แผนที่

สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา Democratic Socialist Republic of Sri Lanka

การเมืองการปกครอง

การเมืองการปกครอง
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ศรีลังกาเป็นประเทศสาธารณรัฐมีการปกครองแบบรัฐสภา และมีประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาล (Head of State and Head of Cabinet) เป็นระบบสภาเดียว (unicameral parliament) มีสมาชิกทั้งหมด 225 คน โดยจำนวน 196 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนจากเขตเลือกตั้งทั้งหมด 22 เขต และอีก 29 คน มาจากการจัดสรรที่นั่งให้กับพรรคการเมืองตามอัตราส่วนของคะแนนเสียงที่ได้รับจากประชาชนในแต่ละเขตเลือกตั้ง ประธานรัฐสภาได้รับเลือกจากสมาชิกรัฐสภา

ประมุข
ตามรัฐธรรมนูญประธานาธิบดีมีอำนาจมาก (Executive Presidentcy) เป็นทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาล และดำรงตำแหน่งสูงสุดของกองทัพ (โดยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย) มีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยการปรึกษากับนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี มีอำนาจในการถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจในการยุบสภา (สามารถกระทำได้ภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไป 1 ปี) รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 นาย Mahinda Rajapaksa ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 (ค.ศ.2005) สืบแทนนาง Chandrika Kumaratunga ซึ่งหมดวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2

ฝ่ายบริหาร
ตามรัฐธรรมนูญหัวหน้าฝ่ายบริหาร คือ ประธานาธิบดี โดยหัวหน้าพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาในการเลือกตั้งทั่วไป จะได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีให้เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีถือว่าเป็นหัวหน้ารัฐบาล เพราะมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน คือ นาย Ratnasiri Wickamanayaka เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 (ค.ศ.2005)

นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นโยบายทั่วไป
สร้างสังคมที่มีวินัย โดยการรักษาวัฒนธรรมและศีลธรรม โดยทุกคนและทุกหน่วยงาน ต้องให้ความเคารพกฏหมาย มีธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด และดำเนินนโยบายที่สามารถเข้าถึงประชาชน โดยให้ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจ และจะสร้างสภาพแวดล้อมของประเทศให้เอื้อต่อการพัฒนาเยาวชน สร้างองค์ความรู้ ทักษะ ความเข้มแข็ง และสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชน

ด้านเศรษฐกิจ
จะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจมหาภาคที่ให้ความเป็นธรรมต่อสังคม และเปิดช่องทางให้บุคคลทั่วไปได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปเศรษฐกิจที่จะนำศรีลังกาไปสู่จุดที่เข็งแกร่งในระบบเศรษฐกิจโลก เช่น การเพิ่มการลงทุน และชักจูงการลงทุนการต่างประเทศ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้รุดหน้า

ด้านการต่างประเทศ
ให้ความสำคัญกับเอเชีย โดยจะร่วมมือกับประเทศในเอเชียอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องค่านิยมของเอเชีย เพื่อให้ศรีลังกามีความเข้มแข็ง และดำเนินนโยบายในเชิงรุกที่เหมาะสมกับศรีลังกา

การเจรจาสันติภาพ
ยืนยันความตั้งใจที่จะสานต่อกระบวนการสันติภาพต่อไป และยังยึดถือความตกลงหยุดยิงระหว่างรัฐบาลศรีลังกากับ LTTE พร้อมที่จะทบทวนความตกลงหยุดยิงดังกล่าว เพื่อยุติปัญหาต่างๆ และพร้อมที่จะเจรจากับกลุ่ม LTTE เพื่อให้เกิดสันติภาพ โดยจะหารือกับมิตรประเทศที่ได้เคยให้ความร่วมมือเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพศรีลังกา

