได้ยากเจ็บไข้ โทษทัณฑ์โภยภัย เพราะท่านผู้อื่น ตกยากเมื่อหน้า ภายหลังคงคืน ครอบครองยั่งยืนสุดสิ้นชนมานย์

 


            คนเกิดวันอังคาร  พระประจำวันปางไสยาสน์ 
            ผู้ใดเกิดวันอังคาร จิตใจกล้าหาญ ทายว่ารกพันคอ โกรธเร็วดังไฟ ใจไม่ย่อท้อ ได้พึ่งแม่พ่อ เป็นที่มั่นคง พี่น้องวงศา ไม่น่าซื่อตรง ทำให้ไหลหลง จนได้รำคาญ แต่มีปัญญา เจรจาอ่อนหวาน ไม่เกียจไม่คร้าน ต่อนานจึงจะดี ชาตาอาภัพ เกิดกับที่นี่ ต้องย้ายจึงจะดี ไปอยู่ที่อื่น ได้ดีสองครั้ง มั่งคั่ง มั่งคั่งยั่งยืน แล้วกลับโหดหืน ได้ยากสองหน จะต้องร้อนใจ เพราะภัยประจญ เครือญาติของตน ทำเดือดร้อนใจ ต่อแก่ชรา สุดสิ้นโรคภัย ได้ทรัพย์ที่สุด

 


            คนเกิดวันพุธ  พระประจำวันปางอุ้มบาตร 
            ผู้ใดเกิดวันพุธ ใจดีที่สุด ทั้งหญิงทั้งชาย แต่ไร้วงศา ญาติกาทั้งหลาย ใจพลันมักง่าย ไม่คิดหน้าหลัง มักเอาที่อื่นเป็นที่พึ่งพา ทรัพย์สินนานา ทำใส่ตัวเอง ถ้าเป็นสมณะ คนระยำเกรง คฤหัสถ์โฉงเฉง โก้งเก้งฉกลัก ใจชอบนักเลง ผู้หญิงมักรัก พบเพื่อนต่ำศักดิ์ มักจะได้ร้อนรน ตกยากหลายครั้งได้ดีหลายหน พ่อแม่แห่งตนมิได้ปฏิบัติ

 


            คนเกิดวันพฤหัสบดี  พระประจำวันปางสมาธิ 
            ผู้ใดเกิดวันพฤหัสบดี อาจารย์บัญญัติว่ารูปงามใจดี แต่ว่าอาภัพ เกิดกับที่นี่ต้องย้ายจากที่ไปอยู่แห่งอื่น เมื่อน้อยไร้ทรัพย์ ใหญ่กลับคงคืน เจรจายั่งยืน คนมักพอใจ ครองทรัพย์คงที่ ไม่มีโภยภัย คนที่อาศัย มักชอบใจตน ทำการใจเย็น ไม่เห็นร้อนรน แต่ทำคุณคน ไม่เป็นประโยชน์ ทำคุณแก่เขา เขากลับให้โทษ ไม่เป็นประโยชน์ จำไว้อย่าคลา มากชู้หลายเมีย ได้เสียไม่ว่ามักได้ทุกขา เพราะเพื่อนฝูงตน ครองศีลครองศักดิ์ เพื่อนฝูงที่รัก พร้อมพรักเป็นสุข

 


            คนเกิดวันศุกร์  พระประจำวันปางรำพึง 
            ผู้ใดเกิดวันศุกร์ บ่มีภัยทุกข์ ซื่อสัตย์ทุกประการ เพื่อนฝูงญาติกา มักมาเบียดผลาญ แต่ว่าวงศ์วาน ไม่สู้มีมาก เมื่อน้อยนั้นหนา ทายว่าลำบาก ตกไร้ได้ยาก แทบสิ้นชีวี ต่อแก่ชรา จะเทียมเศรษฐี สมบัติเปรมปรีดิ์ เป็นที่สถาพร จะเป็นกำพร้า บิดาตายก่อน ได้ทุกข์ได้ร้อน สองครั้งมั่นคง ถ้าพ้นแต่นั้น สมบัติยืนยง ครอบครองมั่นคง เป็นสงฆ์จึงดี มักบ่นมักด่า มักว่าจู้จี้ โกรธร้ายเต็มที ได้คิดเราเขา

 


            คนเกิดวันเสาร์  พระประจำวันปางนาคปรก 
            ผู้ใดเกิดวันเสาร์ เพื่อนฝูงพงศ์เผ่า มักให้อันตราย น้ำใจห้าวหาญ เพื่อนฝูงมากมาย พี่น้องสืบสาย มักผิดใจกัน น้ำใจจองหอง โมโหหุนหัน ทุบถองตีรัน ชอบใจทุกสิ่ง เบ็ดเตร็ดเสเพล นักเลงผู้หญิง นักเลงทุกสิ่ง ชอบใจคนพาล ทำการสิ่งใด ให้เกียจให้คร้าน พี่น้องวงศ์วาน เขาไม่ดูดี คบเพื่อนสูงศักดิ์ รักกันเต็มที่ มิได้หน่ายหนี มักแพ้ลูกเมีย ผู้คนทั้งหลาย 
ทายวันเกิดอีกตำราหนึ่ง 
            ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์  ทำชอบได้ผิด ดังไฟตกน้ำดับหาย มักง่ายอาภัพจนตาย มีพงษ์วงศ์ร้าย มักให้เสื่อมสูญรัศมี ชื่อต่างเพิ่มพูน ความคิดเสียสูญ มักผิดด้วยเขาหลายครา จะจากที่อยู่สามท่าจึงได้สุขา ธาตุหิน นามครุฑโดยนัย 
            ถ้าผู้ใดเกิดวันจันทร์  ว่าไว้มีแผลถูกไฟ เป็นไฝสำคัญในกายา จะขึ้งจะโกรธปากกล้า มานะทะท้า ใจมักโอบอ้อมฉุยฉาย เจ็บสองครั้งปางตาย ว่าจะเป็นหม้าย ขวนขวายทำมาหากิน ได้เพื่อนฝูงเขามักสับใช้ พึ่งญาติไม่ได้ พี่น้องไม่เลี้ยงกัน ถ้าผู้ใหญ่ได้ยาก อาธรรม์ สองครั้งผายผัน ธาตุไม้พร้อมนามเตโช 
            ผิว์เกิดวันอังคาโร รกพันกัณโฐ มโนบ่มีที่ยั่งยืน เมื่อโกรธมีความฝ่าฝืน มีปรีชาชื่น อุตสาหะมานะ ทนทาน เจรจาอ่อนหวานเล่ห์กล มีที่ฝากตน เป็นผลยาวยืนได้เห็น มักทุกข์ด้วยญาติขุกเข็ญ ทุกข์อันหนึ่งเป็น ด้วยไร่นาของตนเอง ได้ดีสี่คราครื่นเครง ครั้งหนึ่งยากเอง ธาตุเหล็ก สีหะนามชาตา 
            ผิว์เกิดวันพุธ ผู้นั้นเจรจา แต่ถ้อยคำพอประมาณ นักเที่ยวพละการ จะเป็นหมอพยาบาล แต่ทำได้ไว้มั่นคง มีญาติเหมือนหนึ่งไร้วงศ์ แม้ถ้าเป็นสงฆ์ จะเลื่องลือปรากฏ แม้เป็นคฤหัสสาโหด เที่ยวเตร่จับจด ทั้งชู้ และเมียมากมี ตกยากห้าคราได้ดี สามครั้งมั่งมี ธาตุเถ้าสุนัขนามชาติ 
            ผิว์เกิดวันพฤหัสบดี ใจใหญ่เป็นศรี ทายว่าไปใหญ่ที่อื่น จะเป็นครูท่านยั่งยืน มีปรีชารื่น จะเป็นที่พึ่งฝูงชน ว่ามักทำถ้อยความคน มิตรมักทุรชน ทำคุณผลกลับกลาย เมียก่อนบ่ยืนมักตาย หาใหม่สืบสาย ว่าเมียหลังจักดี จะได้ความทุกข์หลายที ต้นปลายมั่งมี มุลิกนาม ธาตุน้ำ 
            ผิว์เกิดวันศุกร์ตกต่ำ เมื่อน้อยฟกช้ำ รู้ซื้อรู้ขาย รู้เก็บรู้จ่ายครบครัน มักง่ายมักตายทุกอัน มักทุกข์เนืองอนันต์ พ่อตายก่อนโดยยล ว่าจะต้องยากสองหน จึงจะได้ดี ธาตุลม อัชชะนามชาโต 
            ผิว์เกิดวันโสโร ใจหยาบโลโภ มักจะโอ่โอ้โยสาร โกรธร้ายเสียคิดอ่านการ เจรจาหักหาญ แต่ล้วนจะพาลด่าตี เงินทองข้าคนมากมี นักเลงสตรี ทายว่ามีเมียหลายคน จะมีเพื่อนฝูงทุกตำบล พี่น้องของตน มักมิชอบกันราวี ทายว่าข้าวปลายจักดี โดยชาติอันมี นามธาตุไฟสำเร็จ
ทายวันเกิดอีกตำราหนึ่ง 
            คนเกิดวันอาทิตย์  สิทธิการิยะ ผู้ใดเกิดวัน ๑ คืออาทิตย์ อาทิตย์เป็นบริวาร มีลูกมากเมียหลาย แต่ว่าไปมาเชื่องช้า ๒ จันทร์เป็นอายุ เป็นคนที่เข้ากับพี่น้องมิใคร่ได้ ๓ อังคารเป็นเดช มีเดชังราชสีห์ ๔ พุธเป็นศรีมีทรัพย์ดังมหาเศรษฐี ๗ เสาร์ เป็นมูลละ มีรูปชั่วดำแดงเสมอดังชูชก ๕ พฤหัสบดี เป็นอุตสาหะ มีความรู้ยิ่งกว่าคนทั้งปวง ย่อมเป็นครูคน ๘ ราหูเป็นมนตรี มีลูกเมียข้าไท ย่อมว่าง่ายสอนง่าย ๖ ศุกร์เป็นกาลกิณีร้ายนัก 
            คนเกิดวันจันทร์  ผู้ใดเกิดวัน ๒ คือวันจันทร์  จันทร์เป็นบริวาร จะได้เป็นเศรษฐี ๓ อังคารเป็นอายุ มีอายุน้อย มักจะเกิดพยาธิ ๔ พุธเป็นเดช มีเดชดังพระราม ๗ เสาร์เป็นศรี รูปไม่งาม ๕ พฤหัสบดีเป็นมูลละ มีรูปงามเป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย ๘ ราหู เป็นอุตสาหะ มีความเพียรน้อย มีคนริษยามาก ทำการนานกว่าจะแล้ว ๖ ศุกร์เป็นมนตรี มีเมียหลายคน ย่อมเป็นเชื้อผู้ดี ๑ อาทิตย์เป็นกาลกิณี ร้ายนักคนเกิดวันอาทิตย์อย่าคบ 
            คนเกิดวันอังคาร  ผู้ใดเกิดวัน ๓ คือวันอังคาร อังคารเป็นบริวาร มีลูกเมียข้าไท ย่อมรู้หลัก ๔ พุธ เป็นอายุ ว่าอายุยืนกว่าญาติกา ๗ เสาร์ เป็นเดชมีเดชดังพระราม ๕ หฤหัสบดีเป็นศรี มีทรัพย์มากและรูปงาม มีความคิดมาก ๘ ราหูเป็นมูลละ มีรูปงาม ๖ ศุกร์เป็นอุตสาหะมีความเพียรมาก มีทรัพย์มาก เป็นชายดี ๑ อาทิตย์เป็นมนตรี มีข้ามักเป็นศัตรู ๓ จันทร์เป็นกาลกิณี มีเมียมักนอกใจ 
            คนเกิดวันพุธ  ผู้ใดเกิดวัน ๔ คือวันพุธ พุธเป็นบริวาร มีเมียย่อมเอาทรัพย์มาสู่ตน ๗ เสาร์เป็นอายุ มีอายุน้อย มักเป็นพยาธิ ๕ พฤหัสบดีเป็นเดช มีเดชดังพระโพธิสัตว์ ๗ ราหูเป็นศรี มีทรัพย์น้อย ๖ เป็นมูลละ มีความเพียรมาก ๑ อาทิตย์เป็นอุตสาหะ ใจร้าย รูปเป็นมัชฌิมา ๒ จันทร์เป็นมนตรี มีลูกเมียข้าไท มักเอาทรัพย์มาสู่เรือน ๓ อังคารเป็นกาลกิณี อาภัพมิตรสหาย ทำคุณคนไม่ขึ้น 
            คนเกิดวันพฤหัสบดี  ผู้ใดเกิดวัน ๕ คือวันพฤหัสบดี พฤหัสบดีเป็นบริวาร ย่อมประกอบด้วยวิชาการงานทุกสิ่งอัน ๘ ราหูเป็นอายุว่าผู้นั้นมีอายุน้อย มักเกิดพยาธิโรคามาก ๖ ศุกร์เป็นเดชมีเดชดี ๑ อาทิตย์เป็นศรี มีทรัพย์ไม่มาก ๒ จันทร์เป็นมูลละ มีลูกเมียมาก แต่มิสู้ยั่งยืน ๓ อังคารเป็นอุตสาหะผู้นั้นมักฉลาด ๔ พุธเป็นมนตรี มีเมียไม่ซื่อตรง ทำตัวมีใจออกห่าง ๗ เสาร์เป็นกาลกิณีร้ายนัก ทำคุณคนมักกลับให้โทษ 
            คนเกิดวันศุกร์  ผู้ใดเกิดวัน ๖ คือวันศุกร์ ศุกร์เป็นบริวาร ผู้นั้นมีความสุขมาก มียศมาก ๑ อาทิตย์เป็นอายุ มีอายุยืน ๒ จันทร์เป็นเดชมีเดชมหึมา ๓ อังคารเป็นศรี มีทรัพย์สินเงินทองมาก ๔ พุธเป็นมูลละ มีรูปงาม ๗ เสาร์เป็นอุตสาหะ ทำการใด ๆ ไม่ใคร่จะแล้วมักค้างอยู่ ๕ พฤหัสบดีเป็นมนตรีดีนัก ๘ ราหูเป็นกาลกิณี ร้ายนัก 
            คนเกิดวันเสาร์  ผู้เกิดวัน ๗ คือวันเสาร์ เสาร์เป็นบริวาร มีลูกมีข้าไท ว่าสอนยาก ๕ พฤหัสบดีเป็นอายุ มีอายุยืน ๘ ราหูเป็นเดช มีเดชดังราหู ๖ ศุกร์เป็นศรีมีทรัพย์มาก ๑ อาทิตย์เป็นมูลละมีสุขภาพและนรลักษณ์ดี จันทร์เป็นอุตสาหะ ทำการงานไม่สู้ดี ๓ อังคารเป็นมนตรี ร้ายนัก มิซื่อตรงคิดจะทำร้ายเขา ๔ พุธเป็นกาลกิณี ร้ายนัก ไม่ซื่อตรงต่อผู้ใดเลย 
พยากรณ์ฐานวันทั้งเจ็ดวัน

 


            ๑.  พระอาทิตย์  ทรงพญาราชสีห์เป็นพาหนะ 
            สิทธิการิยะ ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ ๑ เป็นอัตะ ทายว่าผู้นั้นจะมีวาสนา เมื่อคลอดมีแต่พี่น้องมาประชุมกันมากมาย เป็นคนเจรจาดี จะได้ดีเพราะตัวเอง ๒ เป็นหินะ ทายว่าผู้นั้นได้ข้าวของมักรักแต่ต้นมือ นานไปมักแหนงหน่าย ๓ เป็นธะนัง ทายว่าผู้นั้นเก็บทรัพย์ไว้กับตัวไม่ค่อยอยู่ มักจะมีคนคอยเบียดเบียน ๔ เป็นปิตา ทายว่าพ่อตายก่อนแม่ ๕ เป็นมาตา ทายว่าญาติพี่น้องข้างแม่สูงกว่าข้างพ่อ ๖ เป็นโภคา ทายว่าผู้นั้นมีข้าวของมักให้ผู้อื่น เก็บทรัพย์ไว้มิใคร่จะคงที่ ๗ เป็นมัชฌิมา ทายว่าผู้นั้นมิคค่อยสนใจในเรื่องผู้หญิง ชอบแต่ในการทหารแล

 


            ๒.  พระจันทร์  ทรงอาชาไนย เป็นพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันจันทร์ ๒ เป็นอัตตา ผู้นั้นมักไม่ค่อยได้อยู่ร่วมพี่ร่วมน้อง เมื่อน้อยมีผู้เฒ่าผู้แก่ขอไปเลี้ยงท่านจะให้ลาภ แต่ตัวเองมักอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น เจรจาชอบใจสมณชีพราหมณ์ ๓ เป็นหินะ ผู้นั้นมักจะไม่รักข้าวของของตน ๔ เป็นธะนัง ผู้นั้นเก็บทรัพย์ไว้กับตนเองมิดี มักมีคนคอยเบียดเบียน ๕ เป็นปิตา แม่ตายก่อนพ่อ บิดานั้นต่อไปกลางคนจะมีบุญ ๖ เป็นมาตา ญาติของมารดามีมากกว่าบิดา และมีข้าทาสมาก ๗ เป็นโภคา ผู้นั้นมิรู้รักษาทรัพย์ได้มาจักแจกจ่ายให้ผู้อื่น ๑ เป็นมัชฌิมา ผู้นั้นไปหาท่านผู้ใด มักดีแต่ต่อหน้า

 


            ๓.  พระอังคาร  ทรงมหิงสาเป็นพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันอังคาร ๓ เป็นอัตตะ ผู้นั้นมักมีแผลเป็นตามใบหน้า มีความคิดดี พึ่งญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมิได้ มักจะถูกเจ็บตัวเพราะเพื่อน ๔ เป็นหินะ ผู้นั้นมักเห่อทรัพย์ ๕ เป็นธะนัง ผู้นั้นเป็นคนมักได้ จะได้ทรัพย์จากขุนนางท้าวพระยา แต่มักจะมีคนคอยเบียดเบียน ๖ เป็นปิตาผู้นั้นพ่อตายก่อนแม่ มีข้าทาสหญิงชายมาก ภายหน้าจะมีบุญ ๗ เป็นมาตา มีมารดาเป็นคนสันทัด มีพี่น้องพอมัธยม เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ๑ เป็นโภคา เป็นคนรู้จักรักษาทรัพย์ ๒ เป็นมัชฌิมา ผู้นั้นไปที่ใดๆ เจรจาเป็นที่ถูกใจแก่คนทั้งหลาย เขามักยินดีต้อนรับ

 


            ๔.  พระพุธ  ทรงคชสาร เป็นพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันพุธ ๔ เป็นปัตตะ ผู้นั้นเป็นคนมีใบหน้าใหญ่ ผมบาง ทำคุณคนไม่ขึ้น ดีแต่ต่อหน้า เจรจาเป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย ทำราชการต่อไปภายหน้าจะดี ๕ เป็นหินะ ผู้นั้นต่อไปภายหน้าจะมีทรัพย์สินเงินทองมาก ๖ เป็นธะนัง ผู้นั้นรู้จักออมทรัพย์ มักได้ลาภจากขุนนางท้าวพระยา ๗ เป็นปิตา บิดาผู้นั้นผมหยักศก หน้ามน เป็นที่เอ็นดูแก่ขุนนางท้าวพระยา ทำราชการจะได้ดี ๑ เป็นมาตา มารดาผู้นั้นเป็นคนสันทัด เจรจารู้หลักนักปราชญ์ ตัวเองมักอาภัพ แม่ตายก่อนพ่อ ๒ เป็นโภคา ผู้นั้นมิสู้จะรักทรัพย์เท่าใดนัก ๓ เป็นมัชฌิมา ผู้นั้นไปในที่แห่งใดก็ดี จะมีคนยินดีต้อนรับ

 


            ๕.  พระพฤหัสบดี  ทรงมฤคราช เป็นพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันพฤหัสบดี ๕ เป็นอัตตะ ผู้นั้นรู้หลักนักปราชญ์ เป็นคนพูดน้อยเจรจาดี ทำราชการจะเป็นที่ชอบใจแก่ขุนนางท้าวพระยา ๖ เป็นหินะ ผู้นั้นรักษาข้าวของดีนัก ๗ เป็นธะนัง ผู้นั้นจะเป็นคนรวยทรัพย์ และมักจะได้ลาภจากขุนนางท้าวพระยา ๑ เป็นปิตา ผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ โกรธร้าย พ่อตายก่อนแม่ ๒ เป็นมาตา มารดาผู้นั้นเมื่อสาวมีบุญ ญาติพี่น้องมีทรัพย์สมบัติ ๓ เป็นโภคา ผู้นั้นเป็นคนรู้จักเก็บรักษาทรัพย์ แต่ใจมักเป็นนักเลง ๔ เป็นมัชฌิมา เป็นคนเจรจาน้อยแต่ได้ในความดี เจรจาเป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย

 


            ๖.  พระศุกร์  ทรงอุสุภราช เป็นพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันศุกร์ ๖ เป็นอัตตะ ผู้นั้นเมื่อคลอดออกมามีรกพันคอ หรือมิฉะนั้นก็จะตาย หรือตกน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าได้หญิงที่เป็นเจ้านายเอาไปเลี้ยงจะได้ดี เป็นคนซื่อตรง และใจบุญเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย มักจะมีตำหนิในที่ต่าง ๆ เป็นหินะ เป็นคนฉลาด รู้หลักนักปราชญ์ ๑ เป็นธะนัง เก็บทรัพย์ไว้กับตัวไม่ค่อยดี มักจะจับจ่ายใช้สอย และมักถูกเพื่อนเบียดเบียน ๒ เป็นปิตา บิดาผู้นั้นมีรูปร่างสูง เมื่อหนุ่มมีทรัพย์มีพี่น้องมาก แม่ตายก่อนพ่อ ๓ เป็นมาตา มารดาเป็นคนผิวเนื้อดำแดง ถันใหญ่ เมื่อสาวมีบุญ เมื่อแก่ตกยากไร้ญาติ ๕ เป็นโภคา ผู้นั้นรู้จักรักษาทรัพย์ เป็นคนตระหนี่ ๕ เป็นมัชฌิมา ผู้นั้นเจรจาเป็นที่ชอบใจแก่ขุนนางท้าวพระยา และสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย

 


            ๗.  พระเสาร์  ทรงพยัคฆราช (เสือ) เป็นราชพาหนะ 
            ผู้ใดเกิดวันเสาร์ ๗ เป็นอัตตะ ผู้นั้นเมื่อน้อยเลี้ยงยาก มีผู้ขอเอาไปเลี้ยง เป็นคนมีสติปัญญาดี เล่าเรียนสิ่งใด ๆ ก็ดีมักจะเป็นครูเขา จะตั้งตัวได้เพราะตัวของตัวเอง ทำราชการจะปรากฏชื่อเสียง จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยา ๑ เป็นหินะ ผู้นั้นมิรู้ที่จะตกยากเลย ๒ เป็นธะนัง ผู้นั้นได้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของมักมีตำหนิ เป็นคนตระหนี่ทรัพย์ ๓ เป็นปิตา บิดาของผู้นั้นผิวเนื้อดำแดง ผมหยักศก มีญาติพี่น้องพึ่งมิได้ เป็นคนปากเบา ต่อภายแก่จะมีทรัพย์พอปานกลาง แม่ตายก่อนพ่อ ๕ เป็นมาตา มารดาของผู้นั้นผิวขาว เป็นคนมีบุญ ญาติพี่น้องเป็นคนรวยสมบัติ เมื่อกลางอายุจะมีทรัพย์พอปานกลาง แต่มักจะมีการเจ็บป่วยอยู่เนือง ๆ ๕ เป็นโภคา ผู้นั้นจะมีทรัพย์สินเงินทองด้วยตัวของตัวเอง ๖ เป็นมัชฌิมา ผู้นั้นเป็นคนเจรจาอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ มักเป็นที่ชอบใจแก่หญิงทั้งหลาย

พยากรณ์ฐานเดือนเกิดทั้งสิบสองเดือน

 


