|
|
จากการที่น้ำจืดของโลกขาดแคลนมากขึ้น ในปี พ.ศ.2535
สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 22
มีนาคม ของทุกปีเป็น วันน้ำของโลก
หรือ World Day for Water
โดยเริ่มต้นในปี 2536 เป็นปีแรก
และชักชวนให้ประเทศต่างรับเป็นวันสิ่งแวดล้อมของชาติ
เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน
ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก
อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในหมู่มวลมนุษยชาติในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ
ช่วยกันดูแล บำรุงรักษา การพัฒนาแหล่งน้ำ
และจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างยั่งยืนสำหรับอนาคต
ตลอดจนดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี2535ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
หรือที่เรียกกันว่า Agenda 21 |
มีการจัดกิจกรรมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องน้ำของโลกขึ้นที่ประเทศต่างๆ
ดังนี้ |
|
ครั้งที่ 1:
ปี 2540 ณ ประเทศโมร็อกโก |
ครั้งที่ 2:
ปี 2543 ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ |
ครั้งที่ 3:
ปี 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น |
ในการประชุมหนแรกนั้น ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกำหนด
หลักจริยธรรมในการใช้น้ำครั้งใหม่เพื่อต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนน้ำโลกดังนั้น
การประชุมน้ำโลกในครั้งที่สองจึงเป็นการสานต่องานที่ทำค้างไว้
โดยจะมีการผลักดัน " แผนปฏิบัติการ " สำหรับน้ำในอีก 25ปีข้างหน้า
เพื่อทำให้ชาวโลกมีน้ำสะอาดไว้ดื่มกิน ชำระร่างกาย
และทำการเกษตรอย่างทั่วถึงในปี 2568
ผู้รับหน้าที่ทำงาน คือ " คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยน้ำสำหรับศตวรรษที่
21 " ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส
ฝรั่งเศส คณะกรรมาธิการชุดนี้ตั้งเป้าหมายว่า
จะเพิ่มการลงทุนในการจัดหาน้ำทั่วโลกขึ้นเป็นปีละ 180,000
ล้านดอลลาร์ โดยมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นายโคฟี
อันนาน เลขาธิการสหประชาชาติได้มีสารเนื่องในวันน้ำโลก โดยย้ำว่า "
น้ำสะอาดเป็นสิ่งพิเศษ
ในศตวรรษใหม่นี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถผลิตน้ำได้
น้ำจึงไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ หรือทดแทนได้
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเห็นคุณค่าของน้ำและรักษาทรัพยากรนี้ไว้
" เลขาธิการยูเอนยังได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ
เพื่อให้คนจนและคนรวยได้รับน้ำอย่างเท่าเทียมกัน ในราคาที่หาซื้อได้
และว่าสิ่งท้าทายของมนุษยชาติก็คือ การจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์น้ำ
คุณภาพของน้ำ และปริมาณน้ำ ซึ่ง "สตรีเพศ"
ในฐานะผู้จัดการครอบครัวจะต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นทั่วโลกว่า
น้ำเป็นสิ่งสำคัญ และมีบทบาทในการพัฒนาที่ยั่งยืน
ดังนั้นชาวโลกต้องยกระดับความรู้ในเรื่องการหมุนเวียนนำน้ำมาใช้ใหม่
และการเพิ่มสมรรถวิสัยต่อการจัดการทรัพยากรน้ำที่หายากนี้
ซึ่งทั้งหมดนี้ จะบรรลุผลได้ด้วยการดึงสติปัญญาของมนุษย์ออกมมาใช้
และส่งเสริมวัฒนธรรมการอนุรักษ์น้ำ ตลอดจนการ "
ปฏิวัติสีน้ำเงิน " |
|
หน่วยงานของสหประชาชาติ
2 แห่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำโดยตรง คือ
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก้)
กับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสเคป)
ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำทั่วโลก
ซึ่งน่าสนใจและมีหลายเรื่องที่คนทั่วยังไม่รู้และนึกไม่ถึง กล่าวคือ
ยูเนสโกและเอสเคประบุว่า พื้นผิวโลก2ใน3ปกคลุมด้วยน้ำแต่เป็น
" น้ำเค็ม " จากทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด ส่วน " น้ำจืด "
ซึ่งจำเป็นต่อการยังชีพของมนุษย์นั้น ครอบคลุมเพียงร้อยละ 1
ของผิวโลกเท่านั้น แต่ " แหล่งน้ำจืด "
ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือ,ใต้และธารน้ำแข็ง
หรือซึมอยู่ใต้ผิวดินลึก จนมนุษย์ไม่สามารถนำมาใช้ได้
ส่วนแหล่งน้ำจืดที่ใช้ได้จริงๆมีเพียงร้อยละ 0.25
เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่หาได้จากแม่น้ำ ทะเลสาบ
และแหล่งน้ำใต้ดิน
แหล่งน้ำจืดเพียงน้อยนิดนี้เองที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงชีวิตพลโลกกว่า
6,000ล้านคน ซึ่งแน่นนอนว่าย่อมไม่เพียงพอ
ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของมนุษย์กลับมีมากขึ้นทุกวัน
และมีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่บันยะบันยัง
ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของน้ำจืด
จนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
ยูเอนได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมการใช้น้ำของมนุษย์ว่า
ในแต่ละวันมนุษย์ต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2-5 ลิตร