สถานการณ์ที่สำคัญ
ผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ
เหตุการณ์คลื่นสึนามิทำให้ศรีลังกาสูญเสียอย่างมาก โดยมีผู้เสียชีวิต 30,957 รายบาดเจ็บ 15,196 ราย สูญหาย 5,644 ราย พลัดถิ่น 502,456 ราย และบ้านเรือนเสียหาย 119,504 หลัง ความเสียหายส่วนใหญ่เกินขึ้นในเขตยึกครองของ LTTE ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการเจรจาสันติภาพ เนื่องจากกลุ่ม LTTE ได้สูญเสียกำลังพลและอาวุธยุทธปกรณ์จำนวนมาก คงจะมีท่าที่อ่อนลง แต่ในความเป็นจริงเหตุการณ์สึนามิทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นในการจัดสรรสิ่งของและเงินบริจาค ประธานาธิบดีจึงได้จัดตั้ง Post Tsunami Operation Management Structure (P-Toms) เพื่อขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องดังกล่าว โดยไม่สนใจข้อคัดค้านของฝ่ายใด

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
จากเหตุการณ์คลื่นสึนามิทำให้ภาพรวมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของศรีลังการ้อยละ 1 จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตร้อยละ 5.5 ในปีนี้ ภาคการท่องเที่ยวเสียหายมากที่สุด มูลค่า 12 – 13 พันล้านรูปี หรือประมาณร้อยละ 5 ของเศรษฐกิจทั้งหมด อย่างไรก็ดี ศรีลังกาได้รับความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก เช่น ญี่ปุ่นบริจาค 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มประเทศเจ้าหนี้ (โดยเฉพาะกลุ่ม Paris Club) ได้ยืดเวลาการชำระหนี้ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2548 ออกไป และสหราชอาณาจักรจะช่วยชำระหนี้ร้อยละ 10 ของหนี้ที่ศรีลังกามีกับ World Bank ทั้งนี้ เงินช่วยเหลือจากนานาประเทศที่ศรีลังกาได้รับทำให้ค่าเงินรูปีศรีลังกาแข็งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออกของศรีลังกา

การเมืองภายใน
นาย Mahinda Rajapaksa นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ผู้สมัครจากพรรค Sri Lanka Freedom Party (SLFP) ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 โดยได้รับคะแนนเสียง 4,887,152 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 50.29 ในขณะที่นาย Ranil Wickremesinghe อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้สมัครจากพรรค United National Party (UNP) ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ได้รับคะแนนเสียง 4,706,366 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 48.43 สำหรับคะแนนเสียงส่วนที่เหลือกระจายไปยังผู้สมัครรายอื่นอีก 11 ราย โดยนาย Dayananda Dissanayake เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งศรีลังกาได้ประกาศผลการเลือกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548

นาย Rajapaksa ได้เข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 ของศรีลังกา เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 ณ ทำเนียบประธานาธิบดี โดยได้แถลงนโยบายว่าจะนำประเทศไปสู่ยุคใหม่ที่มีความเป็นธรรมในสังคม มีการรักษากฏหมายและความสงบเรียบร้อย และมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวศรีลังกา

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 นาย Rajapaksa ได้แต่งตั้งให้ นาย Ratanasiri Wickremanayaka อายุ 73 ปี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีศรีลังกาสืบแทนตน นาย Wickremanayaka เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2543 – 2544 เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพุทธศาสนา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ล่าสุดได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายและความสงบเรียบร้อย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

การเจรจาสันติภาพ
นอร์เวย์ได้เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายในปี 2543 (ค.ศ 2000) และสามารถบรรลุข้อตกลงในปี 2545 (ค.ศ 2002) โดยคู่กรณีได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง และข้อตกลงนี้มีผลบังคับเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2545 (ค.ศ. 2002) โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาฯ มาแล้ว 8 รอบ โดยครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่ประเทศไทยที่ฐานทัพเรือสัตหีบ (ก.ย. 2545) ครั้งที่ 2 ที่สวนสามพราน (ต.ค.2545) ครั้งที่ 3 ที่กรุงออสโล (ธ.ค. 2545) ครั้งที่ 4 ที่สวนสามพราน (ม.ค. 2546) ครั้งที่ 5 ที่กรุงเบอร์ลิน (ก.พ. 2546) ครั้งที่ 6 ที่เมืองฮาโกเน (มี.ค. 2546) ครั้งที่ 7 ที่นครเจนีวา (ก.พ. 2549)
ครั้งที่ 8 ที่นครเจนีวา (ต.ค. 2549)