            คนเกิดเดือนอ้าย  สิทธิการิยะ ผู้ใดเกิดเดือนอ้าย ๑ เป็นตนุ ผู้นั้นจะได้ทรัพย์สมบัติจากพี่น้อง มีพ่อแม่เป็นต้น ๒ เป็นกดุมภะ ผู้นั้นเป็นคนมีทรัพย์ เจรจาปากกว้าง ๓ เป็นสหัชชะ ผู้นั้นคบคนรูปร่างดำแดงจึงจะต้องโฉลก ๔ เป็นพันธุ ผู้นั้นจะได้ดีเพราะผู้อื่น เมื่อน้อยจะมีผู้นำไปเลี้ยง ๕ เป็นปุตตะ ผู้นั้นจะมีลูกเป็นผู้หญิงมีผิวขาวเหลือง เป็นผู้รู้หลักนักปราชญ์ เจรจาไพเราะ ถ้าเป็นชายจะมีน้ำใจกล้าหาญ พ่อแม่ญาติพี่น้องจะได้พึ่ง ๖ เป็นอริ ผู้นั้นจะมีศัตรูเป็นหญิงนมยาน ถ้าเป็นชายผมหยองตาเหลือง ๗ เป็นปัดตะนิ ผู้นั้นจะได้หญิงแม่ม่ายเป็นเมีย หรือมิฉะนั้น ก็จะได้หญิงที่มีอายุแก่กว่าอยู่ทางทิศอุดร หรือ หรดี เป็นคนสันทัด ใจร้ายแล

 


            คนเกิดเดือนยี่  ผู้ใดเกิดเดือนยี่ เป็นตนุ ผู้นั้นคบคนผิวขาวจึงจะดี ๕ เป็นพันธุ ผู้นั้นจะได้พึ่งญาติพี่น้อง และท่านผู้อื่น ๖ เป็นปุตตะ ผู้นั้นมีลูกหญิงก่อนจึงจะดี เมื่อคลอดนั้น บิดามารดาจะได้ลาภ ถ้าเป็นชายก่อนมิดี ๗ เป็นอริ ผู้นั้นมีศัตรู เป็นคนผิวเนื้อดำแดง ถ้าเป็นหญิงมีรูปร่างสูงโปร่ง ๗ ปัตตะนิ ผู้นั้นจะได้ภรรยามีรูปงาม ผิวเนื้อดำแดง อยู่ทางทิศบูรพา หรือทิศประจิม มักเป็นคนกลัวเมีย

 


            คนเกิดเดือนสาม  ผู้ใดเกิดเดือนสาม ผู้นั้นจะตั้งตัวได้ด้วยลำแข้งของตนเอง และเมื่อกลางคนจะมีบุญวาสนา ๕ เป็นสหัชชะ ผู้นั้นคบคนผิวขาวเหลืองจึงจะต้องโฉลกดี ๖ เป็นพันธุ ผู้นั้นไปที่ใด ๆ ก็ดี จะมีผู้นิยมยินดีต้อนรับทุกแห่ง ๗ เป็นปุตตะ ผู้นั้นมีบุตรใจแข็ง ผิวดำ เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เมื่อน้อยเลี้ยงยาก ครั้นเติบใหญ่พ่อแม่จะเข็ญใจ ถ้ามีลูกหญิงก่อนมิสู้ดี ๑ เป็นอริ ผู้นั้นมีศัตรูมาก หรือมิฉะนั้นจะเป็นความ หรือเจ็บไข้ได้ทุกข์ต่าง ๆ มักจากที่อยู่ที่กิน ๒ เป็นปัตตะนิ จะได้รับสมบัติจากญาติ และจากบิดามารดา จะได้ภรรยาเป็นคนผิวขาวเหลือง รูปร่างบอบบาง อยู่ทางทิศบูรพา

 


            คนเกิดเดือนสี่  ผู้ใดเกิดเดือนสี่ ๔ เป็นตนุ ผู้นั้นผิวเนื้อดำแดง เก็บทรัพย์ได้ดี รู้จักการจ่ายทรัพย์ ๕ เป็นกดุมภะ ผู้นั้นมีบุญวาสนา เพราะด้วยตัวของตัวเอง ๖ เป็นสหัชชะ คบคนดำแดงจึงต้องโฉลก ๗ เป็นพันธุ มีญาติพี่น้องพึ่งไม่ได้เลย ๑ เป็นปุตตะ มีลูกชายก่อนจึงจะต้องโฉลก ๒ เป็นอริ มีศัตรูเป็นหญิง คอยตามเบียดเบียน ๓ เป็นปัตตะนิ จะได้ภรรยาผิวเนื้อดำแดง เป็นคนรู้หลักนักปราชญ์ มีความคิดดี รู้ทันคน มักจะเป็นบุตรกำพร้า แต่เป็นคนมีทรัพย์

 


            คนเกิดเดือนห้า  ผู้ใดเกิดเดือนห้า ๕ เป็นตนุ ผู้นั้นผิวดำแดง ท้องใหญ่ นัยตาโต ๖ เป็นกดุมภะ ต่อไปกลางคนจะได้ดีกว่าคนทั้งปวง ๗ เป็นสหัชชะ คบคนผิวดำแดงจะดี ๑ เป็นพันธุ มีพี่น้องเผ่าพันธุ์มาก แต่พึ่งไม่ได้ เมื่อน้อยมีเข็ญใจ แต่ต่อไปภายหน้าจะมีบุญ ๒ เป็นปุตตะ มีลูกหญิงก่อนจึงจะดี จะมีบุญ ๓ เป็นอริ จะมีศัตรูเป็นชายผมหยองปากเบี้ยว ๔ เป็นปัตตะนิ จะได้ภรรยาเป็นคนผิวเหลือง มีปัญญา ใจบุญ ต่อไปภายหน้าจะมีบุญ

 


            คนเกิดเดือนหก  ผู้ใดเกิดเดือนหก ๖ เป็นตนุ เจรจาสามหาว ปากกล้า รูปร่างค่อนข้างสูง ๗ เป็นกดุมภะ เมื่อกลางคนจะเข็ญใจ ๑ เป็นสหัชชะ มักพอใจคบหาสมณชีพราหมณ์ ใจบุญ แต่มักอาภัพ ๒ เป็นพันธุ พึ่งญาติมิใคร่ได้ ๕ เป็นปุตตะ ถ้ามีลูกชายก่อนเป็นคนเข็ญใจ พึ่งมิใคร่ได้ มีลูกหญิงก่อนดี แต่เมื่อน้อยจะเลี้ยงยาก ๔ เป็นอริ จะมีศัตรูเป็นหญิงผิวดำแดง ที่หน้าผากเป็นแผลเป็น ๕ เป็นปัตตะนิ ได้ภรรยาเป็นคนสูงอายุ หรือมิฉะนั้นจะเป็นหญิงหม้าย มีผิวขาวเหลือง อยู่ทางทิศอาคเณย์

 


            คนเกิดเดือนเจ็ด  ผู้ใดเกิดเดือนเจ็ด ๗เป็นตนุ มีผิวตัวแดง ผมหยักศก ๑ เป็นกดุมภะ เป็นคนมีทรัพย์ เจรจาปากกว้าง ๒ เป็นสหัชชะ คบเพื่อน เพื่อนมักรักใคร่เอ็นดู มักเป็นคนชอบเรียนวิชาความรู้ เป็นคนฉลาด มีพี่น้องพึ่งมิได้ มีแต่จะเบียดเบียนตน อาภัพพี่น้อง ๓ เป็นพันธุ ผู้นั้นเจรจาเป็นที่ชอบใจแก่คนทั้งหลาย ๔ เป็นปุตตะ มีบุตรหญิงก่อนจึงจะดี แต่ว่าเลี้ยงยาก ถ้ามีลูกชายก่อนมิสู้ดี ๕ เป็นอริ มีศัตรูเป็นหญิงผิวขาวเหลือง ถ้าเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ๖ เป็นปัตะนิ จะได้ภรรยารูปร่างสูง ผมสลวย อยู่ทางทิศอิสาน

 


            คนเกิดเดือนแปด  ผู้ใดเกิดเดือนแปด ๑ เป็นตนุ จะได้ทรัพย์สมบัติจากญาติพี่น้อง และจากพ่อแม่ ๒ เป็นกดุมภะ เป็นคนมีทรัพย์เจรจาปากกว้าง ๓ เป็นสหัชชะ คบคนผิวดำแดงจึงจะต้องโฉลก ๔ เป็นพันธุ จะได้ดีเพราะผู้อื่น เมื่อมีผู้ขอไปเลี้ยง ๕ เป็นปุตตะ ถ้ามีลูกหญิงก่อนมีผิวขาวเหลือง เป็นคนรู้หลักนักปราชญ์ เจรจาไพเราะ ถ้ามีลูกชายก่อน มีน้ำใจกล้าหาญ พ่อแม่พี่น้องจะได้พึ่ง ๖ เป็นอริ จะมีศัตรูเป็นหญิงนมยาน ถ้าเป็นชายผมหยอง นัยตาเหลือง ๗ เป็นปัตตะนิ จะได้หญิงหม้ายเป็นภรรยา หรือมิฉะนั้นก็จะเป็นหญิงที่มีอายุแก่กว่า อยู่ทางทิศอุดร หรือทิศหรดี เป็นคนใจร้าย

 


            คนเกิดเดือนเก้า  ผู้ใดเกิดเดือนเก้า ๒ เป็นตนุ จะมีขอเอาไปเลี้ยง ครั้นเติบใหญ่พี่น้องจะได้พึ่ง ๓ เป็นกดุมภะ เมื่อหนุ่มมีทรัพย์ ครั้นแก่ลงจะเข็ญใจ ๔ เป็นสหัชชะ คบคนผิวขาวจึงจะดี ๕ เป็นพันธุ จะได้พึ่งญาติพี่น้อง และท่านผู้อื่น ๖ เป็นปุตตะ มีลูกหญิงก่อนจึงจะดี เมื่อคลอดบิดามารดาจะได้ลาภ ถ้าเป็นชายก่อนมิดี ๗ เป็นอริ มีศัตรูเป็นคนผิวดำแดง ถ้าเป็นหญิงรูปร่างสูงโปร่ง ๑ เป็นปัตตานิ จะได้ภรรยามีรูปร่างงาม และผิวเนื้อดำแดง อยู่ทางทิศบูรพา หรือทิศปราจิม มักเป็นคนกลัวเมีย

 


            คนเกิดเดือนสิบ  ผู้ใดเกิดเดือนสิบ ๓ เป็นตนุ เมื่อน้อยจะมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง เป็นที่ชอบใจแก่สมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย มักจะผิดด้วยเมียท่าน ๔ เป็นกดุมภะ จะตั้งตัวได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เมื่อกลางคนจะมีบุญวาสนา ๕ เป็นสหัชชะ คบคนผิวขาวเหลืองจึงจะต้องโฉลก ๑ เป็นพันธุ จะไปในที่ใด ๆ มักมีผู้ยินดีต้อนรับทุกแห่งหน ๗ เป็นปุตตะ จะมีบุตรชายคนใจแข็ง ผิวดำ มีความคิดเฉลียวฉลาด เมื่อน้อยเลี้ยงยาก ครั้นเติบใหญ่พ่อแม่จะเข็ญใจ ถ้ามีลูกหญิงก่อนมิสู้ดี ๑ เป็นอริ มีศัตรูมาก หรือมิฉะนั้นจะเป็นความ หรือเจ็บไข้ได้ทุกข์ต่าง ๆ และมักจะจากที่อยู่เดิม ๒ เป็นปัตตานิ จะได้ทรัพย์สมบัติจากญาติพี่น้อง และบิดามารดา จะได้ภรรยาเป็นคนผิวเหลือง รูปร่างบางอยู่ทางทิศบูรพา

 


            คนเกิดเดือนสิบเอ็ด  ผู้ใดเกิดเดือนสิบเอ็ด ๔ เป็นตนุ ผู้นั้นผิวเนื้อดำแดงหรือขาว เป็นคนเก็บทรัพย์ได้ดี รู้จักใช้จ่ายทรัพย์ ๕ เป็นกดุมภะ จะมีบูญวาสนาก็เพราะตัวของตัวเอง ๖ เป็นสหัชชะ คบคนผิวเนื้อดำแดงจึงจะต้องโฉลก ๗ เป็นพันธุ พึ่งญาติพี่น้องไม่ได้เลย ๑ เป็นปุตตะ มีลูกชายก่อนจึงต้องโฉลก และบุตรนั้นจะมีบุญ พ่อแม่จะได้พึ่ง ถ้ามีลูกหญิงก่อนมิสู้ดี ๒ เป็นอริ จะได้ภรรยามีผิวเนื้อดำแดง เป็นคนรู้หลักนักปราชญ์ มีความคิด รู้ทันคน มักเป็นบุตรกำพร้า เป็นคนมีทรัพย์

 


            คนเกิดเดือนสิบสอง  ผู้ใดเกิดเดือนสิบสอง ๕ เป็นตนุ มีผิวดำแดง ท้องใหญ่ นัยตาโต ๑ เป็นกดุมภะ ต่อไปกลางคนจะได้ดีกว่าคนทั้งปวง ๗ เป็นสหัชชะ คบคนผิวดำแดงจะดี ๑ เป็นพันธุ มีพี่น้องเผ่าพันธุ์มาก แต่พึ่งไม่ได้ เมื่อน้อยเข็ญใจ ต่อไปภายหน้าจะมีบุญวาสนา ๒ เป็นปุตตะ มีลูกหญิงก่อนจะมีบุญ ๓ เป็นอริ มีศัตรูเป็นชาย ผมหยอง ปากเบี้ยว ๔ เป็นปัตตะนิ จะได้ภรรยาเป็นคนผิวขาวเหลือง มีปัญญา ใจบุญ ต่อไปภายหน้า จะมีอำนาจวาสนาแล

การหาเวลาวางลัคน์และการเรียงยาม 
            ตำราเลขเจ็ดตัว เป็นพื้นฐานที่โบราณาจารย์ได้สร้างขึ้นไว้เป็นเบื้องต้นในหลักตำราพยากรณ์ โดยได้มาจากการโคจรของดาวเจ็ดดวงบนท้องฟ้า จับเอาระยะการโคจรของดาว จากช้าที่สุดจนถึงเร็วที่สุดคือ 
            ๗ - ดาวเสาร์ (เสาร์)          ๕ - ดาวพฤหัสบดี (ครู)    ๓ - อังคาร (ภุมมะ) 
            ๑ - ดวงอาทิตย์ (สุริชะ)     ๖ - ดาวศุกร์ (ศุกระ)        ๔ - ดาวพุธ (พุธะ) 
            ๒ - ดาวจันทร์ (จันเทา) 
            และกำหนดเอาชื่อดาวทั้งเจ็ดดวงนี้เป็นชื่อวันทั้งเจ็ด คือสัปดาห์หนึ่งโดยถอดเอาตัวกลาง คือ ๑ - อาทิตย์ (สุ ริชะ) ไปอีกทีละสี่ก็จะได้ ๒ - จันทร์ (จันเทา) และนับจากจันทร์ออกไปอีกสี่ ก็จะได้ ๓ - อังคาร (ภุมมะ) นับทำนองนี้เรื่อยไปจนครบทั้งเจ็ดดาว  ก็จะได้ชื่อวันครบทั้งเจ็ดวัน มีชื่อตามที่เรียกว่า อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ ตามลำดับ 
            ในหนึ่งวันแบ่งออกเป็นชั่วโมง โดยคิดจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก เป็นระยะเวลา ๑๒ ชั่วโมง จากดวงอาทิตย์ตกไปถึงดวงอาทิตย์ขึ้นอีก ๑๒ ชั่วโมง รวมเป็น ๒๔ ชั่วโมง 
            ตามวิชาโหราศาสตร์ กำหนดการนับวันโดยถือดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ คือจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นไปจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นหนึ่งวัน ไม่ได้ใช้เวลา ๒๔ นาฬิกา อย่างที่ใช้กันอยู่เป็นสากล 
            ในภาคกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง และภาคกลางคืนอีก ๑๒ ชั่งโมง แต่ละภาคแบ่งออกเป็นแปดยาม แต่ละยามจะเท่ากับ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ยามทั้งแปดทั้งภาคกลางวัน และภาคกลางคืน มีชื่อเรียกโดยกำหนดเอาชื่อของวันนั้นเป็นยามแรก แต่เนื่องจากมีแปดยามและมีเจ็ดวัน ดังนั้นในยามสุดท้ายคือยามแปด จึงกลับไปใช้ชื่อยามแรกดังนี้ 
            ยามกลางวัน วันอาทิตย์

เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
แรกหรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
พุธะ
(๔)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น. 
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น. 
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
แปด

            วันจันทร์
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
แรก หรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
 เสาร์ 
(๗)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
แปด

            วันอังคาร
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
แรก หรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๒)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
แปด

            วันพุธ
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
แรกหรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
แปด

            วันพฤหัสบดี
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
แรกหรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
แปด

            วันศุกร์
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
แรก หรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
สาร์
(๗)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
เสุวิชะ
(๑)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
แปด

            วันเสาร์
เวลา
๐๖.๐๐ น.
ถึง
๐๗.๐๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
แรก หรือยามหนึ่ง
เวลา
๐๗.๓๐ น.
ถึง
๐๙.๐๐ น.
เป็นยาม
ครู
(๕)
คือยาม
สอง
เวลา
๐๙.๐๐ น.
ถึง
๑๐.๓๐ น.
เป็นยาม
ภุมมะ
(๓)
คือยาม
สาม
เวลา
๑๐.๓๐ น.
ถึง
๑๒.๐๐ น.
เป็นยาม
สุวิชะ
(๑)
คือยาม
สี่
เวลา
๑๒.๐๐ น.
ถึง
๑๓.๓๐ น.
เป็นยาม
ศุกระ
(๖)
คือยาม
ห้า
เวลา
๑๓.๓๐ น.
ถึง
๑๕.๐๐ น.
เป็นยาม
พุธ
(๔)
คือยาม
หก
เวลา
๑๕.๐๐ น.
ถึง
๑๖.๓๐ น.
เป็นยาม
จันเทา
(๒)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๑๖.๓๐ น.
ถึง
๑๘.๐๐ น.
เป็นยาม
เสาร์
(๗)
คือยาม
แปด

            ยามกลางคืน  การนับยามกลางคืน ต้องเปลี่ยนวิธีนับใหม่ ไม่เหมือนยามกลางวัน คือเริ่มต้นด้วย ระวิ (๑) ชีโว (๕) ศะศิ (๒) ภุมโม (๓) โสโร (๗) พุโธ (๔) และระวิ (๑) 
            วันอาทิตย์
เวลา
๐๘.๐๐ น.
ถึง
๑๙.๐๐ น.
เป็นยาม
ระวิ
(๑)
คือยาม
หนึ่ง
เวลา
๑๙.๓๐ น.
ถึง
๒๑.๐๐ น.
เป็นยาม
ชีโว
(๕)
คือยาม
สอง
เวลา
๒๑.๐๐ น.
ถึง
๒๒.๓๐ น.
เป็นยาม
ศะศิ
(๒)
คือยาม
สาม
เวลา
๒๒.๓๐ น.
ถึง
๒๔.๐๐ น.
เป็นยาม
ศุกโร
(๖)
คือยาม
สี่
เวลา
๒๔.๐๐ น.
ถึง
๐๑.๓๐ น.
เป็นยาม
ภุมโม
(๓)
คือยาม
ห้า
เวลา
๐๑.๓๐ น.
ถึง
๐๓.๐๐ น.
เป็นยาม
โสโร
(๗)
คือยาม
หก
เวลา
๐๓.๐๐ น.
ถึง
๐๔.๓๐ น.
เป็นยาม
พุโธ
(๔)
คือยาม
เจ็ด
เวลา
๐๔.๓๐ น.
ถึง
๐๖.๐๐ น.
เป็นยาม
ระวิ
(๑)
คือยาม
แปด

            วันจันทร์  ยามหนึ่งเป็นยาม ศะศิ (๒) ยามสองเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามสามเป็นยาม ภุมโม (๓) ยามสี่เป็นยาม โสโร (๗) ยามห้าเป็นยาม พุโธ (๔) ยามหกเป็นยาม ระวิ (๑) ยามเจ็ดเป็นยาม ชีโว (๕) ยามแปดเป็นยาม ศะศิ (๒) 
            วันอังคาร  ยามหนึ่งเป็นยาม ภุมโม (๓) ยามสองเป็นยาม โสโร (๗) ยามสามเป็นยาม พุโธ (๔) ยามสี่เป็นยาม ระวิ (๑) ยามห้าเป็นยาม ชีโว (๕) ยากหกเป็นยาม ศะศิ (๒) ยามเจ็ดเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามแปดเป็นยาม ภุมโม (๓) 
            วันพุธ  ยามหนึ่งเป็นยาม พุโธ (๔) ยามสองเป็นยาม ระวิ (๑) ยามสามเป็นยาม ชีโว (๕) ยามสี่เป็นยาม ศะศิ (๒) ยามห้าเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามหกเป็นยาม ภุมโม (๓) ยามเจ็ดเป็นยาม โสโร (๗) ยามแปดเป็นยาม พุโธ (๔) 
            วันพฤหัสบดี  ยามหนึ่งเป็นยามชีโว (๕) ยามสองเป็นยาม ศะศิ (๒) ยามสามเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามสี่เป็นยาม ภุมโม (๓) ยามห้าเป็นยาม โสโร (๙) ยามหกเป็นยาม พุโธ (๔) ยามเจ็ดเป็นยาม ระวิ (๑) ยามแปดเป็นยาม ชีโว (๕) 
            วันศุกระ  ยามหนึ่งเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามสองเป็นยาม ภุมโม (๓) ยามสามเป็นยาม โสโร (๗) ยามสี่เป็นยาม พุโธ (๔) 
ยามห้าเป็นยาม ระวิ (๑) ยามหกเป็นยาม ชีโว (๕) ยามเจ็ดเป็นยาม ศะศิ (๒) ยามแปดเป็นยาม ศุกโร (๖) 
            วันเสาร์  ยามหนึ่งเป็นยาม โสโร (๗) ยามสองเป็นยาม พุโธ (พุธ) ยามสามเป็นยาม ระวิ (๑) ยามสี่เป็นยาม ชีโว (๕) ยามห้าเป็นยาม ศะศิ (๒) ยามหกเป็นยาม ศุกโร (๖) ยามเจ็ดเป็นยาม ภุมโม (๓) ยามแปดเป็นยาม โสโร (๗) 

 

การนับยามตามห้วงเวลาในรอบ ๒๔ ชั่วโมง ของแต่ละวัน
เวลา
ยาม
อาทิตย์
จันทร์
อาคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
หมายเหตุ
๐๖๐๐ - ๐๗๓๐
ยามกลางวัน
๐๗๐๐ - ๐๙๐๐
ยามกลางวัน
๐๙๐๐ - ๑๐๓๐
ยามกลางวัน
๑๐๓๐ - ๑๒๐๐
ยามกลางวัน
๑๒๐๐ - ๑๓๓๐
ยามกลางวัน
๑๓๓๐ - ๑๕๐๐
ยามกลางวัน
๑๕๐๐ - ๑๖๓๐
ยามกลางวัน
๑๖๓๐ - ๑๘๐๐
ยามกลางวัน
๑๘๐๐ - ๑๙๓๐
ยามกลางคืน
๑๙๓๐ - ๒๑๐๐
ยามกลางคืน
๒๑๐๐ - ๒๒๓๐
ยามกลางคืน
๒๒๓๐ - ๒๔๐๐
ยามกลางคืน
๒๔๐๐ - ๐๑๓๐
ยามกลางคืน
๐๑๓๐ - ๐๓๐๐
ยามกลางคืน
๐๓๐๐ - ๐๔๓๐
ยามกลางคืน
๑๔๓๐ - ๐๖๐๐
ยามกลางคืน


