|
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ
โดยกำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปีเป็น
"วันรักการอ่าน"
กำหนดให้ปี
2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน
และกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอันเป็นกลไกขับเคลื่อนการส่งเสริมการอ่านให้เกิดเป็นรูปธรรม
ซึ่งคนไทยจะได้รับการพัฒนาความสามารถในการอ่านและการรู้หนังสืออย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
พร้อมกันนี้ วันที่ 2 เมษายน
ของทุกปียังเป็นวันหนังสือเด็กแห่งชาติ อีกด้วย |
จากผลการวิจัยพบว่า
เด็กที่ถูกปลูกฝังการอ่านกับพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด
จะมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน
ทั้งสติปัญญา ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม |
โครงการส่งเสริมการอ่าน
จึงเป็นอีกหนึ่งในมาตรการของรัฐ เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านของเด็กไทย
ด้วยการส่งเสริมให้เกิดหนังสือดีราคาถูก
ถึงมือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง รวมถึง หนังสือเล่มแรก (Book start)
ด้วยการมอบหนังสือที่เหมาะสมให้เด็กได้อ่านกับพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด |
|
มาตรการ 5:
การส่งเสริมการอ่าน |
|
แนวคิด: |
การส่งเสริมการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชน
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนรักการอ่านและเข้าถึงหนังสือคุณภาพ
|
จากอัตราการอ่านหนังสือของคนไทยยังน้อย
เฉลี่ย 5 เล่มต่อคนต่อปี ในขณะที่ สิงค์โปร์และเวียตนาม 40-60
เล่มต่อคนต่อปี (ปี2549) |
อัตราการอ่านหนังสือของเด็กไทยอยู่ในระดับต่ำ
อีกทั้งหนังสือที่อ่านส่วนใหญ่คือตำราเรียน
และอัตราการอ่านลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้น
ทุกกลุ่มวัยมีแนวโน้มการอ่านหนังสือลดลง (จากประชากรผู้ที่อ่านหนังสือร้อยละ69.1ในปี2548
เหลือ 66.3ในปี 2551) ทั้งนี้เพราะมีสื่ออื่นที่สนใจกว่า เช่น โทรทัศน์
เกม เป็นต้น( สนง.สถิติแห่งชาติ 2551) |
อัตราการซื้อหนังสือของคนไทย 2 เล่ม/คน/ปี หรือร้อยละ 0.22
ของรายได้ต่อหัว (ปี2550) |
|
|
|
ปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่อ่านหนังสือ
เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งจากครอบครัว
จนถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐบาล
ที่ผ่านมาการรณรงค์ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านของสังคมไม่มีเอกภาพ
และไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน หรือสนับสนุน
|
การส่งเสริมการอ่าน
จึงต้องมีการดำเนินการไปพร้อมๆกัน ทั้งในด้านของอุปสงค์ (Demand side)
คือ การสร้างพฤติกรรมการอ่าน
การกระจายหนังสือให้ถึงมือเด็ก และการรณรงค์สร้างกระแสรักการอ่าน
และด้านอุปทาน (Supply side) คือ
มาตรการทางภาษี
ที่ทำให้หนังสือมีราคาถูกลง การขยายช่องทางเผยแพร่ใหม่ๆ
และการพัฒนาคุณภาพหนังสือ
|
ตัวอย่าง
โครงการหนังสือเล่มแรก (Book start)
เครือข่ายหนังสือเพื่อเด็ก
ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดทำโครงการหนังสือเล่มแรก
เพื่อสร้างกระแสรักการอ่าน
ด้วยการมอบหนังสือที่เหมาะสมให้เด็กได้อ่านกับพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด
|
จากผลการวิจัยที่ติดตามพัฒนาการของเด็กที่เข้าร่วมโครงการนี้ไปจนถึงอายุ 5
ขวบ เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับหนังสือ พบว่า
เด็กที่เข้าร่วมโครงการฯ มีพัฒนาการดีในทุกด้าน
ทั้งด้านสติปัญญา ทักษะทางภาษา และคณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม |
|
แนวทาง: |
1. รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านระดับชาติ
ที่มีองค์ประกอบของหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภาครัฐ (อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง) ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
เพื่อให้มีการจัดทำแผนแม่บท ยุทธศาสตร์ และดำเนินการด้านกฎระเบียบ
และมาตรการต่างๆ ที่จำเป็น |
2.
รัฐบาลสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อหนังสือให้ห้องสมุดชุมชน
และกระจายหนังสือดีให้ถึงเด็กและครอบครัวในชุมชน
รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนที่มีร้านค้าสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ
ได้จัดมุมจำหน่ายหนังสือดีราคาถูก
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและหาซื้อได้ง่าย |
3.
รัฐบาลกำหนดมาตรการทางภาษี (เช่น
ให้ธุรกิจหนังสือเด็กอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มอัตรา 0%)
เพื่อสนับสนุนให้มีการผลิตหนังสือคุณภาพออกเผยแพร่มากขึ้น
และการลดหย่อนจากเงินบริจาคให้แก่กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน |
4. รัฐบาลประกาศเรื่อง
การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ
โดยให้เริ่มในวันหนังสือเด็กแห่งชาติ (2 เมษายน 2552)
|
|
|