เศรษฐกิจการค้า

GDP 27.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2549)

รายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,069 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

อัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 7.3 (ปี 2549)

มูลค่าการส่งออก 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

มูลค่าการนำเข้า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

สินค้าส่งออกที่สำคัญเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชา พลอย

สินค้านำเข้าที่สำคัญ เครื่องจักรกล สิ่งทอ และแร่ธาตุ

ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี อินเดีย จีน ฮ่องกง
ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไต้หวัน

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา

ด้านการทูต
ไทยและศรีลังกาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับอัครราชทูต เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2498 (ค.ศ.1955) และยกระดับเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2504 (ค.ศ. 1961) ปัจจุบัน นายสัจจพันธุ์ อัตถากร เป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบและตำแหน่งเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยได้ว่างลงตั้งแต่เดือนเมษายน 2550

ด้านการเมือง
ไทยสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหว่างกลุ่ม LTTE และศรีลังกา โดยรับเป็นสถานที่จัดการเจรจา ตามที่ผู้แทนของนอร์เวย์ได้ทาบทาม จนกว่าการเจรจาจะบรรลุผลที่ยั่งยืน

ด้านความช่วยเหลือทางวิชาการ
รัฐบาลไทยได้เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะศรีลังกาภายหลังวิกฤติจากการก่อการร้ายของกลุ่มLTTE โดยแผนความช่วยเหลือมีระยะ 2 ปี คือ ปี 2546-2547 และได้ยืดแผนความช่วยเหลือถึงปี 2549 ให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่ศรีลังกาในวงเงิน 34 ล้านบาท คือ โครงการเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะศรีลังกาในภาคเหนือและภาคตะวันออก และโครงการเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติของศรีลังกา ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพและความชำนาญ เช่น การกู้กับระเบิด การแก้ไขปัญหาผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ สาธารณสุข การเกษตร การศึกษา และการพัฒนาชนบท เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายใน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือซึ่งอยู่ในการปกครองในกลุ่ม LTTE ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้ไทยได้ดำเนินการเพียงบางส่วนและต้องชะลอการให้ความช่วยเหลือออกไป และคืนงบดังกล่าวในที่สุด

ด้านการค้า
ในปี 2549 การค้าระหว่างไทยกับศรีลังกามีมูลค่า 321.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 294.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 26.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้าที่ไทยส่งออกไปศรีลังกาได้แก่ ผ้าผืน นำตาลทราย ปลาแห้ง เม็ดพลาสติก เส้นใยประดิษฐ์ ไทยนำเข้า อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ กุ้งแช่เย็นและแช่แข็ง

ในระหว่างการเยือนศรีลังกาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีในปี 2546 ได้มีความตกลงที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 3-5 ปี และได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการการค้า ภายใต้กรรมาธิการร่วมไทย-ศรีลังกา (JC) โดยได้เจรจาจัดทำ Preferential Trade Agreement – PTA เพื่อศรีลังกาจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับสินค้าชา ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรอลงนาม

สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปยังศรีลังกา คือน้ำตาลทราย ผ้าผืน เม็ดพลาสติก ปลาแห้ง ปูนซีเมนต์ ในขณะที่สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากศรีลังกา คือ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ ผ้าผืน กุ้งสด แช่เย็นแช่แข็ง เสื้อผ้า รองเท้า ยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ

การลงทุน
ไทยลงทุนในศรีลังกาไม่มากนัก แต่ศรีลังกาได้พยายามเชิญชวนให้ไทยร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมสาขาต่าง ๆ รวมทั้งไปตั้งฐานการผลิตในศรีลังกา เพื่อใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีระหว่างศรีลังกากับอินเดียในการส่งออกไปยังอินเดีย สาขาความร่วมมือที่มีศักยภาพ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมที่ใช้ยางเป็นวัตถุดิบในการผลิต อะไหล่รถยนต์ อุตสาหกรรมเพชรพลอยและอัญมณี การเกษตรและการประมง การท่องเที่ยว และการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นต้น ปัจจุบันไทยได้ลงทุนในด้านการก่อสร้างและการเกษตรในศรีลังกา

สำหรับการลงทุนของศรีลังกาในไทยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI จนถึงขณะนี้มีจำนวน 6 โครงการ ในสาขาการผลิต Activated Carbon การผลิต Silicone Nipples ด้านผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางเป็นวัตถุดิบ และด้านเพชรพลอย อนึ่ง คณะนักธุรกิจศรีลังกาในสาขาการเกษตรได้เดินทางมาประเทศไทย ได้แสดงความสนใจสินค้าเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากศรีลังกายังขาดความรู้และเทคโนโลยีในการจัดการและบริการสินค้าการเกษตร

ด้านการบิน
ไทยและศรีลังกาได้ลงนามความตกลงด้านบริการเดินอากาศระหว่างกัน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2493 ปัจจุบันการบินไทยและศรีลังกาแอร์ไลน์ทำการบินสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน และขณะนี้กำลังตกลงที่จะมีการเจรจาเพื่อปรับปรุงความตกลงที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ ในการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงการประชุม BIMSTEC Summit ครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทย เมื่อเดือน กรกฎาคม 2547 ศรีลังกาขอให้ไทยฝึกอบรมด้านการบินในสาขาต่างๆ แก่ศรีลังกา และด้าน low – cost airline ด้วย

ด้านความสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว
ในปี 2548 มีนักท่องเที่ยวศรีลังกาเดินทางมาประเทศไทย 38,470 คน มากขึ้นจากปี 2547 ที่มีจำนวน 33,720 คน ขณะที่ในปี 2548 มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปศรีลังกา 4,654 คน ลดลงจากปี 2547 ที่มีจำนวน 5,141คน

ไทยและศรีลังกาเห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเป็นในลักษณะCombined Destination นอกจากนี้ ไทยยังให้ความร่วมมือแก่ศรีลังกาในการฝึกอบรมบุคลากรและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านการท่องเที่ยวด้วย โดยมีความตกลงในเรื่อง Visit BIMST-EC Year แลBuddhist Trail ระหว่างประเทศที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เป็นอีกมิติของความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและศรีลังกา

ด้านสังคมและวัฒนธรรม
ไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ์พิเศษทางด้านพุทธศาสนา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 (ราว 800 ปีที่แล้ว) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ส่งคณะผู้แทนไปศรีลังกา เพื่อนิมนต์พระภิกษุ ศรีลังกา 3 รูปมาช่วยฟื้นฟูเผยแพร่พุทธศาสนาที่นครศรีธรรมราช ก่อนที่จะเผยแพร่ไปยังอาณาจักรสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองขึ้น และเรียกว่านิกายลังกาวงศ์ แต่ต่อมา ปี 2296 ไทยได้ส่งคณะพระภิกษุนำโดยพระอุบาลีมหาเถระเดินทางไปศรีลังกาตามคำร้องขอ เพื่อฟื้นฟูพุทธศาสนาในศรีลังกาอีกครั้ง และได้สถาปนาพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในศรีลังกา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อเดือนมกราคม 2482 และเสด็จฯ ไปวัดทีปทุตตามารามอันเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในกรุงโคลัมโบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงปลูกต้นไม้มงคลคือต้นจันทร์ หลังจากนั้นในปี 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ เยือนที่วัดนี้อีก และในเดือนสิงหาคม 2542 สมเด็จพระเจ้าฯ ลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เสด็จเยือนวัดนี้เช่นกัน