สมพงษ์ในดวงชาตา 
            การพิจารณาดูสมพงษ์ของหญิงชาย ให้ดูที่ลัคนาและที่จันทร์ ในดวงชาตาของคนทั้งสองนั้น ถ้าลัคนาและจันทร์อยู่ร่วมกัน จะมีความเจริญรุ่งเรืองดีนัก 
            ดาวที่เป็นคู่มิตรกันคือ อาทิตย์ (๑) เป็นมิตรกับครู (๕) จันทร์ (๒) โฉมตรู พุธ(๔) นงเยาว์ ศุกร์ (๖) ปากหวาน อังคาร (๓) รับเอา เสาร์ (๗) กับราหู (๘) เป็นคู่มิตรกัน 
            ดาวที่เป็นคู่ศัตรูกันคือ อาทิตย์ (๑) ผิดกับ อังคาร (๓) พุธ (๔) อันธพาล วิวาทกับราหู (๘) ศุกร์ (๖) กับเสาร์ (๗) เป็นเสี้ยนศัตรูกัน จันทร์ (๒) กับครู (๕) เป็นอริต่อกัน 
พระเคราะห์โคจรต้องกัน 
            พระอาทิตย์จร  อาทิตย์จร ถึง อาทิตย์กำเนิด จะได้ความเดือนร้อน ศัตรูจะปองร้าย ทำโทษ และจะเสียทรัพย์ 
                อาทิตย์จร ถึง จันทร์กำเนิด     ห้ามทำการวิวาห์ จะเกิดการวิวาทกัน การนั้นมิทันจะแล้ว 
                อาทิตย์จร ถึง อังคารกำเนิด     ไฟจะไหม้ โจรจะลักทรัพย์ หรือมิฉะนั้นลูกเมียจะตาย 
                อาทิตย์จร ถึง พุธกำเนิด     ขุนนางท้าวพระยาจะบูชาด้วยลาภสักการอันพึงใจ 
                อาทิตย์จร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     จะได้ลาภแห่งครูอาจารย์ แต่ให้เกรงภัยข้างทิศอิสาน คนพาลจะเอาผิด 
                อาทิตย์จร ถึง ศุกร์กำเนิด     ไปทิศประจิมจะเกิดลาภแต่สำนักมิตรสหาย และท้าวพระยาจะให้ลาภ ถ้าไปค้าขายจะได้กำไรงาม 
                อาทิตย์จร ถึง เสาร์กำเนิด     จะได้รับความเดือดร้อน หูตาจะมืดมัว 
                อาทิตย์จร ถึง ราหูกำเนิด     จะเจ็บไข้ไม่สบาย จะจากที่อยู่ที่กิน 
               พระอาทิตย์จรต้อง ลัคน์     จะจากที่อยู่ จะเจ็บหัวมัวตา เลือดจะตกยางจะออก จะเสียทรัพย์สิน 
            พระจันทร์จร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     จะเกิดผิดพ้องหมองใจกันกับลูกเมียผู้คน 
                พระจันทร์จร ถึง จันทร์กำเนิด     จะได้ลาภมาก จะมีคนนำลาภมาให้ 
                พระจันทร์จร ถึง อังคารกำเนิด     ลูกเมียที่รักจะเอาใจออกห่างมีชู้ และจะให้ชู้ฆ่าเราเสีย 
                พระจันทร์จร ถึง พุธกำเนิด     จะได้เงินทองมาก สมกับความปรารถนา 
                พระจันทร์จร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     จะได้สุขแล้วกลับได้ทุกข์ภายหลัง ให้เกรงหญิงชายจะคิดทำร้าย ทำโทษให้ถึงชีวิต มิฉะนั้นจะเสียทรัพย์ และจะจากที่อยู่ 
                พระจันทร์จร ถึง ศุกร์กำเนิด     โจรจะฆ่าฟันเอาทรัพย์ จะเกิดความกัน แล้วภายหลังจะได้ลาภผล 
                พระจันทร์จร ถึง เสาร์กำเนิด     จะเกิดวิวาทกัน เกิดโจรภัย อัคคีภัย จะจากบ้าน ลูกเมียข้าไท 
                พระจันทร์จร ถึง ราหูกำเนิด     จะร้อนอกดุจไฟสุม ถ้าล้มเจ็บไข้จะตาย จะจากลูกเมีย 
                พระจันทร์จร ถึง เกตุกำเนิด     จะเกิดเหตุเพราะมูลนายคิดทำโทษ 
                พระจันทร์จะต้องลัคน์     จะมีคนมาบูชาด้วยลาภ มีของกินเป็นต้น 
            พระอังคารจร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     ไฟจะไหม้ จะเกิดโรคภัยเพราะศัตรู จะต้องเขี้ยวงาบาดเจ็บ 
                พระอังคารจร ถึง จันทร์กำเนิด     จะมีโชคดีข้างทิศอุดร 
                พระอังคารจร ถึง อังคารกำเนิด     จะเกิดกุลีใหญ่ อันตรายจะราวี จะไม่มีความสุข 
                พระอังคารจร ถึง พุธกำเนิด     จะเกิดโรค 
                พระอังคารจร ถึง พฤหัสบดี     จะผิดด้วยหญิงดำแดง 
                พระอังคารจร ถึง ศุกร์กำเนิด     จะได้ลาภสมปรารถนา ลาภนั้นมิตรสหาย เจ้านาย ขุนนางผู้ใหญ่จะชักนำมาให้ 
                พระอังคารจร ถึง เสาร์กำเนิด     จะเกิดอุบาทว์ 
                พระอังคารจร ถึง ราหูกำเนิด     จะเกิดวิวาทบาดหมางใจกัน 
                พระอังคารจร ถึง เกตุกำเนิด     จะได้ลาภสมปรารถนา 
                พระอังคารจะต้องลัคน์     คนดำจะทำโทษ 
            พระพุธจร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     จะได้ลาภข้าวของเงินทอง สมปรารถนา 
                พระพุธจร ถึง จันทร์กำเนิด     จะมีผู้ชักนำให้ได้ลาภเงินทอง เพราะเพื่อนฝูง 
                พระพุธจร ถึง อังคารกำเนิด     จะเกิดโทษให้เร่งระวัง 
                พระพุธจร ถึง พุธกำเนิด     อย่าไปทางทิศเหนือ จะมีศัตรูทำร้ายในวันนั้น 
                พระพุธจร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     จะตกใจ และจะได้ลาภอันพึงใจ 
                พระพุธจร ถึง ศุกร์กำเนิด     จะถูกเขี้ยวงา หมาจะกัด 
                พระพุธจร ถึง เสาร์กำเนิด     จะติดใจกับพงษ์พันธุ์ ญาติพี่น้อง ห้ามไปไหนเลย 
                พระพุธจร ถึง ราหูกำเนิด     จะมีคนอิจฉา ทำโทษ 
                พระพุธจร ถึง เกตุกำเนิด     จะถูกบาดเจ็บด้วยเขี้ยวงา 
                พระพุธจรต้องลัคน์    หญิงที่จองเวรจะทำร้าย 
            พระพฤหัสบดีจร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     จะมีลาภด้วยขุนนางท้าวพระยา 
                พระพฤหัสบดี ถึง จันทร์กำเนิด     ในเดือนนั้น จะมีหญิงทำร้ายให้ตาย ถ้าเป็นชีจะพาลว่าข่มขืนมัน และมันจะฆ่าให้ตายจากพระเสียเลย 
                พระพฤหัสบดี ถึง อังคารกำเนิด     ในเดือนนั้น จะเกิดทุกข์ 
                พระพฤหัสบดี ถึง พุธกำเนิด     ในเดือนนั้น จะได้ลาภเงินทองผู้คน สำเร็จสมปรารถนา 
                พระพฤหัสบดี ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     ในเดือนนั้น จะเกิดลาภผล ไปทางไกลจะได้เมีย 
                พระพฤหัสบดี ถึง ศุกร์กำเนิด     ในเดือนนั้น จะได้เมีย 
                พระพฤหัสบดี ถึง เสาร์กำเนิด     ในเดือนนั้น จะเกิดโรค และจะจากลูกเมีย 
                พระพฤหัสบดี ถึง ราหูกำเนิด     ในเดือนนั้น จะต้องจองจำ จะจากเคหสถาน จะเสียทรัพย์สิน จะได้ความเดือดร้อนรำคาญ 
                พระพฤหัสบดี ถึง เกตุกำเนิด     ในเดือนนั้น จะเสียทรัพย์ จะได้ความเดือดร้อน 
               พระพฤหัสบดีจะต้องลัคน์     ในเดือนนั้น ขุนนางจะทำโทษให้เกรงโจร ขโมย ถ้าเป็นพระสงฆ์จะจากหมู่คณะไป จะเป็นไข้ผิดใจกับศัตรู 
            พระศุกร์จร  ถึง อาทิตย์กำเนิดในปีนั้น     สหายจะบูชา ครูอาจารย์จะให้ลาภ ชาตาจะฟูในปีนั้น 
                พระศุกร์จร ถึง จันทร์กำเนิดในปีนั้น     จะสมบูรณ์ เกิดลาภสมดังใจปอง 
                พระศุกร์จร ถึง อังคารกำเนิดในปีนั้น     ทำราชการจะเกิดลาภ และยศศักดิ์ได้เฝ้าท้าวพระยาขุนนางจะสมใจ 
                พระศุกร์จร ถึง พุธกำเนิดในปีนั้น     จะได้ลาภใหญ่ 
                พระศุกร์จร ถึง พระพฤหัสบดีกำเนิดในปีนั้น     จะมีเมีย 
                พระศุกร์จร ถึง ศุกร์กำเนิดในปีนั้น     ไปทางไกลจะได้เมีย 
                พระศุกร์จร ถึง เสาร์กำเนิดในปีนั้น     จะถูกทุกข์โศกกระทบ ศัตรูจะย่ำยีทำร้าย 
                พระศุกร์จร ถึง ราหูกำเนิดในปีนั้น     ผีจะโกรธ จำทำโทษ 
                พระศุกร์จร ถึง เกตุกำเนิดในปีนั้น     จะได้ลาภของขาวเหลือง เพราะขุนนาง 
                พระศุกร์จะต้องลัคน์     กำเนิดในปีนั้น  จะได้ลาภเหลือหลายทางทิศบูรพา และจะอยู่เย็นเป็นสุข 
            พระเสาร์จร  ถึง อาทิตย์กำเนิดในวันนั้น     เป็นวันเคราะห์ร้ายหลายประการ จะเกิดถ้อยความ จะมีศัตรูปองผลาญ อย่าประมาท จะถอยจากยศศักดิ์ และจะเสียทรัพย์ 
                พระเสาร์จร ถึง จันทร์กำเนิด     จะไม่สบาย จะเสียทรัพย์สูญหาย อุบาทว์จะมีมา ผู้คนลูกเมียจะตาย 
                พระเสาร์จร ถึง อังคารกำเนิด     จะเกิดกุลียุค เกิดอุบาทว์ และคนจะเบียดเบียน จะต้องเขี้ยวงา อสรพิษ จะได้เข็ญใจ 
                พระเสาร์จร ถึง พุธกำเนิด     จะมีลาภศัตรูแพ้อำนาจ 
                พระเสาร์จร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     จะได้ลาภเงินทอง ศัตรู จะปราชัย ข้าคนที่หนีหายจะกลับมา ถ้าเสียทรัพย์สินเงินไปก็จะได้คืนมา 
                พระเสาร์จร ถึง ศุกร์กำเนิด     จะเกิดพยาธิโรคา และศัตรูจะทำเข็ญ จะเจ็บตา ตาจะบอด 
                พระเสาร์จร ถึง เสาร์กำเนิด     จะได้รับความเดือดร้อน ศัตรูจะปองทำโทษ จะเสียทรัพย์ 
                พระเสาร์จร ถึง ราหูกำเนิด     จะมีโชคชัย ทำสิ่งใดจะประสิทธิ์ จะได้ลาภเงินทอง และมิตรสหาย 
                พระเสาร์จร ถึง เกตุกำเนิด     จะมีลาภสมปรารถนา จะได้ทรัพย์สินเงินทอง 
                พระเสาร์ต้องลัคน์     จะขุ่นข้องหม่นหมอง เพราะเสียทรัพย์สิ่งของ จะเกิดเหตุมหันต์ จะจากที่อยู่ 
            พระราหูจร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     ศัตรูจธทำโทษ จะเกิดวิวาท จะจากลูกเมีย 
                พระราหูจร ถึง จันทร์กำเนิด     จะเกิดขุ่นข้องหมองก่อนแล้วจะมีลาภมากเมื่อภายหลัง 
                พระราหูจร ถึง อังคารกำเนิด     ทรัพย์สินเงินทอง จะกำจัดสูญเสีย ไฟจะไหม้ เกิดอุบาทว์ 
                พระราหูจร ถึง พุธกำเนิด     จะเกิดภัยต้องราชทัณฑ์ จะเสียทรัพย์ 
                พระราหูจร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     ขุนนางจะให้ลาภ 
                พระราหูจร ถึง ศุกร์กำเนิด     จะเกิดผิดพ้องหมองใจกับคนในเรือน ไฟจะไหม้เรือน 
                พระราหูจร ถึง เสาร์กำเนิด     จะได้แก้วแหวนเงินทอง จะได้ทรัพย์สินทั้งปวงสมปรารถนา 
                พระราหูจร ถึง ราหูกำเนิด     อย่าเดินกลางคืน จะเสียทรัพย์ ไปหาเจ้านายจะกริ้วโกรธ จะทำโทษแก่ตน ให้เกรงไฟจะไหม้ คนจะหลอกลวงปองผลาญ ญาติจะตาย จะเกิดโรค 
                พระราหูจร ถึง เกตุกำเนิด     จะได้ลาภดุจดังพระเสาร์ 
                พระราหูจะต้องลัคน์    จะร้อนอกดังไฟเผา อย่ายินดีเชื่อฟังคำคน ทำคุณจะเป็นโทษเขาจะคิดทรยศแก่เรา 
            พระเกตุจร  ถึง อาทิตย์กำเนิด     จะมีความเดือดร้อน มูลนายจะเบียดเบียน 
                พระเกตุจร ถึง จันทร์กำเนิด     จะได้ทุกข์ และจะได้ลาภเมื่อภายหลัง 
                พระเกตุจร ถึง อังคารกำเนิด     ให้เกรงไฟจะไหม้ 
                พระเกตุจร ถึง พุธกำเนิด     จะต้องโซ่ตรวนขื่อคา ให้ระวังจงหนัก 
                พระเกตุจร ถึง พฤหัสบดีกำเนิด     จะได้ลาภ เพราะท้าวพระยาเจ้านาย และสมณชีพราหมณ์ 
                พระเกตุจร ถึง ศุกร์กำเนิด     จะมีลาภมาก 
                พระเกตุจร ถึง เสาร์กำเนิด     จะได้เงินทองมาก 
                พระเกตุจร ถึง ราหูกำเนิด     มิตรสหายเจ้านายจะบูชา จะได้อาภรณ์ และเงินทองมาก 
                พระเกตุจร ถึง เกตุกำเนิด     จะต้องราชทัณฑ์ จะเสียทรัพย์ 
                พระเกตุจรต้องลัคน์     จะเสียผู้คนข้าไท จะเจ็บป่วย 
ตำราทายเศษชาตากำเนิดพระจอมเกล้า 
            ให้เอา วัน เดือน ปี ของผู้นั้นบวกเข้าด้วยกัน วันนับวัน อาทิตย์ เป็นต้น เดือนนับเดือนอ้าย เป็นต้น ปีนับปีชวด เป็นต้น ได้จำนวนเท่าใด ถ้าเกิน ๑๑ ให้เอา ๑๐ หักออก เหลือเศษเท่าใด มีคำทำนาย ดังนี้ 
            เศษ ๑    เสาเรือนไหม้ ชาตาใคร ทั้งชายหญิง ไร้เรือนที่พักพิง ที่พึ่งพักพำนักเนาว์ จะร่อนเร่ระเหระหน เร่งเจียมตนอย่าดูเบา  เพราะว่าชาตาเราโทษประกอบจึงจะเกิดกรรม 
            เศษ ๒    จะครองไข้ มีโรคภัยจึงประจำ หยูกยาจำทำท่า บ่ถูกแท้จนแก่ตัว 
            เศษ ๓    มีความสบาย มีข้าควายและเกวียนวัว พอสมสกุลตัว เข้าที่ทายสถานกลาง 
            เศษ ๔    มีข้าครอก เอนกนอกคณานางค์ อุปถัมภ์ล้วนสำอางค์ บ่ไข้ชุกบ่ทุกข์เป็น 
            เศษ ๕    ชาตากลับทนทรัพย์ จะแสนเข็ญ ภายหลังชาตาเป็นทุนทรัพย์จะนับพัน 
            เศษ ๖    จะยกญาติเป็นเชื้อชาติประเสริฐสรร เงินตรายศถาพลัน ทุนทรัพย์ลำดับดี 
            เศษ ๗    นั้นผ้าขาด จะนุ่งใหม่ก็เต็มที พักตราย่อมราคี ระคายคับทั้งทรัพย์สิน 
            เศษ ๘    นั้นเปรื่องยศ จะปรากฏกระเดื่องดิน ทรัพย์ศฤงคารสถานถิน ทั้งอำนาจ และวาสนา 
            เศษ ๙    กินข้าวกลางตลาด เสมอชาติสุนักขา ถึงจะมีวาสนา ต้องประกอบทำการงาน แม้ตระกูลทลีทก ถึงตกต่ำก็บ่นาน ดั่งนักเลงสุราบาน พอขวนขวายใส่ท้องตน 
            เศษ ๑๐ ท่านสันนิษฐาน เหมือนนกแขกเต้า ทำรวงรังระวังฝน แสวงดีย่อมมีผล อย่าคลุกเคล้ากับเหล่าพาล เหมือนปักษีอันมีปีกรู้หลบหลีกธนูพราน ถ้าประมาทจะเสียการ จะชอกช้ำระกำกาย 
ตำราปลูกเรือน 
            สิทธิการิยะ ท่านกล่าวไว้ให้รู้ดีรู้ร้าย ถ้าจะปลูกเรือน ปลูกกุฏิ วิหาร ปลูกศาลา ปลูกปราสาท ปลูกจวน ปลูกทับ ปลูกโรงวัวโรงควาย โรงม้า โรงช้าง ปลูกครัวไฟ และปลูกโรงน้ำกิน ท่านให้ดูตามตำราก่อนดังนี้ 
     ปลูกเรือนตามเดือน 
            ถ้าปลูกเรือนในเดือนห้า ทุกข์เท่าฟ้าจะมาถึงตน เดือนนั้นไม่เป็นผล จะเกิดภัยอันตราย 
            ปลูกเรือนในเดือนหก เสียบำเหน็จสิ้นทั้งผอง ทรัพย์สินอันตนครอง เสียที่ตัวจะร้ายไฟ 
            ปลูกเรือนในเดือนแปด ให้ร้อนรนทุรนใจ สิ่งสินตนเท่าใด อาจได้มิคงทน 
            ปลูกเรือนในเดือนเก้า อีกข้าวของจะมากมี 
            ปลูกเรือนในเดือนสิบ จะฉิบหายต้องขื่อคา  ทั้งพยาธิจะมีฑา อันตรายจะปะปน 
            ปลูกเรือนในเดือนสิบเอ็ด เอาความเท็จมาใส่ตน เดือนนั้นมิเป็นผล จะเกิดภัยอันตราย 
            ปลูกเรือนในเดือนสิบสอง เงินและทองย่อมเหลือหลาย ช้างม้า และวัวควาย มีทั้งทาสีและทาสา 
            ปลูกเรือนในเดือนอ้าย ย่อมจะได้เป็นเศรษฐี สิ่งสินจะพูนมี เพราะเดือนนี้ก็เป็นผล 
            ปลูกเรือนในเดือนยี่ เมื่อดิถีก็ชอบกล ข้าศึกและแสนผล อาจจะกันทั้งศัตรู 
            ปลูกเรือนในเดือนสาม ภัยติดตามดุจอสูร ครั้นเมื่อถึงฤดูย่อมเกิดภัยอันตราย 
            ปลูกเรือนในเดือนสี่ เดือนนั้นมีสุขสบาย ทุกข์โศก บรรเทาหาย ย่อมพูนมา 
     วันที่ไม่ควรปลูกเรือน 
            ปลูกเรือนวันระวิร้อน รำคาญ จันทร์สวัสดิ์ภุมมาน มักร้าว พุธครูอยู่ในศานต์ ศุกร์สิท-ธิ แฮ ผิว์วันเสาร์สร้างโศกเศร้าโทรมสลาย
            ผิว์ปลูกเรือนวันอาทิตย์ จะเกิดทุกข์อุบาทว์ ผิว์ปลูกเรือนวันจันทร์ ทำแล้วสองเดือน จะได้ลาภผ้าผ่อนและของขาวเหลือง  ผิว์ปลูกเรือนวันอังคาร ทำแล้วสามเดือนจะเกิดเจ็บไข้ และไฟจะไหม้เรือน ผิว์ปลูกเรือนวันพุธ จะได้ลาภผ้าผ่อนอันดี ผิว์ปลูกเรือนวันพฤหัสบดี จะได้ความสุขสำราญ ทำแล้วห้าเดือนจะได้ลาภหนักหนา ผิว์ปลูกเรือนวันศุกร์ จะเกิดโรคาพยาธิ และเลือดจะตก ยางจะออก ทำแล้วได้สี่เดือน จะไข้ลำบาก อย่าได้ทำเลย มิดีแล 
            ดูที่สูงที่ต่ำ  สิทธิการิยะ ถ้าที่ใด สูงข้างตะวันออก ต่ำข้างตะวันตก ท่านว่าอย่าอยู่เลย มิดี ที่ใดสูงข้างประจิม ต่ำข้างคาคเณย์ ดีนักแล ที่ใดสูงทักษิณ ชื่อศุภราช ดีนัก สูงหรดี ต่ำพายัพ ดี สูงทักษิณ ต่ำอิสาน ดี สูงประจิม ต่ำบูรพา ที่นั้นผู้มีบรรดาศักดิ์ อยู่ดี สูงทักษิณ ต่ำอุดร ดี สูงพายัพ ต่ำอาคเณย์ ดี ถ้าที่สูงรอบๆ ต่ำกลางเหมือนใบบัว อยู่เถิด ดีนักแล ท่านกล่าวไว้ในตำหรับโลกทั้งปวงจะสร้างบ้าน ปลูกเรือน เร่งพิจารณาดูพื้นที่อยู่ทั้งแปดทิศเถิด จะเจริญรุ่งเรืองแล 
            สิ่งที่ห้ามในการปลูกเรือน  อนึ่ง ท่านห้ามมิให้เอาเลื่อยลินตาเสา  ไม่ให้เอากบไสเสา ตีเสาตั้งอย่าให้เสมอรอด ขื่ออย่าให้ใหญ่กว่าหัวเสา อย่าให้ตัวเสาเกินกับ อย่าลดหัวเสาให้สั้นกว่ากัน รอดระเบียงให้เล็กกว่ารอดเรือนใหญ่ อย่าให้บั่นให้เพล่ ห้องเรือนเป็นเลห์ อย่าทำเรือนนอกแตก อย่าแหวกช่องกลางที่นอน อย่าทำเรือนคล่อมตอ อย่าคล่อมต้นไม้ มิดี ทั้งนี้ชั่วชื่อ ทนสมุทร แล 
            ถ้าจะทำเรือน เอาต้นไม้ไว้ตะวันตก เอาปลายไม้ไว้ตะวันออก เอาต้นไม้ไว้ข้างใต้เอาปลายไม้ไว้ข้างเหนือ อันนี้เรียกว่าปลูกเรือนเป็น แล 
            เรือนหลังหนึ่งอย่าทำประตูสี่แห่ง อย่าทำหน้าต่างเก้าแห่ง เป็นทวารทั้งเก้า และ ประตูบ้านอย่าทำให้ตรงเรือนชื่อปิดทวาร มิดี แล 
            ถ้าจะปลูกเรือน วัดแต่ดินขึ้นไปถึงรอดเท่าเดี่ยว (ส่วนสูงของเรือนตั้งแต่พื้นถึงเพดาน) ดีนัก แล ถ้าเดี่ยวสูงกว่าพื้น แพ้เจ้าเรือนถ้าพื้นสูงกว่าเดี่ยวไร้ทรัพย์ แล ถ้าจะเจาะรูรอด วัดเสาลดสามส่วน เอาส่วนหนึ่งเป็นรอด แล 
            ถ้าจะทำประตู เอาสามชั่วฝ่าเท้าเป็นกว้าง สูงนั้นเอาสองชั่วกว้างทบเข้าสิบเอ็ดส่วน เอาสิบส่วนดีนัก แล 
            ถ้าจะทำประตูบ้าน เอากว้าง และยาวประสมกันเข้าเอา ๓ คูณ ๘ หาร ถ้าได้เศษ ๑,๒,๓,๔ ดีนัก และ ถ้าได้เศษ ๔,๕,๖ จะเสียทรัพย์ ถ้าได้ ๕ ชั่วกว่าเท้า ดีนัก แล 
            ต้นไม้ที่ห้ามปลูกในบ้าน  สิทธิการิยะ อันต้นไม้ที่ห้ามปลูกในบริเวณบ้านนั้นคือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นตาล ต้นมะกอก ต้นสำโรง ต้นมะงั่ว ต้นระกำ ต้นหวาย และต้นสลัดได เมื่อจะปลูกเรือนท่านให้ถางทิ้งเสียให้หมด จึงจะดี แล 
            ทิศที่ปลูกไม้เป็นมงคล  สิทธิการิยะ ถ้าผู้ใดปรารถนาจะปลูกต้นไม้ให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้เกิดสิริมงคล ท่านให้ปลูกต้นไม้ต่อไปนี้ ในทิศต่าง ๆ ดังนี้ 
            ทิศบูรพา ให้ปลูกต้นไผ่ ต้นกุ่ม และต้นมะพร้าว ทิศอาคเณย์ ปลูกต้นยอ และสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกต้นมะม่วง และต้นพลับ ทิศหรดี ท่านให้ปลูกต้นชัยพฤกษ์ ต้นขนุน ต้นพิกุล ทิศประจิม ให้ปลูกต้นมะขาม มะยม ทิศพายัพ ให้ปลูกต้นมะกรูด ทิศอุดรให้ปลูกต้น พุดซา และหัวว่านต่าง ๆ ทิศอิสาน ให้ปลูกต้นทุเรียน และขุดบ่อลงไว้ ผู้ใดทำได้ดังกล่าวนี้จะอยู่เย็นเป็นสุข จะเกิดทรัพย์สินเงินทอง ดีนัก 
อภิไทโภธิบาทว์ 
            อุบาทว์พระอินทร์  ผิว์ฟ้าผ่าพสุธา ผ่าพระทวารา พระมณเฑียรราชปราสาท ผ่าพฤกษารักษ์พินาศ ผ่าโรงอัศวชาติ และโรงคเชนทร พระภู - ๑ ราชตฤณทรอินทรธนู รัศมีสว่างดูประจักษ์ในพื้นอากาศ  อนึ่งองค์บพิตรพลั้งพลาด ตกเตียงราชอาสน์ คานหามคเชนทร พาชี หนึ่งโสดท้าวไทยินดี อยู่ในไพรพนาลี ละพระมณเฑียรวัง หนึ่งมุขมนตรีชัง ชิงกันดีหวัง วิวาททวนวุ่นวาย หนึ่งปราญชญ์ และญาติทั้งหลาย  ผิดกันมั่นหมาย บ่ ควรคิดแค้นเคืองคา หนึ่งสัตว์ในป่าหล้ามา เข้าเขตนครา หนึ่งโคละเสียคอกเคย หนึ่งวัวตัวเมียขึ้นเกยตัวผู้ หวังเชยเมถุนกวนกามกล หนึ่จวักหักในมือตน หนึ่งไพร่ร้อนรน รำคาญ บ่เคหา อุบาทว์เหล่านี้อินทรา ผู้มีมหึมา สำแดงพระเคราะห์ แก่นรชน เกิดแก่ผู้ใดเร่งรน บูชาด้วยมนต์ บังคับพลีการทั้งผอง แก้วแหวนแพรพรายเงินทอง ธูปเทียนตระกอง สุคนธมาลาพรรณ ลาชาผลาผลทุกอัน ในเวทย์มหันต์มหาประเสริฐบูชา ภักดีเดียว อาจให้ทรา ทรุดโทษคณา เป็นคุณศรีศุภผล ในลักษณ์อักษรพระมนต์ อุปเทศนิพนธ์ ดังนี้จะได้เห็น 
            อุบาทว์พระเพลิง  ผิว์แผ่นดินครอก ออกเป็นคลองร่องให้เป็น ในท่ามกลางนครประจักษ์ หนึ่งเสโลโตมรขรรค์ บ่มิพอที่จะหัก แลมาหักอำเภอใจ ถ้วยชามบ่มิร้าวราน พลัดไมใส่ฉาน บังเอิญ แลแตกตัวเอง หนึ่งหนูบ่มิได้กลัวเกรง แล่นเลี้ยวครื้นเครง แลร้องจิก ๆ รอบตน หนึ่งบุตรภรรยาข้าคน เป็นสุขใจตน กระริกกระรี้ปรีดา หนึ่งกล้วยเครือเครงครา กลางลำมายา อุบาทว์อุบัติให้เห็น หนึ่งรัศมีสุริยะเย็น รัศมีพระจันทร์เป็น กระอุกกลับร้อนรน เหมันต์คิมหันต์วสันต์ แปรปรวนอลวน ฤดูบ่มิเป็นตามกาล หนึ่งอัคคีในเชิงกราน บ่มิเป่าพัดพาน ประอุกแะลุกลามเรือง หนึ่งเห็นไฟเรืองในเรือน บังเอิญหากเหมือน ที่แท้บ่มีอัคคี หนึ่งนิทราในราตรี บ่มิหลับดังมี ขยะแลยงเลือดไร หนึ่งโสกาอยู่ในใจ หน่ายในเหย้าเรือน กมลจิตตะ ระเริง อุบาทว์เหล่านี้พระเพลิง ผู้เรืองฤทธิ์อำนาจสำแดงให้เห็น เกิดแก่ผู้ใด อย่าเย็นใจเลย ความเข็ญจะถึง อย่าได้เบกษา เร่งแต่งสักการะบูชา แก้วแหวนมุกดา หิรัญรัตน์แพรพราย ลาชาบุษบาเรียงราย ธูปเทียนทั้งหลาย สุคนธโภชนาหาร ถวายด้วยพระมนต์โอฬาร อุปเทศาจาริย์ ในเวทยกิจมหันต์ อาจบำบัดโทษภยันต์ จัญไรภัยอัน จะมาทั้งปวงให้เหือดหาย พระมนต์อักษรหมาย ไว้ให้สืบสาย ดังนี้ในลักษณะพระมนต์ 
            อุบาทว์พระยม  ผิว์โคเคียงเกวียนเดินวน ไป่ทันแก้ปรน ปะอุกแลขุกวอดวาย หนึ่งโคเคียงคู่ไถตา ในแอกอุบาย อุบาทว์พิบัติพึงกลัว ม้าคลอดตัวเดียวสองหัว คราวเดียวสองตัวก็ดี พิบัตนานา หนึ่งผีซัดเรือนเครงครา เนืองนิจมายา แลร้องระริกขิกสรวล หนึ่งไข้แล้วเล่าทบทวน ฝันร้ายรำจวน นิรันดร รำคาญใจ หนึ่งมดแมง แมลงเรือดไร เกิดมากหลากภัย พิบัติรุมราวี นกแสดเค้าคุดปักษี นกเคาะเอาผี นกอกและนกทุงเกวียน เหยี่ยวรุ้งตบยุงทุงเทียน นกไส้ไถ่เถียน แลบินมาเข้าเคหา งูทับสมิงคา ลำพองถลา เห่าพิษนานา มาขึ้นยังเรือนซอกซอน แร้งจับแร้งสมจร กลางวันบ่มิห่อน แลเห็นประจักษ์แก่ตา อุบาทว์เหล่านี้ พระยายมราชมหามหิทธิ หากให้เห็น รีบแต่งบูชา อย่าเย็นใจอยู่ จักเป็นภยันตรายเร่งรน ลาโชบุศโบ และสุคนธ์ ธูปเทียนสกล หิรัญรัตน์วัตถา โภชนาผลาผลนานา สูปะพยัญชนะ มฤคา มธุกขีระทะธ บูชาด้วยมนต์อันมี วาระพระบาลี ลิขิตไว้ให้สืบสาย จัญไรภัยโทษอันตราย จักดลดับหายสะเดาะทั้งเคราะห์ยายี 
            อุบาทว์พระนารายณ์  ผิว์ฆ้องกังสดาลดนตรี พิณพาทย์เภรี แลศัพท์สังข์ดัดเอง หนึ่งโสดควรรูปพระเพลิง บังเอิญเป็นเอง แลไขชะโลธารา เดือนเดียวมีอุปราคา ราหาพาธา ระวิศศิทั้งสอง หนึ่งน้ำไหลหลั่งมานอง เป็นโลหิตหนอง ครั้นแล้วก็สุทธิ์ใสสรง หนึ่งโลหิตเหงื่อไหลลง ออกแต่พระองค์แลองค์พระโยคยรร หนึ่งอาวุธติงต้องกัน หนึ่งครกสากผุดขึ้นตีกันเอง หนึ่งจอมปลวกคราที่เพรง ช้างม้าตื่นเอง พันเอิญตระหนกตกใจ หนึ่งพระสุริยันกั้นกรดใน วงดุจควันไฟ อันดำชะอ่ำอัศจรรย์ สังฆราช พระภิกษุพรรค์ สร้างเครื่องยุทธกรรม็ไว้ในกุฎีดูดี สักครายตกพลาดปัฏพี กลอนอันมีชะไลแลเต็มฟองฟู หนึ่งหอกดาบดุจยืดอกดูข้างแกงปลาปู จะกินก็เป็นโลหิต หนึ้งหม้อข้าวพวกวิปริต พระรูปเรืองฤทธิ์ แลล้มจรแคง พระกาย อุบาทว์เหล่านี้พระนารายณ์ ศรีไวยากูณฐ์หมาย แก่คนผู้เคราะห์บีฑา เร่งแต่งเครื่องสักการบูชา แก้วแหวนนานา สุพรรณแพรลำยอง ลาชาบุษบาไกรกรอง ธูปเทียนทั้งผอง สุคนธโภชนาหาร มฤคาธุทะธิตระถาร นานาผลาหาร ประดับคำนับน้อมถวาย ในเวทย์มหันต์นารายณ์ ด้วยพระมนต์หมาย ประเสริฐไว้มหึมา จัญไรโภยภัยโรคา ทุกข์โศกโสกา อุบาทว์อุบัติเหือดหาย 
            อุบาทว์พระพิรุณ  หนึ่งโสด ผลพฤกษ์ทั้งหลาย รสหวานกลับกลาย เป็นส้มแลผิดอาการ หนึ่งฝนตกไหลท่อธาร น่านนองพิสดาร ฤดูประหลาดนานา หนึ่งโสดดอกลูกพฤกษา เคยเป็นทุกครา จำหุติโสตบ่มิเป็น หนึ่งหมอกน้ำค้างหยาดเย็น ใช่กาลจะเป็น มาเป็นประจักษ์มายา หนึ่งเกิดมวลมากในนานา ฝนไขธารา ครั้นแล้วตระปัดแห้งหาย มนุษย์เกิดลูกกลับกลาย เป็นสัตว์ทั้งหลาย ประเภทนานาพันธุ์ ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายมีครรภ์เป็นมนุษย์พันธุ์ อุทัยอุทัศพึงกลัว หนึ่งกบคางคกขึ้นครัว จัญไรพันพัวพิบัติเพี้ยนนานา แก้วแหวนแพรพรรณภูษา มาลัยมาลา ทั้งธูปทีปสุคนธ์ บูชาด้วยพระมนต์ อุปเทศนิพนธ์ ลิขิตไว้เป็นอักษร เป็นศรีสถิตย์เสถียรสถาพร อาจดับทุกข์โทมนัสให้เหือดหาย 
            อุบาทว์พระพาย  อนึ่งใช่มรสุมพระพาย จักพัดวุ่นวาย และพัดพยุห์หนักหนา ไม้ไร่โพธิ์ไพรพฤกษายูงยางยับพา แลหักระนาดพาดกัน อากาศเกลื่อนกลุ้มเป็นควัน พร้าวตาลโยกยรร พยุหศัพท์บันลือ เรือนโรง พาลัยหักปือ หอบหวลขึ้นเครือ ยูงยงกะยุ่งพลุ่งบิน ไผ่ผารากโค่นลงดิน เงื้อมแง่ ศิขรินทร์ กระทั่งกระแทกแหลกลง สารเสือสีห์ หมีแม่นชงค์ ซอกซอนดอนดง ระเนระนาดวุ่นวาย ปักษีปักษาทั้งหลาย ต่างบินผันผาย หาพฤกษ์ซุ่มซ่อนตัว หนึ่งเห็นเมฆดุจรูปวัว เห็นดุจรูปตัวมนุษย์ในคัคนางค์ หนึ่งเป็นรูป ดุจคชสาร ดุจรูปสีหปาน และรูปพยัคฆราชา หนึ่งโสดเห็นดุจรูปกา ดุจรูปครุฑา ประจักษ์แจ้ง แม่นหมาย อุบาทว์เหล่านี้พระพาย พระองค์อุบาย แก่ผู้เคราะห์ราวี เร่งแต่งสักการพลี บูชาจงดี คำนับประดับ ผลาหาร นานาสูปะพยัญชนะตระการ นมส้มนมหวาน และโภชนะโอชโอชา ปายาสมธุรสกระยาสังเวยนานา ดิเรกจงยาตยง มาลัยไกรกรองบรรจง ธูปเทียนจำนง สุคนธ์กลิ่นกำจร เงินทองแพรภูษาภรณ์ นพรัตน์บวร วิไลบูชาถวาย ด้วยพระมนต์อักษรหมาย สำหรับพระพาย ด้วยใจเพ่งภักดี อุบาทว์ฆาตร้ายราวี จัญไรทั้งภัยเหือดหาย สะเดาะทั้งเคราะห์ให้วายโทษร้ายเหือดหาย เป็นคุณสิริศุภผล ในลักษณ์อักษรพระมนต์ ดังนี้อย่าฉงน จำไว้จงแจ้ง สืบไป 
            อุบาทว์พระโสม  หนึ่งน้ำผึ้งอ้อย มะธุโร ใส่ไว้ ในตุ่มไห พันเอิญแลเดือดพุพราย หนึ่งโสดผลพฤกษ์ทั้งหลาย ผลิตลูกกลับกลาย เป็นพันธุ์อื่นอัศจรรย์ หนึ่งสัตว์สุนัขผายผัน ขึ้นคลอดลายครรภ์ ในครัวประชีตาไฟ หนึ่งใช่ที่หนูอาศัย ในใต้เตาไฟ แลไปทำรูรัง หลังคาใช่ที่หมาหวัง ในดล หมาชัง ไปขึ้นแลไต่ไปมา หนึ่งได้ยินผีเจรจา มาบนพฤกษา แลฟังพระหนักแก่กรรณ์ หนึ่งโสดปลวกพวกโลมพันธุ์  อุบัติอัศจรรย์ มาในพุเตาอัคคี แลเห็ดมางอกดอกแซง อุบาทว์พระโสมสำแดง เก่งกวดรวดแรง จงแต่งสัการบังคม โภชนาปายาสนมเนย ขนุนขนันเขนียวขนม ประดับสิ่งสุขะเพียญชน์ ลาชะเสาวคนธ์ ธูปเทียนบุษบาบัวเผื่อน ประทุมบัวสัตบัน มาลัยไกรกรองแวววรรณ นพรัตน์สุพรรณ พิพิธพรายภูษา จงตั้งมนต์สิทธิบูชา ด้วยพระมนตรา ดิเรกเฉพาะพระโสม จัญไรภัยโทษอันโรม รุมราวีโจม ทั้งปวงจะดาลดับหาย อยู่เป็นสุขสบาย ด้วยพระมนต์หมาย ลิขิตไว้เป็นอักษร 
            อุบาทว์พระไพรศพณ์  หนึ่งผ้าแพรภูษาภรณ์ ใช่ที่หนูฟอน แลหนูมากัดอัศจรรย์ หนึ่งผ้าภูษาสรรพ์ บ่มีเพลิงอัน จะได้แลไหม้วู่วาม ทำนาได้ข้าวมากคราม ยิ่งนักบ่มิตาม ระบอบอันชอบไรนา ติลลาหีบได้เตลา มากพ้นอัตรา ทำนุกทำเนียมโบราณ ธัญญาตำได้ตัณฑุลาน มากหลากเหลือการ เป็นวิปริตผิดครอง หนึ่งอยู่พันเอิญเงินทอง มักตกเนืองนอง ในเรือนพันเอิญมักหาย หนึ่งคนเรือนโรงทั้งหลาย ใช่ที่เต่าหมาย และเต่าวะวามคลานมา เข้าใต้ถุนคลานขึ้นเดหา หนึ่งแมวมายา มาคลอดในแท่นนิไทร หนึ่งข้าวสารแช่ออกใบ หนึ่งบ่อน้ำใน จรเข้มาผุดอัศจรรย์ หนึ่งเสาเรือนตกมัน หนึ่งบัวสัตบัน มางอกในบ้านนคร หนึ่งเต่าตะพาบน้ำมามรณ์  ในถุนซอกซอน หนึ่งคลั่งประอุกทำลาย อุบาทว์พระศพณ์หมาย แก่คนทั้งหลาย เฉพาะเคราะห์ราวี เร่งแต่งบูชาจงดี ข้าวบิณฑ์บายศรี บรรจงทุกสิ่ง สูปะเพียญชน์ ผลผลาปายาสธูปเทียน บุษบาบัวเผื่อน พิกุลไกรจำปา สุรภีวรรณดีมะลิลา แก้วแหวนนานา สุพรรณแพรเพริศพราย ภูษาลังกาภรณ์ถวาย ด้วยพระองค์หมาย เฉพาะองค์พระไพรศพณ์ จงตั้งในสุทธินบ ภักดีคำรพ บพิตรปราณี อุบาทว์มาดร้ายราวี โรคาโรคี รำคาญทั้งปวงเหือดหาย อยู่เป็นสุขสบาย สมบูรณ์พูนกาย ภิรมย์ศรีศุภผล ในลักษณ์อักษรพระมนต์ อาจริยนิพนธ์ จงอย่าได้สงสัย

 

ตำรายามสามตา



            ท่านท้าวตรีเนตร เล็งญาณทราบเหตุ แต่ยามสามตา คือยามทิพยยนต์ ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวเทเวศน์ หยั่งรู้เหตุผล ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าจุมพล อาจเข้าใจคน รู้ทุกประการ 
            เดือนแรมบ่ ผิด ให้นับ อาทิตย์ มาหาอังคาร เวียนไปตามค่ำ แล้วจึงนับยาม ชอบเวลางาม จึงทายอย่าคลาด 
            ถ้าเดือนขึ้นไซร้ นับอาทิตย์ไปหาจันทกลา นับตามค่ำแล้ว จึงนับยามมาให้ชอบเวลา แม่นแล้วจึงทาย 
            กำลังอังคาร ท่านท้าวมัฆวาน บอกไว้โดยหมาย จันทร์ปลอดมัธยม นิคมอุบาย ยามเจ้าฤาสาย เที่ยงแท้สัตย์จริง 
            อาทิตย์ คือสีใส กำหนดลงไว้ อย่าได้ยุ่งยิ่ง ตรองให้เห็นเงื่อน อย่าเชือนประวิง ถูกแน่แท้จริง อย่ากริ่งสงสัย 
            ถ้าดูสู้กัน  เล็งดูยามนั้น จะเป็นฉันใด ถ้ากำอยู่หลัง เบื้องหน้ายามใส ว่าเขาจักได้ เราแพ้เสียตน 
            ถ้ากำอยู่หน้า ยามใสโสภา อยู่หลังเป็นต้น เขาพ่ายแพ้กุมเอา 
            ถ้าข้าศึกมา  ถ้ากำอยู่หน้า ศึกมาถึงเรา ถ้าใสอยู่หน้า มาแล้วกลับเล่า หน้าปลอดจักเปล่า ถ้าเจ็บอย่าฟัง 
            คนมากเท่าใด  ถ้าหน้ากำไซร้ คนมากโดยหวัง ถ้าว่าหน้าใส คนน้อยอย่าฟัง ถ้าปลอดอย่าหวัง หาไม่สักคน 
            คนหาญหรือขลาด  หน้ากำสามารถ เรี่ยวแรงแสนกล หน้าใสพอดี บ่มีฤทธิรน หน้าปลอดอำพน ว่าชายเหมือนหญิง 
            ถืออันใดมา  หน้ากำโสกา คือศาสตราจริง หน้าใสถือไม้ มาได้สักสิ่ง หน้าปลอดประวิง ว่าเดินเปล่ามา 
            ว่าสูงหรือต่ำ  หน้ากำควรจำ ว่าสูงโสภา หน้าใสปานกลาง ปลอดต่ำ หนักหนา ทายตามเวลา ยามเจ้าไตรตรึงส์ 
            ว่างามมิงาม  หน้ากำอย่าขาม ว่างามบ่ถึง หน้าใสงามนัก หน้าปลอดพอถึง ยามเจ้าไตรตรึงส์ 
            ว่าหนุ่มหรือแก่  หน้ากำนั้นแล ว่าแก่ชรา หน้าใสกลางคน ปลอดเด็กหนักหนา ประคินเวลา แม่นแล้วจึงทาย 
            คนผอม หรือพี  หน้ากำหมองศรี ว่าพีพ่วงกาย หน้าใสพอดี ฉวีเฉิดฉาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าผอมเสียศรี 
            ดำแดงหรือขาว  หน้ากำควรกล่าว ว่าดำอัปรีย์ หน้าใสดำแดง เป็นแสงมีศรี หน้าปลอดขาวดี เที่ยงแท้โดยถวิล 
            ต้นลงหรือปลายลง  หน้ากำเร่งทาย ว่าปลายลงดิน หน้าใสปลายขึ้น ต้นลงอาจิณ หน้าปลอดเร่งถวิล ว่านอนราบลง 
            สุกหรือดิบห่าม  หน้ากำอย่าขาม ว่าสุกโดยตรง หน้าใสห่ามแท้ ทายแต่โดยตรง หน้าปลอดเร่งปลง ว่าดิบหนักหนา 
            ว่าหญิงหรือชาย  หนำกำเร่งทาย ว่าชายละนา หน้าใสบัณฑิต พึงพิศโสภา หน้าปลอดทายว่า เป็นหญิงโสภาโดยหมาย 
            เต็มหรือพร่องแห้ง  หน้ากำควรแถลง ว่าเต็มบ่มิคลา หน้าใสมิเต็ม งวดเข้มจงทาย หน้าปลอดกลับกลาย ว่าแห้งห่อนมี 
            ขุนนางหรือไพร่  หน้ากำควรไข ว่าคุณมีส หน้าใสโสภา วาสนาพอดี หน้าปลอดกาลี เข็ญใจหนักหนา 
            ไข้เป็นหรือตาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าตาย บ่ คลา หน้าใสว่าไข้ ลำบากหนักหนา หน้าปลอดทายว่า ไข้นั้น บ่ ตาย 
            ท่านรักหรือชัง  หน้ากำท่านหวัง รักดังลูกชาย หน้าใสมิรักมิชังโดยหมาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าชังหนักหนา 
            หน้าจืดหรือหวาน  หน้ากำเปรียบปาน น้ำตาลโอชา หน้าใสรสหวาน ประมาณรสา หน้าปลอดทายว่า จืดชืดมิดี 
            หน้าขม หรือเฝื่อนฝาด  หน้ากำสามารถ ว่าขมแสนทวี หน้าใสทายว่า ฝาดนักมิดี หน้าปลอดตรงที่ ว่าจืดจริงนา 
            ว่าอยู่ หรือไป  ถ้าหน้ากำไซร้ ว่าไป บ่ ช้า หน้าใสแม้นไป กลางทางกลับมา หน้าปลอดทายว่า ว่าแต่จะไป 
            สี่ตีนหรือสอง  หน้ากำควรสนอง ว่าสีตีนแท้ หน้าใสสองตีน ประคีนจงแน่ หน้าปลอดจงแก้ว่าตีน บ่ มี 
            แม้นดูของหาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าได้บัดนี้ หน้าใสแม้นได้ ช้าเจียนขวบปี หน้าปลอดหน่ายหนี บ่ ได้เลยนา 
            แม้นดูปลูกเรือน  นับยามอย่าเชือน เร่งทายอย่าคลา แม้กำอยู่หลัง ยามใสอยู่หน้า ว่าดีหนักหนา ถาวรมีศรี หน้ากำนำพา คือ กำอยู่หน้า ท่านว่ามิดี แม่เรือนจะตาย วอดวายเป็นผี หน้าปลอดมิดี บอกให้รู้นา 
            ว่าคว่ำหรือหงาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าคว่ำ บ่ คลา หน้าใสหงายแท้ นอนแผ่อยู่นา หน้าปลอดทายว่า คะแคงแฝงตน 
            ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวตรีเนตร หยั่งรู้เหตุผล คือเนตรท่านเอง แลเล็งทิพยยนต์ สมเด็จจุมพล ให้ไว้เราทาย 
            ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าไตรภพ ร่ำเรียนกฎหมาย เดือนขึ้นเดือนลง วันคืนเช้าสาย ให้แม่นแล้วทายอย่าคลาดเวลา 
            พระอาทิตย์ฤทธิไกร คือเนตรท้าวไท ท่านท้าวพันตา อยู่ตรวนลาด พระบาทภูวนา ดูงามหนักหนา รุ่งเรืองเฉิดฉัน 
            ครั้นจักมีเหตุ ร้อนอาสน์ตรีเนตร ตรึกเหตุด้วยพลัน เล็งแลทั่วโลก ทุกทิศหฤหรรษ์ พระองค์ทรงธรรม์ เล็งตาทิพย์พราย 
            ท่านให้นับยาม ครั้นรุ่งอร่าม สวยงามแก่งาย แม้ตะวันเที่ยง เฉวียงวันฉาย สายบ่ายแล้ว บ่ คลาย ฝ่ายค่ำสุริยัน 
            ค่ำเฒ่าเข้านอน เด็กหลับกลับผ่อน ให้นอนเงียบพลัน เที่ยงคืนยามสาม ล่วงเข้าไก่ขัน ใกล้สุริยัน สุวรรณเรืองรอง 
            ตำรานี้นะ ของท่านคุณพระ ครูเทพจอมทอง มาให้สมุห์วาสน์ สามารถท่องจำ ไว้สืบสนอง บทเบื้องต่อบรรพ์ 
            ข้าพระสมุห์ คิดอ่านทำนุ บำรุงเสกสรร เป็นกลอนกาพย์สาส์น วิลาสนี้พลัน ยี่สิบแปดบรรพ์ เป็นฉันท์บรรยาย 
ยามสามตาอีกตำราหนึ่ง