ศรีลังกาได้มอบหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากวัดพระเขี้ยวแก้วเมืองแคนดี้ และจากเมืองอนุราชปุระในศรีลังกาเพื่อมาปลูกในไทย นอกจากนั้น ศรีลังกายังได้บริจาคเงินเพื่อร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์วัดธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 3,440,000 บาท เมื่อปี 2546 ทั้งนี้เนื่องจากวัดธรรมารามเป็นวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดที่พระอุบาลีมหาเถระเคยเป็นเจ้าอาวาสก่อนที่จะเดินทางไปศรีลังกา

ความตกลงที่สำคัญกับประเทศไทย
1. ความตกลงว่าด้วยบริการขนส่งทางอากาศ (ปี 2493) กำลังจะมีการเจรจาเพื่อปรับปรุงความตกลงดังกล่าว
2. ความตกลงทางวัฒนธรรม (ปี 2524)
3. อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ (ปี 2533)
4.ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ปี 2539)
5. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและวิชาการ (ปี2539)
6. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณะโบราณสถานวัดธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ปี2547)
7. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมง (ปี 2547)
8. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแลบริการสารสนเทศ (ปี 2547)
9. สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายทางอาญา (ปี 2547)
10. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเกษตร (ปี 2547)
11. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (ปี 2547)
12. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับการลงทุน (ปี 2547)

การเยือนของผู้นำระดับสูง
ฝ่ายไทย
พระราชวงศ์
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูทิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2482
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อปี 2493
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 21-28 มิถุนายน 2532
- สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 19- 24 มกราคม 2536
- สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 23 -29 สิงหาคม 2542
- สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเยือน
ศรีลังกา เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎกอักษรโรมันที่กรุงโคลัมโบ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2548
รัฐบาล
- พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม-1 เมษายน 2524
- ร้อยตรี ประพาส ลิมปะพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนศรีลังกาเมื่อเดือนมกราคม 2529 และพฤษภาคม 2530
- นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยือนศรีลังกา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2539
- นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่10-13 มีนาคม 2540
- ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 4 – 8 เมษายน 2542
- ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีของ BIMST-EC ครั้งที่ 5 ที่ศรีลังกา เมื่อวันที่ 19-20 ธันวาคม 2545
- พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม 2546

ฝ่ายศรีลังกา
- นาง Sirimavo Bandaranaike นายกรัฐมนตรี เยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล เมื่อเดือนมกราคม 2519
- นาย Ranil Wickremesinghe รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยเมื่อเดือน มีนาคม 2521
- นาย Ranasinghe Premadasa นายกรัฐมนตรี เยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล เมื่อวันที่ 12-16 พฤษภาคม 2524
- นาย Lakshman Kadirgamar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยเมื่อวันที่ 2-5 มกราคม 2539
- นาย Tyronne Fernando รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา เยือนไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2545
- นาย Lakshman Kadirgamar รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา เยือนไทย เมื่อวันที่ 28 – 29 กรกฏาคม 2547 ก่อนเข้าร่วมประชุม BIMSTEC
- นาง Chandrika Kumaratunga ประธานาธิบดีศรีลังกาเดินทางมาเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC Summit เมื่อวันที่ 30 – 31 กรกฏาคม 2547
- นาย Mahinda Rajapakse นายกรัฐมนตรีศรีลังกาเดินทางผ่านไทย เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2547 เพื่อไปประชุม World Buddhist Summit ณ กรุงย่างกุ้ง และมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศนำกระเช้าดอกไม้ไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่สนามบิน
- นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนไทยเป็นการส่วนตัว เมื่อวันที่ 26 - 27 เมษายน 2549
- นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรีเดินทางแวะผ่านไทย เพื่อไปร่วมประชุม Asian Regional Meeting ครั้งที่ 14 ของ ILO ที่เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2549
- นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรีเดินทางเยืนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 1 เมษายน 2550

สิงหาคม 2550

เรียบเรียงโดย กองเอเชียใต้ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา โทร. 0-2643-5043-44 E-mail : southasian02@mfa.go.th