 


            เมื่อจะดูยามสามตานี้ ถ้าเดือนข้างขึ้น ให้นับแต่อาทิตย์มาหาจันทร์ ถ้าเดือนข้างแรม ให้นับแต่จันทร์มาหาอังคาร เมื่อได้เศษเท่าใดแล้ว ให้ทายตามเศษนั้น ๆ ดังนี้ 
            ถ้าดูของหาย ถ้าเศษ ๑ คนในเรือนเอาไปซ่อนไว้ ให้หาจงดี ถ้าเศษ ๒ คนมาสำนักอาศัย ลักไปซ่อนไว้หนบูรพา แลทักษิณ จะมีพี้น้องเอามาคืนให้ ถ้าเศษ ๓ ของนั้นอยู่ทิศประจิม และพายัพ จะได้คืนแล 
            ถ้าเขาถามว่า ผู้ลักไปนั้นหญิงหรือชาย ถ้าเศษ ๑ ว่าผู้หญิงเรือนเดียวกัน ลักไปซ่อนไว้ แทบฝั่งน้ำ และประตูใหญ่ ถ้าเศษ ๒ ทายว่า ผู้ชายบัณฑิตลักไปไว้แทบประตู เศษ ๓ ผู้ใหญ่ต่างเรือนลักไป แล 
            ถ้าดูตาย  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิตาย มีผู้เลี้ยงรักษา ถ้าเศษ ๒ มิเป็นไร มีผู้จะเลี้ยงรักษา แต่ว่าจะได้ลำบาก ถ้าเศษ ๓ ว่าตายจริง แล 
            ถ้าถามว่าศึกจะมาหรือไม่  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิมา ถ้าเศษ ๒ มาถึงครึ่งทาง ถ้าเศษ ๓ จะมาถึงพลัน แล 
            ถ้าถามว่าผู้ใดจะมา  ถ้าเศษ ๑ ตัวพระยามาเอง ถ้าเศษ ๒ มาแต่เสนาผู้ใหญ่ มากึ่งหนทางแล้วกลับไป ถ้าเศษ ๓ มาแต่นายทหารผู้ใหญ่ แล 
            ถ้าถามว่ามาถึงวันใด  ถ้าเศษ ๑ มาถึงวันนี้ ถ้าเศษ ๔,๕,๖,๗ ไม่มา ถ้าเศษ ๒ จะมาถึงใน ๑-๒ วัน ถ้าเศษ ๓ มามิมาเท่ากัน แล 
            ถ้าถามว่าแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ หนีเรา ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากับ ถ้าเศษ ๓ เขามาแรงกว่าเรา ตั้งทัพอยู่ทิศพายัพ สองวันจึงจะชนะ แล 
            ถ้าถามว่าไปทัพ จะได้รบหรือไม่ได้รบ  ถ้าเศษ ๑ มิได้รบ ถ้าเศษ ๒ ได้รบสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเศษ ๓ ตั้งทัพรบ แล 
            ถ้าถามว่าจะได้หรือไม่ได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ต้นทาง จะเอาได้หลาย ถ้าเศษ ๒ ว่ามิได้ ถ้าเศษ ๓ จะได้ภายนอกเมือง แล 
            ถ้าถามว่าจะได้เชลยหรือมิได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ ถ้าเศษ ๒ ได้แต่มนตรี และนางเทวี ถ้าเศษ ๓ จะได้ขุนนางผู้ใหญ่ แล 
            ถ้าถามว่ามีที่ไปจะมาช้าหรือมาเร็ว  ถ้าเศษ ๑ ว่ายังมิมา ถ้าเศษ ๒ เพิ่งจะมา ถ้าเศษ ๓ มาถึงในเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้ไม่มาอีก ๓ วันหรือ ๗ วัน จะมา แล 
            ถ้าถามว่าจะไปบกหรือไปเรือดี  ถ้าเศษ ๑ ไปบกดี ถ้าเศษ ๒ ไปเรือแต่พอคุ้มตัว ถ้าเศษ ๓ ไปบกมีลาภสองประการ แต่ไม่มีลาภต่อหน้า แล 
            ถ้าถามว่าไปรบโจรจะแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ ว่าเราชนะ ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากัน ถ้าเศษ ๓ โจรแรงกว่าเรา แล 
ตำราพิชัยสงคราม 
            เป็นตำราพิชัยสงคราม แบบยุทธอาภรณ์ ตามตำนานเล่าสืบกันมาว่า ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทำสงครามกับพระเจ้าอชาติศัตรู อำมาตย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ฟังการสนทนาของพระติสสภิกษุ กับบรรดาพระเถระทั้งหลาย ในเรื่องนี้ จึงได้นำความไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงได้ตั้งเป็นตำราตั้งแต่นั้นมา ว่าดังนี้ 
            สิทธิการิยะ ถ้าจะยาตราพยุหโยค ท่านให้พิจารณาดูวันดังนี้ 
            ถ้าวัน ๑ ได้ครุฑนาม ให้ประดับอาภรณ์สีแดง มือถือธนู แล้วเอาน้ำใส่ศีรษะ คอยฟังเสียงปี่และเสียงไก่ขัน เป็นฤกษ์สกุณสังหาร แล้วให้เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย 
            ถ้ายาตราวัน ๒ ได้พยัคฆนาม ให้ประดับอาภรณ์ด้วยสีขาว ถือดาบและเขนเป็นอาวุธ แล้วนอนเสียหน่อยหนึ่ง เอานิมิตรเสียงดุริยดนตรี เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย แล 
            ถ้ายาตราวัน ๓ ได้สีหนาม ประดับเครื่องอาภรณ์สีชมพู ถือดาบเป็นอาวุธ แล้วกินน้ำอ้อยเสียก่อน เอานิมิตรเสียงสุนัขเห่าหอน เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลยาตราทัพ โห่ร้องเอาชัย แล 
            ถ้ายาตราวัน ๔ ได้สุนัขนาม กินอาหารเสียก่อนแล้วประดับอาภรณ์สีเขียวใบตองอ่อน มือถือดาบ คอยนิมิตรเสียงแตรสังข์ เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย และ 
            ถ้ายาตราวัน ๕ ได้มุสิกนาม ให้กลั้นใจเอานิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือ หยิบเอาเถ้ากลางเตาไฟเจิมหน้าเสียก่อน แล้วประดับอาภรณ์สีเมฆสีหมอก มือถือหอกอันคมกล้า เมื่อได้เห็นคิชฌปักษี และนกหมู่ใหญ่บินมา ให้ถือเป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลโห่ร้องเอาชัย แล 
            ถ้ายาตราวัน ๖ ได้อัชชนาม ให้ทาเครื่องหอมเสียก่อน แล้วประดับอาภรณ์เลื่อมประภัสสร ถือธนูเป็นอาวุธ คอยนิมิตรเสียงดนตรีขับร้องเป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลโห่ร้องเอาชัย แล 
            ถ้ายาตราวัน ๗ ได้นาคนาม ประดับอาภรณ์สีดำ ถืออาวุธต่าง ๆ แล้วให้ทำอาการขึ้งโกรธ คอยดูกา และนกดุเหว่า เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลให้โห่ร้องเอาชัย 
            วัน ๑ ยามจันทร์ กาละไท ตกทิศอุดร ให้ยกเข้าตีข้าศึก ได้เมื่อมโหสถชนะท้าวจุลนี แล 
            วัน ๑ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศอาคเณย์ ให้เขาเป็นฝ่ายรุก เราเป็นฝ่ายรับ ได้เมื่อมโหสถชนะแก่อาจารย์เถวัฏ แล 
            วัน ๑ ยาม ๓ กาละไท ตกทิศอิสาน ยามนี้เร่งให้ยกเข้าต่อตีข้าศึก ได้เมื่อพระยาโปริสาท จับพระยาสุดโสมได้ ดีนัก แล 
            วัน ๒ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศหรดี ให้ข้าศึกยกมาตีเราก่อนจึงจะตีมีชัย ได้เมื่อพญาราชสีห์จับคชสาร แล 
            วัน ๒ ยาม ๖ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งรุกรบจะมีชัย ได้เมื่อนางนกไส้ เข้าพญาคชสารได้ ดีนัก แล 
            วัน ๒ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศทักษิณ ให้เร่งยกพลเข้าต่อตีข้าศึก จะมีชัย ได้เมื่อนายพรานโสอุดร ยิงพญาฉัตทันต์ แล 
            วัน ๓ ยาม ๑ กาละไท ตกทิศทักษิณ ได้เมื่อพระโมคคัลลาน์ ทรมานพญานาคราช ให้เร่งระดมยกเข้าตีเถิด จะมีชัยชนะ แล 
            วัน ๓ ยาม ๒ กาละไท ตกทิศหรดี ยามนี้ให้ตั้งมั่นไว้ก่อน อย่าได้ออกรบเลย ถ้าขืนยกออกรบ จะแพ้แก่ข้าศึก ได้เมื่อพญามารยามาแย่งรัตนบัลลังก์ แล 
            วัน ๓ ยาม ๖ กาละไท ตกทิศอุดร ให้เร่งรบเถิด จะมีชัยชนะแล ได้เมื่อพระพุทธเจ้า ชนะพญามาร แล 
            วัน ๔ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศประจิม ให้เร่งรบ จะมีชัยชนะ ได้เมื่อนกหัสดินทร จับคชสารไปกิน แล 
            วัน ๔ ยาม ๕ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งออกรบ จะมีชัยชนะ ได้เมื่อพญาทรพีฆ่าพ่อ 
            วัน ๔ ยาม ๓ กาละไท ตกทิศทักษิณ อย่าออกรบ จะเสียแม่ทัพ และนายทหารได้เมื่อทรพาตาย แล 
            วัน ๕ ยาม ๑ กาละไท ตกทิศบูรพา ให้เร่งรบจะมีชัย ได้เมื่อพระอินทร์มีชัยชนะแก่ท้าวอสูร แล 
            วัน ๕ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศประจิม อย่ายกไป ได้เมื่อนางอัศวมุขีจับเอาพราหมณ์ไปได้ แล 
            วัน ๕ ยาม ๕ กาละไท ตกทิศอิสาน ยามนี้ให้เร่งรบเถิด ถ้าจะถอยทัพก็ดี แลได้เมื่อสองพ่อลูกหนีนางอัศวมุขีไปได้ แล 
            วัน ๖ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งรบเถิด ถ้าถอยทัพก็ดี แล 
            วัน ๖ ยาม ๒ กาละไท ตกทิศทักษิณ ดีร้ายเท่ากัน พิเคราะห์ดูให้แน่ ถ้าเห็นดีจึงจะให้ยกเข้าตี ถ้าเห็นร้าย อย่ายกไปเลย ได้เมื่อวิชาธรได้นาง แล 
            วัน ๖ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศพายัพ ได้เมื่อท้าววิเทหราช ได้นางปัญจาลจันที ยามนี้ให้ยกไปตั้งมั่นรอไว้ก่อน ถ้าข้าศึกยกมาก็แพ้เรา แล 
            วัน ๗ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศบูรพา ได้เมื่อพญาฉัตรทันต์ตาย อย่าออกรบเลย 
            วัน ๗ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศอุดร ได้เมื่อห่าลงเมืองไพศาลี ยามนี้ห้ามมิให้ออกรบ จะเสียรี้พล และสรรพอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งปวง แล 
ตำราทำนายฝันตามคัมภีร์สารัตถสังคหะ 
            บุคคลย่อมฝันด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ฝันเห็นด้วยธาตุโขภะ ประการ ๑ ฝันเห็นด้วยเหตุอนุภูติ ประการ ๑ ฝันเห็นด้วยเทวตูปสังหรณ์ ประการ ๑ ฝันเห็นด้วยเหตุ บุพพนิมิต ประการ ๑ 
            ฝันเห็นด้วยธาตุโขภะ คือธาตุอันใดอันหนึ่งในกายกำเริบ ทำให้กายและจิตไม่สบาย ครั้นหลับลงจึงฝันพิกลไปต่าง ๆ ให้สะดุ้งตกใจ ให้เห็นปรากฏประดุจตกจากภูเขา ให้เห็นประดุจดังว่าบุคคลจับเอาตัวซัดขว้างไปในอากาศ ให้เห็นปรากฏประดุจดังว่า พาลมมฤคราชเนื้อแลช้าง และโจรเป็นต้นไล่คุกคาม ให้สะดุ้งตกใจ 
            ฝันเห็นด้วยเหตุอนุภูติ คือตนได้เสวยซึ่งอารมย์อันใดอันหนึ่งมาก่อน จิตนั้นประหวัดไปถึงอารมณ์นั้น จึงให้ฝัน เป็นต้นว่าได้เห็นได้ฟัง สิ่งใด ๆ ครั้นหลับลงจึงได้ฝันเห็นสิ่งอันนั้น 
            ฝันเห็นด้วยเหตุเทวตูปสังหรณ์ คือ เทวดาปรารถนาจะให้ประโยชน์ แลมิให้เป็นประโยชน์ ประมวลมาซึ่งอารมณ์ต่าง ๆ จึงดลใจให้ฝัน 
            ฝันเห็นด้วยเหตุบุพพนิมิต คืออำนาจแห่งกุศล อกุศลเข้าดลใจ ให้ฝันเห็นบุพพนิมิต เพื่อจะให้รู้ว่าดีแลร้าย ดุจหนึ่งพระนางสิริมหามายา ทรงสุบินนิมิตในกาล เมื่อทรงตั้งพระครรภ์พระราชโอรส แลพระมหาบุรุษเจ้าทรงพระสุบินในการที่จะได้ตรัสแก่พระโพธิญาณ และพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบิน ๑๖ ข้อ เพื่อจักให้รู้จักเหตุอันจักให้ปรากฏไปในอนาคตกาล ฝันดังนี้เป็นลักษณะบุพพนิมิต 
            ฝันด้วยเหตุโขภะ และอนุภูตนั้นมิได้จริง จะทำนายว่าดีร้ายนั้นไม่ได้ และฝันเห็นด้วยเทวตูปสังหรณ์ ก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง บางทีเทวดาปรารถนาเพื่อจะให้เป็นประโยชน์ จึงมาดลใจให้ฝันเช่นนั้นก็มี บางทีเทวดาโกรธปรารถนาจะให้ฉิบหายด้วยอุบายของตน จึงดลใจให้ฝันเช่นนั้นก็มี 
            ฝันเห็นด้วยเหตุบุพพนิมิต นั้นจริงแท้ บุคคลจะฝันนั้น หลับสนิทก็มิได้ฝัน ตื่นอยู่ก็มิได้ฝัน และฝันนั้นในกาลเมื่อกปินิทรา คือหลับดังหลับวานร หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่หลับสนิท จิตนั้นขึ้นจากภวังค์ แล้ว ๆ เล่า ๆ จึงฝัน อนึ่ง บุคคลฝันในเวลากลางวัน แลปฐมยาม แลมัชฌิมยาม ฝันนั้นมิได้แน่ ถ้าฝันในปัจฉิมยามใกล้รุ่งไปจนถึงเวลาเบิกอรุณ เวลานั้นโอชารสาหาร ที่ตนบริโภคไว้นั้นซาบซ่านไปในกาย แต่งจิตแลกายให้สบายแล้ว แลฝันนั้นจริงเที่ยงแท้ ถ้าฝันดีคงจะได้ดี ถ้าฝันร้าย คงจะได้ร้าย 
            และลักษณะบุคคลที่ฝันดีนั้น คือฝันว่า ได้พบท้าวมหาพรหม แลพระอินทร์ แลเทพยดา ทำนายว่าเป็นมงคล เป็นความฝันอันประเสริฐ บุคคลนั้นจะกอร์ปไปด้วยความสุขเป็นอันมาก 
ตำราทำนายฝัน 
            ผิว์ฝันวันอาทิตย์ ได้แก่คนทั้งหลาย ฝันวันจันทร์ได้แก่วงศ์ญาติ ฝันวันอังคารได้แก่พ่อแม่พี่น้อง ฝันวันพุธได้แก่บุตรภรรยา ฝันวันพฤหัสบดีได้แก่ครูบาอาจารย์ ฝันวันศุกร์ได้แก่สัตว์เลี้ยง ฝันวันเสาร์ได้แก่ตัวเราเอง 
            ฝันว่า มูตรคูถนั้นต้องตัว คนเมามัว หนึ่งพบอสุภเน่าพอง จะได้ลาภเนืองนอง ตำหรับกล่าวสนอง กำหนดไว้อย่าได้สงกา 
            ฝันว่านุ่งห่มภูษา จักสุขเกษมปรีดา ไม่มีใครบุกรุกรานแล 
            ฝันว่าทอดแหในน่าน หนึ่งตกเบ็ดหาญ หาปลาในท้องนที จะคิดสิ่งใดก็ดี ห่อนคลาดแคล้วศรีสวัสดิ์สมมนัสปอง แล 
            ฝันว่านาคเดี่ยวกรกรอง ตัวกล้าอย่าหมอง ย่อมมีที่คุ้มรักษา แล 
            ฝันว่าได้แหวน จักได้บุตรา แลกินกับพี่น้องตน กินกับพ่อแม่พึงยล จักได้ศุภผล อยู่สุขสมจิตคิดปอง แล 
            ฝันว่าสวมแหวนทอง แม้หญิงลำพอง เปลี่ยวเปล่าจักได้สามี ถ้ามีคู่ชมสมศรี จักได้บุตรีบุตรา อันพึงพอใจ ถ้าชายจะได้ครองหญิง เมียมิ่งพิสมัย วงพักตร์น่าชม 
            ฝันว่านุ่งห่มพอสมควร สาวจักนิยม มายามายวนใส่ใจ แล 
            ฝันว่าตัดตีนสินมือขาดไป จำขื่อคาใส่ ตรากตรำกระทำตรึงตรา ถ้าขุนจักได้เป็นพระยา ฟื้นไพร่ประชา ก็จักได้ดี แล 
            ฝันเห็นว่าเต่าจักมี ผู้คนทาสี เมียมิ่งและม้าคชา อีกทั้งบุตรี บุตรา พรากจากเคหา มาสู่บารมีสมปอง แล 
            ฝันว่าได้ม้าลำพอง ท่านหมายใจปอง จะยกตนให้ได้เป็นพระยา แล 
            ฝันว่าดื่มชลธารา จักได้ทาสา มาเลี้ยงเป็นเมียแห่งตน แล 
            ฝันว่าไฟไหม้เรือนร้อนรน เร่งขวนขวายแก้ไข ที่น้ำไหลริน จักบรรเทามลทิน โทษทุกข์จักผิน กลับให้มีโชคชัย แล 
            ฝันว่าเหินกลางนภาลัย จักนึกสิ่งไร สำเร็จ สัมฤทธิ์ผล แล 
            ฝันว่าลูกอ่อนนอนเต็มเรือน จักได้ข้าคนมาสู่ แต่ล้วนดี ๆ แล 
            ฝันว่านุ่งแดง แสงสี เร่งเกรงไพรี ระมัดระวังกาย แล 
            ฝันว่านุ่งห่มพัสตร์ จะอยู่ปรีดา ไม่มีใครรุกราน แล 
            ฝันว่าเห็นท้าวมัฆวาน หนึ่งท้าวพรหมมาร หนึ่งเห็นพระจันทรา เร่งให้ระมัดกายา เกรงภัยพาธา ระมัดตัวจงดี แล 
            ฝันว่าพระยายมราวี มักมีมิดี จะมีผู้ดีเกลียดชังตน แล 
            ฝันว่านอนบนพื้นเบื้องบน ตีนหนึ่งตกชล เศียรหนึ่งตกน้ำ ให้แก้ที่ต้นพฤกษา อันใหญ่โสภานานไปจะได้เมียงาม แล 
            ฝันว่าได้นางพระยานงราม  แม้ว่าใครถาม ว่าอย่าบอกบรรยาย ให้แก้กลางหาดทราย  นัยหนึ่งอุบายว่า แก้กับต้นไม้ใหญ่ จึงจะดีแล 
            ฝันว่าสาวพรหมจารี ถือประทีปเทียนศรี สะอาดเข้ามาเรือนตน จักมียศยิ่งกว่าชน  ท่านจะเลื่อนตนขึ้นให้ถึงพระยา  แม้นว่าหญิงโสภา จักได้ภัสดา อันเสพเนื้อพึงใจแล 
            ฝันว่าสวดพระพุทธมนต์สิ่งใด  จักเปลื้องปลอดภัย บาปกรรมบ่มาบีทาแล 
            ฝันว่ากางกรดบังแสงสุริยา และกางร่มจะผาสุก ประเสริฐโภคี ทำขวัญตัวจงดี ลาภจักพูนมีอนันต์หลากเหลือตาแล 
            ฝันว่าเข้าในวิหารและกุฎีนานา นิวาสสาวกสงฆ์ แห่งพระสัมพุทธพงษ์ จักเปลื้องทุกข์ปลง และว่าจะเรืองเดชาแล 
            ถ้าฝันเห็นรูปพระปฎิมา หนึ่งพระจุฬามณีแลองค์พระเจดีย์  อย่าได้เจรจาพาทีกับใครก็กี จะเรืองอุดมเดชาแล 
            ถ้าฝันเห็นอาจารย์ทิศา หนึ่งพรหมจารี  แม้นึกสิ่งใด จะได้สมดังนึกแล 
            ฝันว่าเหาะเลื่อนลอยลม ลินลาสนิยม มาโดยอากาศเวหา เร่งให้ทำขวัญกายา จักยิ่งยศปรากฎไปทั่วทุกนรชน แม้ว่าใครมาผจญประจญ  จะแพ้ฤทธิรณ ขยาดหวาดเสียกำลังแล 
            ฝันว่าฟ้าผ่าต้องกายา เร่งให้บูชาน้ำเต้า แตงกวาจึงจะดี เงินทองจักพูนมี ถอยทุกข์อัปรีย์ อุบัติกำจัดไกลแล 
            ฝันว่านั่งใต้ร่มไทร จักได้เป็นใหญ่ยิ่งยศ ปรากฎแก่ตนแล 
            ฝันว่าเชิญรูปพระทศพล ไว้ในตำบล ถิ่นฐานนิวาสอาราม ทายว่าจักได้เมียงาม ลาภจักไหลหลามมาสุ๋สำนักแห่งตนแล 
            ฝันว่าขึ้นเรือนใหม่พึงยล จักดีแก่ตน อย่าแหนงระแวงวิญญาณแล 
            ฝันว่าข้ามพ้นชลธาร หนึ่งได้ไต่สะพาน ลุไปได้ดังจำนง ผู้นั้นจักมีอานิสงส์ เป็นที่ดำรง ระงับแก่ฝูงประชาชนแล 
            ฝันว่าเขาฆ่าชีวา จักมีเดชานุภาพในหมู่ไพรินแล 
นิมิตพระยาปัตถเวน ๑๖ ข้อ 
            ปางองค์ชินวงศ์พระจอมไตร อันอาศัยสาวัตถีบุรีสถาน ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร พระสำราญอยู่ในเขตพระเชตุพน  กรุงกษัตริย์ปัตถเวนไปทูลถามด้วยข้อความนิมิตคิดฉงน อภิวาทเบื้องพระบาทยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย 
            สมเด็จพระชินสีห์โมลีโลก จึงดับโศกกรุงดฃกษัตริย์ให้เสื่อมหาย แย้มพระโอษฐ์โชติช่อวิเชียรพรายสว่างฉายพระเขี้ยวแก้วแวววาว สว่างวับจับคันธุกุฎี  พระรังษีเป็นเกลียวสีเขียวขาว อีกนิลแนบแซมหงส์เป็นวงวาว ทั้งแดงขาวสีเบญจรงค์พราย 
            ข่มขี่ระสุริยงค์ จากโอษฐ์องค์งามละออเป็นช่อฉาย  เผยพุทธบรรหารประทานนาย  อันตรายนี้ไม่มีแก่บพิตร จะได้แก่ศาสนาตถาคต โดยกำหนดสองพันเศษสังเกตกิจ ราษฎรจะร้อนดังไฟพิษ จะวิปริตทุกอย่างต่าง ๆ เป็น 
            ๑. ฝันว่าโคทั้งที่มีกำลัง แล่นประดัวมาโดยทิศนิมิตรเห็น จะชนกันแล้วหันห่างกระเด็น ต่างหลีกลี้หนีเร้นไปหายตัว ทรงภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆหมอกมนมืดมิดทุกทิศทั่ว ดังจะปลายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพีดกลัดกลั้วละลายไป  จะลำบากยากเย็นแก่ไพร่พล ด้วยฟ้าฝนไม่ตกมาในไร่ ทั้งต้นข้าวเต้าแตกเหี่ยวแห้งไป ผลมะม่วงมะปรางจะบางเบา เกิดข้าวยากหมากแพงทุกแหล่งหล้เา ฝูงประชาแค้นคับจะอับเฉา ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม์ 
            ๒. ฝันว่าไม้รุ่นเจริญผล ดูพิกลเหมือนไม้ในไพรสณฑ์ พระทรงสัตยตรัสทายทำนายฝัน ภายหน้านั้นชายหญิงจะทิ้งเหล่า จะคบชู้สู่หาสมาคม จะเสพย์สมกันแต่แรกพึ่งรุ่นสาว กุมารีจะมีบุตรแต่รุ่นราว ไม่ยืนยาวยากเย็นด้วยเข็ญมี 
            ๓. ฝันว่าแม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี  ทรงภิปรายทายว่า นิมิตนี้ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน  พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ทั้งที่สุดข้าวปลาและผ้าผ่อน ต้องมายอมปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำคัญให้อับอาย พูดหยาบช้าต่อบิดาชนนี กล่าววาทีให้ช้ำทำฉลาย มิได้มีหิริโอตัปปะ ละอาย พูดหยาบคายขี่ข่มคารมพาล 
            ๔. ฝันว่าโคใหญ่เคยไถนา ไม่นำพาปล่อยปละจากสถาน  เอาลูกโคเทียมไถเข้าใช้การ ไม่เคยงานเสียรอยย่อยยับไป  เดินดินแตกแยกข้ามคันนาหนี  ไม่รู้ในท่วงทีทำนองไถ มีพุทธบรรหารว่า นานไปนเรศไทท้าวพระยาทุกธานี จะคบคนพาลปัญญาหยาบ ใจบ้าบาปหนุนคะนองให้ครองที่ นับถือว่าสุจริตความคิดดี ได้ท่วงทีพวกอุทานก็ลามรวน  ถึงได้เป็นเสนาที่ปรึกษาความ ถ้าวู่วามตามศักดิ์แล้วหักหวนความชอบผิดมิได้คิดเป็นข้อควร เอาแต่ส่วนสินบลคนเข็ญใจ 
            ๕. ฝันว่ามีม้านั้นสองปาก เห็นหญ้าหยากปากอ้าน้ำลายไหล บุรุษลองปองป้อนจนอ่อนใจ หยิบหญ้าหย่อนยื่นให้ไม่เว้นวาย มีพุทธฎีกาพยากรณ์ ผู้ตัดรอนความราษฎรสิ้นทั้งหลาย ระรวบรวมกันกินทั้งสองฝ่าย จะให้...แนะนำโจทก์จำเลย กินกันพลางทางข่มด้วยลมลวง เหนี่ยวหน่วงถามถึงแล้วนิ่งเฉย บ้างอาศัยใช้การจนนานเลยความก็เลยแห้งร้าวอยู่ค้างปี 
            ๖. ฝันว่าสุวรรณณภาชุน์ทอง สุนัขปองขึ้นนั่งน่าบัดสี เอื้อนพระโอษฐ์โปรดพุทธวาที ว่าพาลาจะได้ที่เสนีย์นาย จะหยิ่งยศมาสำทับไม่นับปราชญ์ เสพสังวาสคบพาลประมาณหมาย เหมือนขมิ้นขยำน้ำปูนละลาย  ทั้งไพร่นานจะคนองลำพองพาล 
            ๗. ฝันว่ามีผู้พันเชือกหนัง อยู่เคหังเพิงพะในสถาน ปลายเชือกเสือกห้อยลงย้อยยาน สุนัขนอนใต้ร้านกัดดินไป ยิ่งฟั่นก็ยิ่งสั้นไปหมดสิ้น หายืดลงถึงดินนั้นไม่ได้ พระโลกุตตมาจารย์บรรหารไว้ว่านานไปจึงจะเห็นขุกเข็ญมี ชายมาหาลาภสักการที่บ้านเรือน หญิงก็เบือนบากบ่าย จำหน่ายหนี ทำแสนงอนซ่อนทรัพย์คิดอัปรีย์ ข่มขี่หยาบคายให้ชายกลัว ทำยอกยักลักทรัพย์ส่งให้ชู้ ตะแคงค่อมขู่ข่มเหงผัว ชายก็เขลาเมารักสมัครมัว เห็นผัวกลัวก็กลับข่มให้สมใจ 
            ๘. ฝันว่าประชาชนตักน้ำ ช่วยกันปล้ำเทส่งลงตุ่มใหญ่ ตุ่มน้อยร้อยพันเรียงกันไป หามีใครเทใส่แต่สักคน 
            พระวรญาณโปรดประทานประกาสิต และนิมิตทายเข็ญให้เป็นผล ว่าภายหลังเสนาเป็นนายพล ราษฎร์จะปล้นทรัพย์ใส่ในตุ่มโต ยิ่งได้มาจานเจือจนเหลือล้น ยิ่งยากจนยับนักลงอักโข เฝ้าระวังตั้งท่าแต่พาโล ที่ชื่อโชกลุ้มดังตุ่มน้อย 
            ๙. ฝันว่าเห็นสระปทุมา มีหมู่กุ้งกุมภามัจฉาหอย วารีรอบขอบใสมิใช่น้อย กลางกลับถอยข้นขุ้นสนุ่นมี 
            พระทรงญาณบรรหารให้เห็นเหตุ ว่าประเทศที่สุขเกษมศรี กษัตริย์ทรงสืบวงศ์ประเพณี เป็นบุรีที่ประชุมประชากร จะแรมร้างว่างราเป็นป่าแขม ทั้งคาแฝกแทรกแซมขึ้นสลอน ทางชลวิกลกลายเป็นชายดอน ราษฎร์จะร้อนแรมสุขทุกเดือนปี ด้วยกรรรมแรงแห่งสัตว์วิบัติเป็น ไม่เคยเห็นก็จะเห็นเป็นถ้วนถี่ น้ำที่กลางขุ่นข้นคือมนตรี จะย่ำยีบาฑาประชาชน จะรุกรานแก่ไพร่ใส่ระดม คิดข่มเอาทรัพย์อยู่สับสน ในเดือนนอกเดือนใช้อยู่เบื้องบน สุดจะจนที่จะทานด้วยการรุม การหลงแล้วไม่นานทำการนาย พวกไพร่ราษฎร์พลัดพรายไปส้องสุม จะกลับลี้หนีหน้าไปป่าชุม ประคองคุมพวกเข็ญได้เย็นใจ 
            ๑๐. ฝันว่าเห็นคนนั่งหุงข้าว หม้อเดียวซาวหลากล้นพ้นวิสัย บ้างดิบสุกคลุกระคนปนกันไป บ้างก็เปียกบ้างก็ไหม้ไม่มีดี 
            พระแย้มโอษฐ์โปรดพุทธฎีกา ว่าเทพาที่รักษาบุรีศรี พระเสื้อเมืองทรงเมืองเรืองฤทธี ประเพณีพลาดเพลี่ยงไม่เที่ยงทรรศ์  เทวัญอันอารักษ์ศาสนา  จะรักษาแต่คนที่อาสัจจ์ ผู้ถือศีลสิกขาศีลลาวัตร  มิตรที่รักจะตัดความรัก  ฝูงราษฎร์จะอาพาธเจ็บไข้  เกิดมรณภัยทุกแห่งหน ประเพณีปีเดือนก็เปื้อนปน ฤดูฝนหนาวร้อนก็ผ่อนไป 
            ๑๑. ฝันว่าอันแก่นจันทน์แดง ราคาแพงล้ำเลิศในต่ำใต้ ชายเขลาเอาพอแรงไม่แจ้งใจ ก็เอาไปแลกนมโคได้ง่ายดาย 
            ทรงพระพุทธทำนายภิปรายโปรด ภายหน้าโสดหมู่สงฆ์สิ้นทั้งหลาย จะแนะนำพระธรรมอันเพริดพราย เที่ยวเร่ขายแลกทรัพย์มาซื้อกิน ไม่อดสูดูร้ายละอายบาป นิยมหยาบเอื้อมอาจประมาทหมิ่น ก่อกรรมกระทำตนให้มลทิล เหมือนอย่างกินยาตายไม่หมายเป็น 
            ๑๒. ฝันเห็นน้ำเต้านั้นจมชล ดูพิกลไม่เคยพบประสบเห็น จะเกิดความยากล้ำเหลือลำเค็ญ สิ่งที่เย็นกลับร้อนทั่วธานี คือนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลี้ลับเสื่อมสูญประยูรยศ คนพาลจะราญเริงบรรเทิงหนา เจรจาผิดธรรมไม่กำหนด ใครปลอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคนคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงรับกัน 
            ๑๓. ฝันว่าคีรีน้อยนั้นลอยน้ำ ประหลาดล้ำหลากใจที่ในฝัน ทรงพระบรรหารให้เห็นพลัน ภายหน้านั้นผู้มีศักดิ์จะรักพาล จะยกย่องหมู่ชาติอันต่ำช้า เป็นเสนาผู้ใหญ่ในสถาน ให้ยศศักดิ์สืบสายเป็นนายการ ได้ท่วงทีพวกพาลสำราญใจ 
            ๑๔. ฝันว่าเห็นกบพบงูร้าย แล้วตามล้วงกินจนสิ้นไส้ พระแย้มโอษฐ์โปรดตามภิปรายไป ภายหน้าไซร้หญิงพาลจะราญชาย ประมาทหมิ่นลิ้นลมข่มให้กลัว จะใช้ผัวต่างทาสดังมาตรหมาย ผัวสมานน้ำใจมิให้ระคาย หญิงร้ายยิ่งลามคำรามรณ 
            ๑๕. ฝันว่าพญาเหมราชเข้าปนฝูงปักษาน่าฉงน น้อมเคารพนบนอบแล้วยอบตน เข้าระคนคบค้าด้วยพาพาล 
            องค์สมเด็จพระอิสสโรพระโมลี จึงเผยพุทธวาที่มีบรรหาร ว่าผู้ดีมีตระกูลนั้นจะบรรดาล ว่าคนพาลจะย่ำยีคนปรีชา สันดานทาสชาติร้ายจะได้ดี จะข่มขี่ผู้มีวงศ์และพงศา คนปราชญ์จะหลีกตัวกลัววาจา พวกพาลาดีได้ดีไม่มีอาย 
            ๑๖. ฝันว่าเห็นเนื้อสมันนั้น ไล่เสือพยัคฆ์เบือนหน้าเข้าป่าหาย มีพระพุทธบรรหารประทานทาย ว่าศานุศิษย์ทั้งหลายจะสู้ครู จะหักหายผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย สำทับถ้อยขี่ข่มคารมสู้ ยกย่องกายหมายประกวดอวดอ้างรู้ จะลบหลู่ขู่ซ้ำด้วยคำพาล สงฆ์ทรงศีลบริสุทธิ์จะทรุดเศร้า ผู้เป็นเจ้าหลีกจากถิ่นสถาน ซึ่งบพิตรนิมิตสิบหกประการ ไม่มีเหตุเพทพาลในพระองค์ จะได้แก่โลกทั้งหลายในภายหน้า จำไว้พิจารณาอย่าลืมหลง จะเสื่อมสูญเมธีกวีวงศ์ และฝูงหงส์พงศ์ประยูรตระกูลพราหมณ์ จะเฟื่องฟูเชยชมนิยมหยาบ แบกแต่บาปหาบนรกยกขึ้นหาม กองกรรมก็จะนำสนองตาม จะลงหนังสุนัขถามเมื่อยามตาย พระไตรรัตน์จะวิบัติหม่นมัวหมอง ไม่ผุดผ่องแผ้วผาดสะอาดฉาย ศักราชคำรบนั้นสองพันปลาย จะต้องพุทธทำนายไว้แน่เอย 

 
การนับยามตามห้วงเวลาในรอบ ๒๔ ชั่วโมง ของแต่ละวัน
เวลา
ยาม
อาทิตย์
จันทร์
อาคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
หมายเหตุ
๐๖๐๐ - ๐๗๓๐
ยามกลางวัน
๐๗๐๐ - ๐๙๐๐
ยามกลางวัน
๐๙๐๐ - ๑๐๓๐
ยามกลางวัน
๑๐๓๐ - ๑๒๐๐
ยามกลางวัน
๑๒๐๐ - ๑๓๓๐
ยามกลางวัน
๑๓๓๐ - ๑๕๐๐
ยามกลางวัน
๑๕๐๐ - ๑๖๓๐
ยามกลางวัน
๑๖๓๐ - ๑๘๐๐
ยามกลางวัน
๑๘๐๐ - ๑๙๓๐
ยามกลางคืน
๑๙๓๐ - ๒๑๐๐
ยามกลางคืน
๒๑๐๐ - ๒๒๓๐
ยามกลางคืน
๒๒๓๐ - ๒๔๐๐
ยามกลางคืน
๒๔๐๐ - ๐๑๓๐
ยามกลางคืน
๐๑๓๐ - ๐๓๐๐
ยามกลางคืน
๐๓๐๐ - ๐๔๓๐
ยามกลางคืน
๑๔๓๐ - ๐๖๐๐
ยามกลางคืน

 

ทายยามตกฟาก

ทายยามตกฟากกลางวัน 
    คนเกิดวันอาทิตย์ 
            สิทธิการิยะ ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้นมิได้อยู่ที่เกิด พ่อแม่เลี้ยงมิได้ มีผู้ขอไปเลี้ยง จะมีความรู้และมีปัญญามาก เล่าเรียนสิ่งใดได้สมดังใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มีศัตรูเบียดเบียน มีลูกเลี้ยงยาก ต้องให้ผู้อื่นผูกข้อมือเอาไปเป็นลูกเสียก่อน จึงจะเลี้ยงได้ เมื่อแรกเกิดมีรกพันคอออกมา มีไฝปาน ความรู้ดี มีตบะเดชะ จะได้เป็นใหญ่ ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นเมียมนตรี 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๒  ผู้เกิดมานั้น มิได้อยู่ในที่เกิด และมิได้อยู่กับพ่อแม่ เลี้ยงยากนัก เมื่อเกิดมานั้นข้าวของหาย พ่อแม่เกิดความ และต้องขื่อคาโซ่ตรวน เพราะเขาใส่ความเอา เพราะว่าพ่อแม่ทำไม่ดี เมื่อน้อยอาภัพและไร้ญาติ หาที่พึ่งมิได้ แล 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๓  ผู้นั้นจะเป็นโจรลักวัวควาย มักมีถ้อยความมาก มักพาให้พี่น้องลำบากต้องขื่อคา มักบังเกิดพยาธิโรค มักเป็นศัตรูแก่พี่น้อง มักเบียดเบียนญาติ มิเข้ากับพี่กับน้อง พ่อแม่ย่อมขัดใจ ท้าวพระยาทำโทษแก่ตน แต่ว่าจะได้เป็นนายงาน จะได้ยากเพราะบ่าว จะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย แล 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้นขี้ขลาดตาเหลือง มักเป็นนักเลง พ่อแม่ว่ามิเอาถ้อยคำ มักคบเพื่อนเป็นโจร 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้นรู้หลักนักปราชญ์ และมีปัญญามาก จะเป็นครูแก่ท่าน แม้อาศัยอยู่สถานที่ใด ๆ ก็ดี จะได้เป็นใหญ่ในที่นั้น เมื่อเกิดรกพันคอออกมา ผู้นั้นมีอัชฌาสัยมาก มิรู้ยากเลย ผู้นั้นมีไฝในร่มผ้าข้างขวา แลมีปาน จะได้ดี มีมิตรสหาย มิซื่อตรงต่อแต่ใจใหญ่ ขุนนางมักรัก มียศฐาบรรดาศักดิ์มาก มีคนรักมาก มีมิตรสหายมาก แล 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๖  ผู้นั้นจะมีมิตรสหายมาก เมื่ออายุ ๖ ขวบ ตกน้ำทีหนึ่ง ถ้ามิดังนั้นจะตกต้นไม้ ผู้นั้นมีปัญญามาก เมื่อเกิดมามีผู้เอาเงินและทองมาผูกข้อมือ จะได้ลาภพัสดุต่าง ๆ เมื่อแรกเกิดนั้นมีเหตุทุ่มเถียงกัน ครั้นเกิดมาแล้วคนเอาข้าวของมาเยี่ยมเยียนให้ และของอันไม่เคยมีก็ได้มา เมื่อได้สามขวบ จากที่อยู่ครั้งหนึ่ง ครั้นแล้วก็คืนมาอยู่ที่เก่าอีกแล 
            ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้นพี่น้องเลี้ยงมิได้ เมื่อเกิดมานั้นรกพันคอออกมา และไต่คลานออกมา ผู้นั้นใจแข็ง พ่อแม่เลี้ยงมิได้ ชอบให้ผู้อื่นเลี้ยง เมื่อเกิดพ่อมิได้อยู่ เกิดแล้วได้เจ็ดวันพ่อแม่หย่ากัน ผู้เกิดมานั้นทำให้พ่อแม่อาภัพเกิดภัยต่าง ๆ ในเดือนที่เกิดนั้นเรือนหัก หลังคาไฟไหม้ แม่นั้นตกใจแทบตาย แล 
            ถ้าเกิดวันอาทิตย์ ได้ยาม ๑ (ใกล้ค่ำ)  ผู้เกิดมานั้น มิได้อยู่ที่เกิดๆ นั้นสูญแล้ว พ่อแม่จะเลี้ยงมิได้ มีผู้ขอเอาไปเลี้ยง จะมีความรู้หลักแหลม มีปัญญารู้การช่างทุกอย่าง แต่ว่ามีทุกข์มาก ศัตรูมักจะเบียดเบียน มีลูกถ้าจะเลี้ยงให้ท่านผู้อื่นผูกข้อมือเอาเป็นลูกก่อน เมื่อเกิดรกพันคอออกมา อนึ่งมีไฝปาน ประกอบด้วยความรู้ มีตบะเดชะ จะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย แล

    คนเกิดวันจันทร์ 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๑   ผู้ที่เกิดมานั้นจะตายแต่น้อย หรือมิฉะนั้นจะเลี้ยงยาก ต้องให้ท่านผู้อื่นเอาไปเลี้ยงจึงจะดี แต่ว่าอาภัพเป็นคนทุรพาล หาข้าวของเงินทอง และอาหารเลี้ยงตัวเป็นอันยากนัก และท่านไม่สมาคมด้วย พ่อแม่พี่น้องว่าไม่เชื่อ เป็นคนทรลักษณ์อัปรี ใจกล้าหน้าแข็ง เป็นคนสั่งสอนมิเอาถ้อยคำ ปู่ ย่า ตา ยาย เชื่อแต่ใจตัวเอง แต่ว่าเจรจาดี มีปัญญา นานไปจะได้ความรู้ ๖ ประการ ครองตัวได้ แล 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๒  ผู้นั้นเกิดมารหกระเหิน จะได้รับความลำบากแต่น้อย ๆ ไป ครั้นใหญ่มาหากินจึงจะดี จะไปได้ดีที่อื่น จึงค่อยมีสมบัติบริบูรณ์ ตัวนั้นมีลักษณะในฝ่าตีน เมื่อแก่ว่ามีความรู้อยู่แก่ตัว จะได้ปกครองน้อง ญาติทั้งหลายจะได้พึ่ง แต่ว่าใจเร็วรับปากแล้วพลันหาย รู้ถ้อยความเป็นที่ชอบใจแก่ขุนนาง คนทั้งหลายมักยกย่องให้เป็นใหญ่ คนจะชมแต่อาภัพทำคุณแก่ท่านมิทำตอบ แล
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๓  ผู้เกิดมานั้นอาภัพ จะมีผู้ให้ตายแต่น้อย มีผู้เพียรจะใส่ยาเมาให้กิน และไฟจะไหม้ ศัตรูจะทำร้าย อายุได้เจ็ดขวบท่านขอไปเลี้ยง แล้วจากกัน จะมาอยู่ที่เกิดตนอีก จะได้ส่งสินผู้เลี้ยงนั้น จะได้ดีเมื่อภายหลังแล 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๔  ผู้เกิดมานั้นพ่อแม่ตายแต่น้อย เป็นกำพร้า แต่จะมีบุญ และรู้หลักนักปราชญ์ จะได้ทรัพย์ของผู้เฒ่าผู้แก่ จะได้พึงทรัพย์ของท่านมาก จะมีข้าหญิงชาย วัวควาย พี้น้องจะได้พึ่ง แต่ว่ามีศัตรูมาก เมื่อเกิดรกพันคอออกมา ถ้ามิฉะนั้นออกมาจะตายด้าน จะตายแต่น้อย แล 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้นท่านผู้อื่นมาผูกข้อมือเอาแต่อยู่ในท้อง ครั้นเกิดมาแล้วท่านจะเอาไปเป็นลูก จะได้ทรัพย์สมบัติมาก มีช้างม้าข้าคน ขุนนางจะให้รางวัลผ้าผ่อน พ่อแม่จะได้พึ่ง มีลักษณะอันดี และท่านผู้นั้นเทพนิมนต์มาเกิด จะมีทรัพย์อันประเสริฐ และมีมรรยาทดี มิได้อดอาหาร แล 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้นเป็นไข้ปางตาย ถ้ามิเป็นดังนี้ไซร้ ว่ามีผู้อื่นตายต่างในเรือนนั้น คือพี่น้อง เพราะเขาทำกรรมไว้แต่ปางก่อน และตาย เพราะผู้นั้นชาตาแข็ง พ่อแม่เลี้ยงมิได้ แต่ว่ามีความสำคัญอยู่ในตัว ผู้นั้นจะมีความรู้ แล 
            ผู้ที่เกิดวันจันทร์ได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้นได้ความลำบากยากนัก เมื่อเกิดมาเขาเอาไปทิ้งเสีย และพ่อแม่อาภัพอับลาภ ผู้ที่เกิดมานั้นเป็นคนอาภัพแต่เมื่อน้อย ครั้นโตใหญ่มาจึงจะได้ดี เพราะได้ของผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อื่นเอาไปเลี้ยงไว้จึงมีทรัพย์ข้าวของ จะได้ดีเมื่อภายหลังแต่มีศัตรูมากมาก และท่านจะเอาโทษ เมื่อเกิดมารกพันคอ หาไม่ไต่คลานออกมา และมีแผลข้างซ้ายอันดี พ่อแม่เลี้ยงเห็นจะตาย ให้ท่านผู้อื่นไปเลี้ยงเห็นจะดี แล 
            ถ้าเกิดวันจันทร์ได้ยาม ๒ (ใกล้ค่ำ)  ผู้เกิดมานั้น จะได้ทรัพย์ข้างของแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ จะได้แทนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ จึงจะอยู่ด้วยพ่อแม่ไม่ได้

    ผู้ที่เกิดวันอังคาร 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๑  ผู้เกิดมานั้น จะมีข้าทาส ช้าง ม้า วัว ควาย ทรัพย์สินข้าวของเงินทอง พี้น้องจะได้พึ่ง และจะได้ดีกว่าพี่น้องทั้งหลาย จะมีความรู้มาก รู้การทุกอย่าง และจะได้เป็นใหญ่กว่าพี่น้องทั้งหลาย ชาตาผู้นั้นมิรู้ยาก และมิรู้ขาดอาหารเลย แล 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๒  ผู้เกิดมานั้นใจแข็ง จะทำร้ายพ่อแม่ หาถ้อยความให้พ่อแม่ ผู้นั้นกินเหล้าเล่นเบี้ย พ่อแม่สั่งสอนมิเอาถ้อยความ เป็นนักเลงเล่นเบี้ยเล่นไก่ และมิได้อยู่ด้วยพ่อแม่ มักมากชู้หลายเมีย และเป็นคนหน้าด้านไม่มีอาย เป็นคนมักถือตัวว่ารู้แต่ผู้เดียว ครั้นมีคนขัดคอ มักตอบเถียง ตามใจตัวเอง แล 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๓  ผู้เกิดมานั้นฉลาดแต่ขี้ขลาด ตาสูง น่าชังมาก ดีแต่ว่าร้องไห้หายเร็ว และมีความโอบอุ้ม พี่น้องทั้งหลายจะได้พึ่ง แต่ว่าญาติข้างพ่อมิเอาใจใส่ แต่ว่ามักคิดให้ เมื่อปางจะได้จะมีนั้นมีความคิดดี มิตกยาก มียศศักดิ์ จะมีทรัพย์และมีคนรักใคร่มาก แล 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๔  ผู้เกิดมานั้น พ่อแม่เดือดร้อนใจ และชักแช่งเกิดถ้อยความ จากไปที่ไกลแล้วจึงคืนมา ต่อไปภายหน้าจึงจะดี เมื่อเกิดมานั้นอาภัพกว่าคนทั้งหลาย แล 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๕  ผู้เกิดมานั้นพ่อตายแต่น้อย เป็นกำพร้าพ่อ และมีผู้เอาไปเลี้ยง ใจแข็งกว่าคนทั้งหลาย มักกินเหล้าเมามาย จะทำลายแก่พ่อแม่ คนอื่นสอนมิเอาคำ เป็นนักเลง ตั้งแต่ออกมาแล้วแหวนหาย ถ้าเป็นข้าชอบทำการอาสา ท้าวพระยาจะให้ความชอบใส่ตัว ไปเบื้องหน้าจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ ปรารถนาสิ่งใดจะได้ดังใจ แล 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๖  ผู้เกิดมานั้นดี จะมีทรัพย์ ข้างของเงินทองและข้าคนมาก ทั้งใจก็ดี แต่ว่าเป็นทุกข์ เพราะพ่อจะเบียนลูกเอง และมิได้อยู่ด้วยพ่อ นานไปเมื่อหน้าจะเป็นศัตรูกัน ไปเมื่อหน้าจะได้ดี แต่ว่าปากนั้นประดุจหอกดาบ จะมีฤทธิ์อานุภาพ และจะสมบูรณ์ ไปเมื่อหน้าจะเจ็บ ทำคุณท่าน ท่านรู้คุณแต่น้อย 
            ผู้ที่เกิดวันอังคารได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้นย่อมผลาญทรัพย์ พ่อแม่ให้ฉิบหาย พ่อแม่สอนมิได้เอาถ้อยคำ เป็นนักเลงเล่นเบี้ยเล่นการพนัน ครั้นมีคนว่าทำเป็นร้องไห้ ว่าดีเป็นร้ายว่าร้ายเป็นดี พ่อแม่เลี้ยงมิได้ เพราะชาตาผู้นั้นแข็ง พ่อแม่มิสบอารมณ์  บังเกิดมิสมควรด้วยพ่อแม่ เมื่อเกิดผู้นั้นรกพันคอออกมา ถ้ามิดังนั้นตายด้านออกมา แต่น้อยพ่อแม่มักมีเหตุการณ์ต่าง ๆ แล 
            ถ้าเกิดวันอังคารได้ยาม ๓ (ใกล้ค่ำ)  ผู้เกิดมานั้น มีความกล้าหาญกว่าคนทั้งหลาย จะมีบริวารเป็นอันมาก จะมีข้าทาส วัวควาย ช้างม้า ผ้าผ่อน และแก้วแหวนเงินทอง และจะได้ทรัพย์ผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่า ตายาย และจะได้เป็นใหญ่กว่าพี่น้อง และญาติมิตรทั้งหลาย ผู้นั้นมีรกพันคอออกมา และมีลักษณะข้างซ้าย มีคงกะพันมาแต่ในท้อง แต่ว่าจะดีด้วยพ่อ แต่ว่าพ่อนั้นมิได้อยู่ด้วยแล

    คนเกิดวันพุธ 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๑  ผู้เกิดมานั้น จะตายแต่น้อยทีหนึ่ง ถ้ามิตาย เป็นหญิงจะได้เป็นอัครมเหสี ถ้าเป็นชายจะได้เป็นมนตรีผู้ใหญ่ จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย มีช้าง ม้า วัว ควาย ยวดยานคานหาม เป็นช่างได้ทุกอย่าง มิได้ลำบาก  มีไฝ ประกอบด้วยความรู้ ผู้นั้นมิได้ยากจน เป็นผู้มีความรู้นัก แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๒  ผู้เกิดมานั้นจะได้บริวารมากมาย มีช้าง ม้า วัว ควาย ยวดยานคานหาม และทรัพย์สินข้าวของเงินเป็นอันมาก จะเป็นผู้มีความรู้ และรู้หลัก รู้ธรรมดี และย่อมจะได้ดังปรารถนา แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๓  ผู้เกิดมานั้นพ่อแม่ตายแต่น้อย มิฉะนั้นพ่อแม่จะจากกัน ที่เกิดอยู่ใกล้ป่า และป่าช้า จะมีภัยต่าง ๆ และจะได้รับความลำบากแต่น้อย ครั้นใหญ่มาจึงจะได้ดีเมื่อหน้า แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๔  ผู้เกิดมานั้นรู้ศิลปะ ธรรมะ จะได้เป็นครูแก่ท่านทั้งหลาย ท่านจะให้เป็นครูสั่งสอนแก่ท่าน และท่านผู้นั้นเทพยดานิมนต์มาเกิด เป็นผู้มีความรู้มาก และเป็นช่างทุกประการ เป็นผู้ที่รู้ถ้อยความดีนัก พ่อแม่พี้น้องจะได้พึ่ง เมื่อเกิดมานั้น มีคนผูกข้อมือเอาเป็นลูก ผูกด้วยเงินทองผ้าผ่อนมากมาย แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๕  ผู้เกิดมานั้นจะทรลักษณ์ข้างซ้าย และมิได้อยู่กับพ่อแม่ ชาตาแข็ง พ่อแม่เลี้ยงมิโต พ่อแม่เลี้ยงมิได้ ถ้าเลี้ยงพ่อแม่จะย่อยยับอัปรา และพ่อแม่จะจากกัน จะเกิดถ้อยความ และไฟจะไหม้บ้านไหม้เรือน โจรจะลักของ และตกยาก ครั้นเมื่อใหญ่จะได้ดี เมื่อแก่ มิถอย ผมสูง และตาเติบหรือตาตีบ พุงพลุ้ย เนื้อน้อย จะมีผู้คอยปองร้าย แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๖  ผู้เกิดมานั้น มีผู้เอาไปเลี้ยง จะได้ทรัพย์สินเงินทอง แก้วแหวน ช้าง ม้า ข้าคนมาก จะได้เครื่องบูชา และจะมีคนเอาของมาให้จากต่างเมือง เมื่อผู้นั้นเกิดมา มีรูปโฉมโนมพรรณอันดี ทั้งกิริยามารยาทก็ดี รู้หลักทุกประการ เป็นช่างทุกอย่าง ผู้นั้นมิรู้ขาดอาหารเลย แล 
            ผู้ที่เกิดวันพุธได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้น ชาตาแข็ง พ่อแม่จะจากกัน มิดังนั้นก็จะหย่าร้างกัน จะตายแต่น้อย ถ้ามิตาย จะจากกัน จะเป็นความใหญ่ และท่านจะจองจำใส่ขื่อคาโซ่ตรวนผูกมัด และพ่อแม่จะเป็นทุกข์หนักแล เมื่อเกิดมานั้นรกพันคอออกมา และมีไฝปานข้างซ้าย ผู้นั้นใจแข็งกว่าคนทั้งปวง แล 
            ถ้าเกิดวันพุธได้ยาม ๔ (ใกล้ค่ำ)  ผู้เกิดมานั้น จะทำให้พ่อแม่เสียทรัพย์ข้าวของเงินทอง พ่อแม่จวนจะตายทีหนึ่ง และผู้ที่เกิดมานั้น จวนจะตายทีหนึ่งแต่เมื่อน้อย แต่ว่าจะมีบุญเมื่อแก่ รู้ธรรม และจะเป็นครูแก่ท่านทั้งหลาย คนทั้งหลายจะได้พึ่งต่อไปภายภาคหน้าแล

    คนเกิดวันพฤหัสบดี 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๑  ผู้เกิดมานั้น จะมีตบะเดชะ รู้ความทุกประการ ถ้าจะทำการสิ่งใด ย่อมต้องใจคนทุกเมื่อ ถ้าเป็นหญิง จะได้เป็นคุณจอมคุณท้าว ถ้าเป็นชายจะได้เป็นขุนหลวง ถ้ามิดังนั้นจะเป็นมหาเศรษฐี พี่น้องทั้งหลายจะได้พึ่ง จะได้เป็นเจ้านายแก่ท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้มั่นคง ท่านผู้นั้นจะมิได้รู้ถอยทรัพย์สมบัติเลย แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๒  ผู้เกิดมานั้น จะพบแต่ความลำบาก ท่านว่าจะพลัดพรากจากที่อยู่อาศัยสักสองหน แล้วจึงกลับคืนมาอยู่ที่เก่านั้นเล่า จะมีทรัพย์น้อยเบาบาง และอาหารก็น้อย อาภัพแต่เป็นคนกินง่าย นอนยาก ขี้คร้าน จะทำการใด ๆ ก็มิค่อยจะทำ ต้องให้ท่านจิกหัวใช้อยู่เรื่อย ๆ ขี้คร้านมากมาย ครั้นปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พี่น้องว่า ก็โกรธ ก็ยังมีอยู่มีกิน ตามใจตัวเอง และเป็นคนที่คบไม่ได้ เพราะคิดนอกใจ แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๓  ผู้เกิดมานั้น จะได้ปกครองแทนพ่อแม่ เป็นใหญ่แทนที่ขุนหลวง มีวัวควาย จะได้เป็นเศรษฐี และมีปัญญามาก จะมีข้าวของเงินทอง ช้างม้า ข้าทาส จะได้ทรัพย์ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง ชาตาของบุคคลนั้นดีมาก จะมิรู้ถอย แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๔  ผู้เกิดมานั้นมิได้อยู่ในที่ที่เขาเกิด ะต้องจากไปในประเทศเขตแดนเมืองอื่น จะมีทรัพย์น้อย แต่ใจแกล้วกล้า ผู้อื่นสั่งสอนมิเอาถ้อยคำ ถือรั้นไปแต่คนเดียวตามลำพังใจตนเอง เป็นคนประพฤติมิดี มักเป็นชู้กับเมียเขาอื่น ตามใจตัวเองมาก จึงทำให้เสียคน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อทำไปแล้วจึงรู้สึก เมื่อแก่ตัวจึงจะเห็นโทษ แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๕  ผู้เกิดมานั้น อยู่ในตระกูลอันดี จะได้เป็นใหญ่ และรู้ธรรมทั้งหลาย เมื่อเกิดจะเป็นครูแก่ท่าน เมื่อเกิดย่อมมียศ มีรถพันคอ ถ้าผู้หญิงดี ๆ ก็เกือบจะได้เป็นพระราชินีรูปงาม กิริยามารยาทดี มีพงษ์พันธุ์ มีไฝปานข้างขวา มีเงินทอง ช้างม้า วัวควาย ข้าคนจะได้ขี่ยวดยานคานหามบริบูรณ์ และจะมิรู้ขาดอาหาร แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๖  ผู้เกิดมานั้น จะมีชาตาดี แต่ว่ามิได้อยู่ด้วยบิดามารดา จะต้องไปต่างเมือง ศัตรูหมู่ปัจจามิตรมักเบียดเบียน แต่ถ้าผู้ใดมาเบียดเบียน ผู้นั้นจะฉิบหายวายวอดไปเองแล แต่ว่าต่อไป เมื่อจากไปอยู่เมืองไกลแล้ว  ต่อไปในภายหน้า จึงจะกลับคืนมาสู่ที่อยู่เดิมได้ และจะได้ครอบครองที่นั้น ผู้นั้นมีรูปโฉมโนมพรรณงามดี แล 
            ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้นใจคอห้าวหาญ ชอบการรบพุ่งกัน มากไปด้วยศัตรู จะเกิดถ้อยความตามตำรา จะเสียทรัพย์เสียสมบัติข้าวของ เป็นคนอาภัพ ทรัพย์ก็น้อย ครั้นเมื่อใหญ่จึงจะดี กล้าหาญชาญชัยกว่าคนทั้งหลาย และจะมีตบะเดชะ จะค่อยสมบูรณ์ไปเมื่อภายหน้า เมื่อหน้าพี่น้องญาติกาจะได้พึ่ง มีความรู้หลักแหลมมากนัก จะมีสติปัญญาดี มีไหวพริบดี มีสติปัญญา 
            ถ้าเกิดวันพฤหัสบดีได้ยาม ๕ (ใกล้ค่ำ)  ผู้เกิดมานั้น จะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู เป็นที่พึ่งพาแก่คนทั้งหลาย และเป็นผู้รู้หลักลักษณะทุกประการ และกล้าหาญ มีข้าวของ เงินทอง ช้างม้า วัวควาย ข้าทาสบริวารมากนักหนา เป็นที่ประชุมของคนทั้งหลาย พี่น้องจะได้พึ่ง เมื่อน้อยมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง ถ้ามิยอมให้กับท่าน เติบใหญ่จะได้เป็นที่ขุนนางขุนหลวง และจะมียศถาบรรดาศักดิ์ คนทั้งหลายเกรงกลัวอำนาจแล


 

    คนเกิดวันศุกร์ 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีผู้นำเอาแก้วแหวนเงินทองมาให้ จะอุดมไปด้วยลาภสักการอย่างดี ๆ จะมีสุขบริบูรณ์ มิรู้ตกยากเลย อนึ่ง ต่อไปภายหน้า พ่อแม่จะเป็นทุกข์หนัก จะมีขุนนางเอาไปเลี้ยงไว้ พ่อแม่ก็จะได้พึ่งท่านผู้นั้นแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น จะพลัดพรากจากที่อยู่ที่กิน จะตกยากลำบากนัก ครั้นเมื่อเติบใหญ่ พ่อแม่จะเสียน้ำตา แต่ว่าผู้ใหญ่จะให้คุณ ต่อไปภายหน้าจะได้ดี จะมีข้าทาสช่วงใช้ จะมีคนคอยช่วยเหลือทั้งเงินข้าวของพัสดุต่าง ๆ แล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น ต้องจากที่เกิดไปต่างเมืองไกลจึงจะดี จะมีคนช่วยทุกข์ และคิดอะไรจะได้ดังใจปรารถนาทุกประการ ผู้ที่เกิดมานั้นจะได้พึ่ง และต่อไปจะได้ดี จะทำการสิ่งใด ๆ ก็ดี ย่อมสำเร็จไปด้วยความคิด และทุกสิ่งทุกอย่างจะสมประสงค์ได้ด้วยความรู้ของตน แต่ว่าเป็นคนอาภัพนักแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีแก้วแหวนเงินทอง ช้างม้า ข้าคน จะมีคนนำเอามาให้จากเมืองไกล และจะได้ทรัพย์สินมรดกจากญาติผู้ใหญ่เป็นอันมากแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น จะได้รับความยากลำบาก เพราะมีโรคเบียดเบียนบีฑาแต่เมื่อน้อย แต่ว่ามีคนคอยช่วยเหลือ เมื่อน้อยมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง ต่อไปภายหน้าจะมีเงินทองข้าวของ จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยาแทนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ จะมีความสุขบริบูรณ์กว่าคนทั้งหลายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น เกิดมาในพงษ์พันธุ์ที่มีชื่อเสียง มีความสุขสบายกว่าคนทั้งหลาย จะมีทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสชายหญิงเป็นอันมาก จะได้ขึ้นคานหาม ราชยาน เป็นคนมีความรู้ดีและมีรูปงาม มิรู้เป็นถ้อยเป็นความ เป็นที่พึ่งแก่ญาติพี่น้อง จะกินที่ขุนนางท้าวพระยาแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะทำให้พ่อแม่เดือดร้อน จะจากที่อยู่อาศัย จะเอาป่าเป็นบ้าน แต่ต่อภายหน้าจึงจะดี จะสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองมิรู้ถอยเลยแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๖ (ใกล้รุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น เมื่อแรกเกิดมีอาการตกใจ และจะตกน้ำทีหนึ่ง หรือมิฉะนั้นจะตกต้นไม้ หรือจะตกจากบ้าน แต่ทว่ามีบุญ ถ้าเป็นหญิง จะได้เป็นคุณจอม ถ้าเป็นชาย จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยาผู้ใหญ่ จะมีช้าง ม้า วัว ควาย เป็นอันมากแล

    คนเกิดวันเสาร์ 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๑  ผู้เกิดมานั้นจะตายแต่น้อย ถ้ามิตายไซร้ จะมีอายุยืน พี่น้องมิได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่ตาย เมื่อเกิดมานั้น พ่อแม่ต้องถ้อยความ เกิดอุบาทว์หนูกัดผ้า แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๒  ผู้เกิดมานั้น จะจากที่อยู่ที่กิน ต้องถ้อยความ เสียเงินเสียทอง ต้องขื่อคา และมักเป็นทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ ครั้นใหญ่มาจึงจะดี เมื่อภายแก่จะได้เป็นดี แม่นั้นเป็นทุกข์ด้วยพ่อ พ่อนั้นทำวนด้วยหน่อยหนึ่ง เมื่อเกิดมามีเหตุอุบาทว์ในเรือน เป็นเหตุมาแต่นั้น พ่อแม่ทุ่มเถียงกัน จะจากกันเพราะเหตุนั้น ผู้นั้นเลี้ยงยาก และจะมีไข้เจ็บนัก แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๓  ผู้เกิดมานั้น มีคนรักทุกแห่งหน แม่นั้นพอประมาณ แต่พ่อนั้นดี เกิดมาใจแข็ง  และมิเคยอยู่ด้วยแม่ แม่นั้นอยู่ด้วยมิได้ มิสมาคมด้วยพี่น้องญาติกาทั้งหลาย ว่าไปเมื่อหน้ามิมีประโยชน์ ครั้นใหญ่มามิได้อยู่ด้วยแม่ เพราะเหตุว่าอาภัพแม่กว่าคนทั้งหลาย แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๔  ผู้เกิดมานั้น พ่อแม่แช่งชัก พ่อแม่ได้รับความเดือดร้อนใจ จะจากที่อยู่ที่กิน และจะต้องเสียเพราะความ เสียเงินเสียทอง พ่อแม่จะตีด่ากัน เมื่อน้อยเป็นคนทุรพาลกว่าคนทั้งหลาย ครั้นใหญ่มาจึงค่อยยังชั่ว พ่อแม่จะอัปลักษณ์ แต่มิเป็นไร แม่นั้นเป็นทุกข์ด้วยพอ อนึ่งเมื่อเกิดมานั้น ว่าเกิดอุบาทว์ในเรือน เกิดภัยต่าง ๆ จึงเป็นมแต่นั้น แล พ่อแม่ทุ่มเถียงกันแต่นั้นแล จึงพลัดพรากจากกันแต่นั้นมา ผู้เกิดมานั้นมักเลี้ยงยาก และมักเจ็บไข้ แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๕  ผู้เกิดมานั้นใจแข็ง ใจคอกล้าหาญ มิได้ฟังคำสั่งสอน เป็นคนพาล มิได้ฟังคำคนว่า เมื่อเกิดมารกพันคอออกมา มีลักษณะข้างขวา เงินทองก็น้อย ความรู้น้อยพอประมาณ เข้าในระหว่างคนร้าย เป็นคนชอบทางนักเลงเล่นเบี้ย เล่นไก่ กล้าหาญ หาประโยชน์มิได้ แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๖  ผู้เกิดมานั้น มิได้อยู่กับพ่อแม่ มิดังนั้นจะตายแต่น้อย พ่อแม่เป็นคนทุพลภาพกว่าคนทั้งหลาย เพราะตัวเป็นคนชั่ว ท่านว่าชาตาเราไม่ดี แล้วแช่งชัก แม่นั้นเป็นคนกันดาร และว่าภายหน้าแก่จึงจะดี บ่ ห่อนรู้ยากจนเลย แล 
            ผู้ที่เกิดวันเสาร์ได้ยาม ๗  ผู้เกิดมานั้นมีรกพันคอออกมา จะตายแต่น้อย พ่อแม่เลี้ยงยาก มีโรคาพยาธิมาก จะจากที่อยู่ อนึ่ง เมื่อเกิดมานั้น มีอุบาทว์ในเรือนคือเรือนหักทับกันตาย พ่อแม่ทุ่มเถียงกัน ผู้เกิดมานั้นรกพันคอมาแต่ในท้องแม่ ถ้ามิฉะนั้น จะง่อยเปลี้ยเสียขา เสียตา เสียตีน พิการขาซ้าย แต่ว่าใจแข็ง มีฟังคำสอน มักคบชู้ และเป็นชู้กับเมียท่าน แล 
            ถ้าเกิดวันเสาร์ได้ยาม ๗ (ใกล้ค่ำ)  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะตายแต่น้อย พ่อแม่เลี้ยงไม่ได้ ชาตาแข็ง เมื่ออายุได้ ๗ ปี จวนจะตายครั้งหนึ่ง เพราะมีพยาธิโรคาติดมาแต่ในท้อง ต่อไปภายหน้าจึงจะดี เป็นผู้กล้าหาญกว่าคนทั้งหลาย และเข้าในระหว่างคนร้าย ใจแข็ง และมิฟังคำสอน แต่ว่าภายแก่จึงจะดี บ่ห่อนจะรู้ยากจนเลยแล 
ทายยามตกฟากกลางคืน 
    คนเกิดวันอาทิตย์ 
            สิทธิการิยะ ถ้าผู้ใดเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น เมื่อเกิดมามักมิได้อยู่กับบิดามารดา มักจะมีท่านผู้อื่นเอาไปเลี้ยง เป็นผู้มีปัญญา มีความรู้ เฉลียวฉลาดดี แต่มักจะมีศัตรูเบียดเบียน มีบุตรเลี้ยงยาก ถ้าให้ท่านผู้อื่นก่อนจึงจะดี จะมีตบะเดชะไปภายหน้าแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น มักมิได้อยู่ในที่เกิด เป็นคนเลี้ยงยาก เมื่อแรกเกิดมานั้น  ข้าวของเงินทองหาย บิดามารดาจะเกิดถ้อยความ ต้องขื่อคาโซ่ตรวน เพราะถูกเขาใส่ความ เมื่อแรกเกิดนั้น อาภัพไร้ญาติ หาที่พึ่งมิได้แล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะเป็นโจรง มักจะมีถ้อยความถึงตัวอยู่เสมอ และมักจะพาให้พี่น้องเดือดร้อนลำบาก ต้องขื่อคาโซ่ตรวน และเกิดพยาธิโรคา เป็นคนคอยเบียดเบียนพี่น้องญาติกา เป็นคนที่เข้ากับพี่น้องไม่ได้ เมื่อเติบใหญ่จะถูกท้าวพระยาทำโทษ แต่ว่าจะได้เป็นนายคน และจะตกยากเพราะบ่าว จะเป็นใหญ่แก่คนทั้งปวงแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น เป็นคนขี้ขลาด และเป็นคนมีใจอาฆาตพยาบาทไม่รู้หาย พูดจาเอาถ้อยคำมิได้ มักจะคบเพื่อนที่เป็นโจรผู้ร้าย และมักจะหาความเดือดร้อนให้แก่บิดามารดา ต้องเสียทรัพย์สินเงินทองอยู่เนือง ๆ ถ้ามีคนขอเอาไปเลี้ยงจงเร่งให้ไปเถิดแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะรู้หลักนักปราชญ์ เป็นคนมีสติปัญญา แม้จะไปอยู่สถานที่ใด ๆ ก็ดี จะได้เป็นใหญ่ เมื่อเกิดมานั้นรกพันคอ มักจะมีไฝหรือปานในร่มผ้า เป็นที่ชื่นชมแก่ญาติมิตรสหาย เป็นคนมีน้ำใจเอื้ออารีย์ดี ต่อไปภายหน้าจะมียศศักดิ์ และจะมีคนรักมากแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น เป็นผู้มีมิตรสหายมาก เมื่อน้อยตกน้ำทีหนึ่ง หรือมิฉะนั้น ก็ตกต้นไม้ เป็นคนมีปัญญาดี เมื่อเกิดมานั้นจะได้แก้วแหวนเงินทอง และพัสดุต่าง ๆ อนึ่งเมื่อแรกเกิด มักจะมีเหตุทุ่มเถียงกัน ครั้นเมื่อเกิดมาแล้วจะมีข้าวของเป็นอันมากแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น เป็นคนมีพี่น้องก็เหมือนไม่มี เมื่อแรกเกิดนั้นรกพันคอ เป็นคนใจแข็ง บิดามารดาไม่ได้เลี้ยง เมื่อเกิดมาได้ ๓ วัน ๗ วัน พ่อแม่จะหย่ากัน เมื่อเกิดมานั้น พ่อแม่อาภัพ และจะเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ในเรือน เมื่อเกิดมานั้นเรือนจะหัก หลังคาไฟไหม้ แม่นั้นตกใจแทบตายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอาทิตย์ได้ยาม ๑ (ใกล้รุ่ง)  ผู้เกิดมานั้น มักจะมิได้อยู่ในที่ ๆ เกิด จะเป็นคนมีความรู้ มีสติปัญญา รู้หลักนักปราชญ์  รอบรู้ในการช่างเป็นอันดี มักจะเป็นคนเจ้าทุกข์ ศัตรูมักจะเบียดเบียน อนึ่ง มีไฝปาน ประกอบด้วยความรู้ จะมีตบะเดชะ และจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายทั้งปวงแล 
    คนเกิดวันจันทร์ 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะตายแต่น้อย หรือมิฉะนั้นจะเลี้ยงยาก ต้องให้ท่านผู้อื่นเอาไปเลี้ยงจึงจะดี แต่ว่าอาภัพ เป็นคนทุรพล หาข้าวของเงินทองและอาหารเลี้ยงตัวยากนัก และเป็นคนที่เข้าสมาคมกับใครมิใครจะได้ พ่อแม่พี่น้องเป็นคนทรลักษณ์ ใจกล้าใจแข็ง เป็นคนไม่ฟังคำสั่งสอน มิเอาถ้อยคำของปู่ย่าตายาย เป็นคนเชื่อใจของตน แต่เจรจาดี มีปัญญา นานไปจะมีความรู้ ๖ ประการ และจะครองใจได้แล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น ย่อมระเหเร่ร่อน จะได้รับความลำบากเมื่อน้อย ครั้นต่อไปภายหน้าจะได้ที่อยู่ที่กินเป็นอันดี ถ้าจากที่อยู่อาศัยเดิม ไปอยู่ที่อื่นจะได้ดี จะมีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์ ต่อไปเมื่อแก่จะได้เป็นที่พึ่งแก่พี่น้องญาติกาทั้งหลาย เป็นคนใจโกรธง่ายหายเร็ว เป็นคนรู้ถ้อยรู้ความ เป็นที่ชอบใจแก่ขุนนางท้าวพระยาเป็นอันมาก และคนทั้งหลายมักจะยกย่องนับถือแล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น อาภัพ และมีผู้ทำให้ตายแต่น้อย เป็นคนมีผู้เบียดเบียนอยู่เสมอ เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ มีคนขอเอาไปเลี้ยงแล้วจากกัน แต่จะกลับมาอยู่ที่เก่าของตนอีก จะได้ทรัพย์สินเงินทองของผู้เลี้ยงนั้นแล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น เมื่อเกิดมาพ่อแม่พี่น้องตาย เป็นคนกำพร้า แต่จะมีบุญและรู้หลักนักปราชญ์ จะได้ทรัพย์สินเงินทองผู้เฒ่าผู้แก่แล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น ท่านว่ามีผู้อื่นผูกข้อมือให้แต่อยู่ในท้อง ครั้นคลอดมาแล้วท่านจะเอาไปเลี้ยงเป็นลูก จะได้ทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก จะมีช้างม้า ข้าคน ขุนนาง ท้าวพระยาจะให้รางวัล จะเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ แลท่านผู้นั้นเทพได้นิมนต์ให้ลงมาเกิดเป็นคนมีมารยาทดีแล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น เมื่อน้อยเป็นไข้เกือบตาย เป็นคนมีชาตาแข็ง บิดามารดามิได้เลี้ยง ให้ท่านผู้อื่นเลี้ยงจึงจะดี เป็นคนอยู่กับพี่น้องมิได้ มักจะทะเลาะวิวาทฆ่าฟันกัน แต่ว่าเป็นคนมีดีอยู่ในตัว ผู้นั้นมักจะมีความรู้ดีแล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น จะได้รับความลำบากยิ่งนัก เมื่อเกิดมานั้นเป็นคนอาภัพมาก ครั้นโตขึ้นมาจึงจะดี เพราะได้ของผู้เฒ่าผู้แก่ จะมีทรัพย์สินเงินทองข้าวของเป็นอันมากแล 
            ถ้าเกิดคืนวันจันทร์ได้ยาม ๒ (ใกล้รุ่ง)  ทายเหมือนกับวันจันทร์ยามเช้านั้นแล 
    คนเกิดวันอังคาร 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีข้าทาสหญิงชาย ทรัพย์สินเงินทองข้าวของเป็นอันมาก พี่น้องจะได้พึ่ง และจะได้เป็นใหญ่กว่าญาติกาทั้งหลาย เป็นคนมีความรู้กิจการทุกอย่าง ชาตาผู้นั้นจะมิรู้ยากจนแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น ใจแข็งนัก จะทำร้ายแก่พ่อแม่ และจะหาถ้อยความให้แก่พ่อแม่ เป็นคนชอบกินเหล้า เล่นการพนัน พ่อแม่สั่งสอนมิเชื่อถ้อยคำ เป็นคนมิได้อยู่ด้วยกับพ่อแม่ มากชู้หลายเมีย และเป็นคนหน้าด้านไม่มีอาย เป็นคนถือตัวว่ารู้ดีแต่ผู้เดียว ครั้นมีคนมาขัดคอ มักจะโต้เถียงไปตามใจของตัวแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น เป็นคนฉลาด แต่ว่ามักขี้ขลาด เป็นคนโอบอ้อมอารีย์พี่น้องทั้งหลายจะได้พึ่ง แต่ว่าญาติพี่น้องข้างพ่อมิได้เอาใจใส่ แต่เป็นคนมีความคิดดี มิได้ตกยาก จะมียศศักดิ์สูงแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะทำให้พ่อแม่เดือดร้อนใจอยู่เสมอ จะเกิดเป็นถ้อยความอยู่เนือง ๆ ถ้าจากที่เกิดไป ภายหน้าจึงจะดี เมื่อเกิดมานั้นอาภัพกว่าคนทั้งหลายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น บิดาตายแต่น้อย เป็นคนกำพร้าบิดา และมีผู้เอาไปเลี้ยง เป็นคนใจแข็ง ชอบกินเหล้าเมามาย จะทำลายแก่พ่อแม่ คนอื่นสอนมิค่อยจะเชื่อถ้อยฟังคำ เป็นนักเลงตั้งแต่น้อย ถ้าเป็นข้า ชอบทำการอาสาขุนนางท้าวพระยาจะได้ความชอบ และไปเบื้องหน้าจะมียศศักดิ์ จะได้ดีกว่าคนทั้งหลายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีทรัพย์สิน ข้าวของเงินทองเป็นอันดี ทั้งมีใจโอบอ้อมอารีย์ มีความรู้ดี แต่ว่าเป็นคนเจ้าทุกข์อยู่เสมอ อนึ่งมิได้อยู่ด้วยพ่อ และมิชอบด้วยพ่อ นานไปจะเป็นศัตรูแก่กัน ต่อไปภายหน้าจะได้ดี แต่ว่าปากนั้นคมประดุจหอกดาบ จะมีฤทธามาก และจะสมบูรณ์เป็นอันดี 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น ย่อมจะผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ให้ฉิบหาย ไม่ค่อยจะเชื่อถ้อยคำของพ่อแม่ มักจะเป็นนักเลงการพนัน พ่อแม่มักจะเลี้ยงมิได้ เป็นคนชาตาแข็ง บังเกิดมิสมควรแก่พ่อแม่ เมื่อเกิดมาพ่อแม่มักมีเหตุการณ์ต่าง ๆ แล 
            ถ้าเกิดคืนวันอังคารได้ยาม ๓ (ใกลรุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น มีความกล้าหาญกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง จะมีบริวารข้าทาสหญิงชาย ผ้าผ่อนแพรพรรณ แก้วแหวนเงินทองเป็นอันมาก และจะได้ทรัพย์จากปู่ย่าตายาย และจะได้เป็นใหญ่กว่าพี่น้อง และมิตรสหายทั้งหลายแล 
    คนเกิดวันพุธ 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะตายเมื่อคลอดทีหนึ่ง ถ้ามิตาย เป็นหญิงจะได้เป็นเมียมนตรี ถ้าเป็นชายจะได้เป็นขุนนางท้าวพระยาผู้ใหญ่ และจะประกอบไปด้วยทรัพย์สมบัติมาก มีช้างม้าวัวควาย ข้าทาส ยวดยาน คานหาม มิได้ลำบากเลย เป็นผู้มีความรู้ดีนักแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีบริวาร ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นอันมาก และจะมีทรัพย์สินเงินทองเป็นอันมาก จะเป็นคนมีความรู้ รู้หลักนักปราชญ์ และย่อมจะได้สิ่งที่คิดสมควรปรารถนาแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น ท่านว่าพ่อแม่จะตายแต่แรกเกิด  หรือมิฉะนั้น พ่อแม่จะต้องหย่าร้างจากกัน ที่เกิดนั้นติดอยู่กับป่า หรือป่าช้า จะมีภัยต่าง ๆ จะได้รับความยากลำบากแต่เมื่อแรกเกิด ครั้นเติบใหญ่จึงจะได้ดีแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น รู้จักศิลปะ รู้จักธรรมะ จะได้เป็นครูแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง และท่านผู้นั้นเป็นผู้ซึ่งมีบุญมาเกิด เป็นผู้รู้หลักนักปราชญ์ เป็นผู้รู้วิชาการช่างทุกประการ พ่อแม่จะได้พึ่งแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น มีรูปร่างทรลักษณ์ข้างซ้าย มิได้อยู่กับพ่อแม่ เป็นคนชาตาแข็ง พ่อแม่เลี้ยงมิได้ ถ้าพ่อแม่เลี้ยง จะย่อยยับฉิบหาย และพ่อแม่จะเกิดถ้อยความ จะเกิดไฟไหม้บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย โจรผู้ร้ายจะลักของ และเมื่อน้อยจะได้ความยาก ครั้นเติบใหญ่จะได้ดี เมื่อแก่จะมีผู้ปองร้ายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง และจะได้ทรัพย์สมบัติ เป็นคนมีตบะเดชะดี และจะได้ของฝากจากคนต่างเมืองอันพึงใจ ผู้ที่เกิดมาในยามนี้ มีรูปโฉมอันดี และเป็นคนมีมารยาทดี รู้หลักการช่างทุกประการ เป็นคนอุดม จะมิรู้ขาดอาหารเลยแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น ชาตาแข็ง จะตายแต่เมื่อแรกเกิด ถ้ามิตายก็ต้องพลัดพรากจากบิดามารดา จะได้รับความเดือดร้อนด้วยถ้อยความต่าง ๆ และจะถูกท่านจองจำด้วยขื่อคาโซ่ตรวน เมื่อแรกเกิดมานั้น รกพันคอออกมา และมีไฝปานข้างซ้าย เป็นคนมีใจแข็งกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง 
            ถ้าเกิดคืนวันพุธได้ยาม ๔ (ใกล้รุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น ทำให้พ่อแม่เสียทรัพย์สินเงินทองข้าวของ พ่อแม่เกือบตายทีหนึ่ง ผู้ที่เกิดมานั้นเกือบจะตายทีหนึ่ง แต่เมื่อแรกเกิด แต่จะมีบุญเมื่อแก่ และรู้หลักนักปราชญ์ จะเป็นครูแก่ท่านทั้งปวง คนทั้งหลายจะได้พึ่งต่อไปในภายหน้าแล 
    คนเกิดวันพฤหัสบดี 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีตบะเดชะ มีความรู้ทุกประการ จะทำการงานสิ่งใด ๆ ก็ดี ย่อมเป็นที่ต้องใจของคนทั้งหลาย ถ้าเป็นหญิง จะได้เป็นคุณจอม คุณท้าว ถ้าเป็นชาย จะได้เป็นคุณหลวง คุณพระ ถ้ามิฉะนั้น จะได้เป็นมหาเศรษฐี พ่อแม่ญาติพี่น้องทั้งหลายจะได้พึ่ง จะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นคนมีฐานะมั่นคง และท่านผู้นี้จะมิรู้ถอยจากทรัพย์สมบัติแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น เป็นคนอาภัพ จะพบแต่ความยากลำบาก ท่านว่าจะต้องพลัดพรากจากที่อยู่ที่กิน ๒ คราว ๓ คราว แล้วจะกลับคืนมาอยู่ที่เดิม จะมีทรัพย์น้อย แต่เป็นคนกินง่าย นอนยาก ขี้คร้านการงานใด ๆ ก็มิค่อยจะทำ ต้องให้ท่านจิกหัวใช้อยู่เรื่อย ครั้นปู่ย่าตายายพ่อแม่พี่น้องว่ากล่าวก็โกรธ ตามใจตัวเองมาก จะเป็นคนที่คบไม่ได้เพราะจะคิดนอกใจผู้อื่นอยู่เสมอแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น มิได้อยู่ในที่เกิด จะต้องจากไปอยู่ต่างแดน มีทรัพย์น้อย มีปัญญาน้อย แต่เป็นคนมีใจแกล้วกล้า มิค่อยจะฟังคำสั่งสอนของผู้อื่น ทำสิ่งใดตามลำพังใจตัวเอง ทำให้ผู้อื่นเสียคน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อทำไปแล้วจึงรู้ผิดรู้ชอบแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น จะได้ปกครองแทนบิดามารดา จะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง เป็นคนมีปัญญา จะมีข้าวของเงินทอง ข้าทาสชายหญิง ช้างม้า วัวควาย จะได้เป็นเศรษฐี จะได้ทรัพย์มรดกจากผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง ชาตาบุคคลผู้นี้ดีมาก จะมิรู้อับจนเลยแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น อยู่ในตระกูลอันดี จะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง รู้หลักธรรม จะได้เป็นครูท่านทั้งหลาย ต่อไปจะมียศศักดิ์ ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นอัครมเหสี รูปงาม กิริยามารยาทดี มีพงษ์พันธุ์ดี มีไฝปานข้างขวา จะมีเงินทองข้าวของ วัวควาย ช้างม้า ข้าคน เป็นอันมาก และจะสมบูรณ์ไปด้วยอาหารมิรู้ขาดแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีชาตาดี แต่ว่าท่านมิได้อยู่ด้วยบิดามารดา จะต้องไปต่างเมือง จะมีศัตรูคอยเบียดเบียนอยู่เสมอ แต่ว่าถ้าผู้ใดเบียดเบียน ผู้นั้นก็จะต้องฉิบหายวายวอดตายไปเอง ต่อเมื่อจากไปอยู่เมืองไกลแล้ว ต่อไปภายหน้า ก็จะได้กลับมาอยู่ที่เดิมอีก และจะได้ครอบครองที่เดิมนั้นแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น ใจคอห้าวหาญ ชอบการรบพุ่ง เป็นคนอาภัพแต่เมื่อแรงเกิด ครั้นเมื่อเติบใหญ่จึงจะได้ดี เป็นคนกล้าหาญกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง ต่อไปภายหน้าพี่น้องจะได้พึ่ง เป็นคนมีความรู้มาก มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด มีไหวพริบดีแล 
            ถ้าเกิดคืนวันพฤหัสบดีได้ยาม ๕ (ใกล้รุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู เป็นที่พึ่งพาอาศัยแก่คนทั้งปวง เป็นผู้รู้หลักนักปราชญ์ ใจคอกล้าหาญ มีข้าวของเงินทอง ช้างม้า วัวควาย เป็นอันมาก ญาติพี่น้องจะได้พึ่ง เมื่อน้อยจะมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง ถ้ามิยอมให้แก่ท่าน เมื่อเติบใหญ่จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยา จะมียศถาบรรดาศักดิ์ คนทั้งหลายจะยำเกรงอำนาจวาสนาแล 
    คนเกิดวันศุกร์ 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีผู้นำเอาแก้วแหวนเงินทองมาให้ จะอุดมไปด้วยลาภสักการอย่างดี ๆ จะมีสุขบริบูรณ์ มิรู้ตกยากเลย อนึ่ง ต่อไปภายหน้า พ่อแม่จะเป็นทุกข์หนัก จะมีขุนนางเอาไปเลี้ยงไว้ พ่อแม่ก็จะได้พึ่งท่านผู้นั้นแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น จะพลัดพรากจากที่อยู่ที่กิน จะตกยากลำบากนัก ครั้นเมื่อเติบใหญ่ พ่อแม่จะเสียน้ำตา แต่ว่าผู้ใหญ่จะให้คุณ ต่อไปภายหน้าจะได้ดี จะมีข้าทาสช่วงใช้ จะมีคนคอยช่วยเหลือทั้งเงินข้าวของพัสดุต่าง ๆ แล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น ต้องจากที่เกิดไปต่างเมืองไกลจึงจะดี จะมีคนช่วยทุกข์ และคิดอะไรจะได้ดังใจปรารถนาทุกประการ ผู้ที่เกิดมานั้นจะได้พึ่ง และต่อไปจะได้ดี จะทำการสิ่งใด ๆ ก็ดี ย่อมสำเร็จไปด้วยความคิด และทุกสิ่งทุกอย่างจะสมประสงค์ได้ด้วยความรู้ของตน แต่ว่าเป็นคนอาภัพนักแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีแก้วแหวนเงินทอง ช้างม้า ข้าคน จะมีคนนำเอามาให้จากเมืองไกล และจะได้ทรัพย์สินมรดกจากญาติผู้ใหญ่เป็นอันมากแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น จะได้รับความยากลำบาก เพราะมีโรคเบียดเบียนบีฑาแต่เมื่อน้อย แต่ว่ามีคนคอยช่วยเหลือ เมื่อน้อยมีผู้ขอเอาไปเลี้ยง ต่อไปภายหน้าจะมีเงินทองข้าวของ จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยาแทนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ จะมีความสุขบริบูรณ์กว่าคนทั้งหลายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น เกิดมาในพงษ์พันธุ์ที่มีชื่อเสียง มีความสุขสบายกว่าคนทั้งหลาย จะมีทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสชายหญิงเป็นอันมาก จะได้ขึ้นคานหาม ราชยาน เป็นคนมีความรู้ดีและมีรูปงาม มิรู้เป็นถ้อยเป็นความ เป็นที่พึ่งแก่ญาติพี่น้อง จะกินที่ขุนนางท้าวพระยาแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะทำให้พ่อแม่เดือดร้อน จะจากที่อยู่อาศัย จะเอาป่าเป็นบ้าน แต่ต่อภายหน้าจึงจะดี จะสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองมิรู้ถอยเลยแล 
            ถ้าเกิดคืนวันศุกร์ได้ยาม ๖ (ใกล้รุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น เมื่อแรกเกิดมีอาการตกใจ และจะตกน้ำทีหนึ่ง หรือมิฉะนั้นจะตกต้นไม้ หรือจะตกจากบ้าน แต่ทว่ามีบุญ ถ้าเป็นหญิง จะได้เป็นคุณจอม ถ้าเป็นชาย จะได้เป็นขุนนางท้าวพระยาผู้ใหญ่ จะมีช้าง ม้า วัว ควาย เป็นอันมากแล 
    คนเกิดวันเสาร์ 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๑  ผู้ที่เกิดมานั้น จะตายแต่ยังน้อย ถ้ามิตาย จะมีอายุยืน มีพี่น้องจะมิได้อยู่ร่วมกัน แม่จะตายแต่เมื่อแรกเกิด หรือมิฉะนั้น พ่อแม่จะต้องถ้อยความแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๒  ผู้ที่เกิดมานั้น จะจากที่อยู่ที่กิน จะเสียทรัพย์สินเงินทอง และข้าวของเป็นอันมาก จะเดือดเนื้อร้อนใจ จะมีทุกข์เพราะต้องขื่อคา ครั้นภายแก่จึงจะดี เมื่อน้อยเลี้ยงยาก มักจะเจ็บไข้อยู่เสมอแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๓  ผู้ที่เกิดมานั้น จะมีคนรักใคร่เอ็นดู จะไปสถานที่ใด ๆ ก็ดี ย่อมเป็นที่ยินดีต้อนรับแก่คนทั้งหลาย มารดานั้นพอประมาณ บิดานั้นก็ดี ผู้ที่เกิดมานั้นใจแข็ง และมิได้อยู่ด้วยพ่อแม่ ไม่สมัครอยู่ด้วยกับพี่กับน้องและญาติกาทั้งหลาย ครั้นเติบใหญ่มาก็มิได้อยู่ด้วยพ่อแม่ เพราะเหตุว่าอาภัพแม่กว่าคนทั้งหลายแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๔  ผู้ที่เกิดมานั้น พ่อแม่จะได้รับความเดือดร้อนใจอยู่เสมอ พ่อแม่มักแช่งด่า และจะต้องเสียเงินเสียทอง เพราะจะเป็นความ จะจากที่อยู่ที่อาศัย เป็นคนทรพลกว่าคนทั้งหลาย ครั้นเติบใหญ่มาจึงจะได้ดี แต่ว่าพ่อแม่จะอัปลักษณ์ แต่ว่ามิเป็นไร อนึ่ง เมื่อเกิดมานั้น เกิดอุบาทว์ในเรือน พ่อแม่เถียงกัน แต่นั้น จึงได้พลัดพรากจากกัน ผู้ที่เกิดมานั้นเลี้ยงยาก มักจะได้รับความเจ็บไข้อยู่เสมอ 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๕  ผู้ที่เกิดมานั้น มีใจคอกล้าแข็ง มิเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้อื่น เป็นคนพาล เมื่อเกิดมานั้นมีรกพันคอ เป็นคนมีทรัพย์น้อย มีความรู้น้อย เป็นคนชอบทางนักเลง ชอบเล่นการพนัน ใจกล้าหาญ เข้าอยู่ในระหว่างคนร้าย หาประโยชน์มิได้เลยแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๖  ผู้ที่เกิดมานั้น มิได้อยู่กับพ่อแม่ ถ้ามิฉะนั้นจะตายแต่น้อย พ่อแม่เป็นคนทุพลภาพ เป็นคนชาตาไม่ดี เข้าพี่เข้าน้องมิค่อยได้ เป็นคนมิฟังคำสั่งสอน จำทำการสิ่งใด ย่อมถือเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ถือดีแต่ตนเองแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๗  ผู้ที่เกิดมานั้น มีรกพันคอ เลี้ยงยาก มีโรคาพยาธิมากมาย จะจากที่อยู่อาศัย อนึ่ง เมื่อเกิดมานั้น เกิดอุบาทว์ในเรือน พ่อแม่เถียงกัน หรือมิฉะนั้น ผู้ที่เกิดมานั้น จะง่อยเปลี้ย เสียขา เสียตา เสียเท้า แต่ทว่าเป็นคนใจแข็ง มิเชื่อฟังคำผู้อื่น มักคบชู้สู่เมียท่านแล 
            ถ้าเกิดคืนวันเสาร์ได้ยาม ๗ (ใกล้รุ่ง)  ผู้ที่เกิดมานั้น มักจะตายแต่น้อย พ่อแม่เลี้ยงมิได้ ชาตากล้าแข็งนัก เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ เกือบจะตายครั้งหนึ่ง เพราะโรคาพยาธิติดมาแต่กำเนิด ต่อไปภายหน้าจึงจะได้ดี เป็นคนมิเชื่อฟังคำสั่งสอน แต่จะมิรู้ยากจนแล