ใช้ชักโครกโถส้วม 5-15 ลิตร ใช้อาบน้ำ
50-200 ลิตรขณะที่ใช้น้ำเพื่อการชลประทานและการเกษตร
ราวร้อยละ 70 ของน้ำทั้งหมด
แต่ครึ่งหนึ่งต้องสูญเปล่าเพราะซึมลงไปในดินหรือไม่ก็ระเหยขึ้นสู่อากาศหมด
กรุงเทพมหานครของไทย
ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เมืองที่ผลาญทรัพยากรน้ำมากที่สุดในโลก
เฉลี่ยแล้วใช้น้ำราว 265 ลิตรต่อคนต่อวัน
ขณะที่ชาวฮ่องกงใช้น้ำเปลืองน้อยที่สุดในโลก เพียง 112
ลิตร ต่อคนต่อวัน |
|
การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่รับผิดชอบทำให้การไหลเวียนของแม่น้ำหยุดชะงักลง
ระดับน้ำในแม่น้ำและน้ำใต้ดินลดลงอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่ลุ่มดินเปียกหายไป
สภาพปนเปื้อนพิษจากมลพิษต่างๆทำให้คุณภาพน้ำลดลง
จำนวนน้ำสะอาดก็ลดลงเช่นกัน
นอกจากนี้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรโลกก็มีส่วนทำให้จำนวนน้ำจืดสำหรับใช้ในรายบุคคลลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ น้ำที่ปนเปื้อนมลพิษและขาดสุขลักษณะ
เป็นสาเหตุทำให้เด็กทารก ในเอเชียและแปซิฟิกเสียชีวิตกว่าปีละ
5 แสนคน นอกจากนี้สถิติของสหประชาชาติเมื่อสิ้นปี2542
พบว่ามีประชากรโลกราว 2,400ล้านคน
ไม่ได้รับความสะดวกสบายจากระบบสุขอนามัยเกี่ยวกับน้ำที่ทันสมัย
หน่วยงานของสหประชาชาติได้เสนอแนะทางออกในปัญหานี้หลายข้อ อาทิ
การอนุรักษ์น้ำ , การบำบัดน้ำเสีย ,
การปรับเปลี่ยนหมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ,
การจัดการเรื่องน้ำและดินให้เหมาะสม ,
การทำวิจัยแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ ,
ออกกฎหมายการใช้น้ำที่ทันสมัย ,
การจัดสรรน้ำอย่างเสมอภาค
และการปลุกจิตสำนึกในหมู่ประชาชนให้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของน้ำ
ยิ่งกว่านั้น
การแก้ปัญหาเรื่องน้ำยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น
ตัวบุคคล , องค์กร ,
อาสาสมัคร , ภาคอุตสาหกรรม ,
รัฐบาลท้องถิ่น , รัฐบาลกลาง
ตลอดจน องค์กรระหว่างประเทศ
ซึ่งความร่วมมือระหว่างประเทศนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง |
และในการประชุมครั้งที่ 3 ณ ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศไทยได้เป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวร่วมกับประเทศอื่น
ๆ อีกประมาณ
200 ประเทศ |
การประชุมครั้งนี้ รัฐบาลไทยจะมีส่วนร่วมที่สำคัญในการประชุม
3 ประการได้แก่ |
1.
การเสนอรายงานโครงการประเมินสถานการณ์น้ำของโลกในส่วนของประเทศไทยกรณี
ศึกษาการพัฒนาและบริหารลุ่มน้ำเจ้าพระยา |
2. การเสนอแผนปฏิบัติการทรัพยากรน้ำ ของประเทศไทย |
3. การประชุมและจัดทำแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี |
ในการประชุมระดับโลกทุกครั้งที่ผ่านมา
สถาบันการจัดการน้ำระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการประชุมดังกล่าว
อาทิเช่น
World Water Council (WWC), Clobal Water Partnership (GWP)
และธนาคารโลก
ต่างใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอทิศทางหรือการจัดทรัพยากรน้ำและการแบ่งปันผลประโยชน์
(Water Resources Management and Benefit Sharing)
โดยมีประเด็นใจกลาง 4 ประเด็น ได้แก่
หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน (Public
Private Partnership), เขื่อนกับการพัฒนา (Dam
and Development Partnership), ค่าคืนทุน (Cost
Recovery), การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (Integrated
Water Resources Management)
ซึ่งสรุปในแต่ละประเด็นได้ดังนี้ |
|
การแปรรูปกิจการประปาหรือระบบชลประทานของรัฐ
(Privatization) ภายใต้แนวทาง ที่เรียกว่า
Public Private Partnership (PPP)
ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกผลักดันจากการประชุมระดับนานาชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว
เช่น การประชุมเรื่องน้ำจืดโลกที่กรุงบอน เดือนธันวาคม 2544
หรือ การประชุมที่โจฮันเนสเบิร์ก
แนวทางเช่นนี้ถูกใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมให้บริษัทข้ามชาติด้านกิจการน้ำประปาเข้ามา
ลงทุนหรือรับสัมปทานในประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย
ซึ่งในหลายประเทศได้เกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูงมาก เช่น
ประเทศโบลิเวีย
แนวความคิดในเรื่องการคิดค่าคืนทุนระบบชลประทานหรือระบบการลงทุนด้านการจัดหาน้ำเพื่อเป็นหลักประกันให้กับบริษัทที่มาลงทุนในแต่ละประเทศ
และการส่งเสริมระบบการค้าเสรีของโลก |
การส่งเสริมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบของเขื่อนขนาดใหญ่
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และเพื่อการบรรเทาน้ำท่วม ซึ่งผลักดันโดย
UNDP ได้จัดทำโครงการ Dam and Development
Partnership และ World Commission on Dam (WCD)
การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ หรือ Integrated
Water Resources Management (IWMI)
โดยมีแนวทางให้เกิดองค์กรระดับลุ่มน้ำ
เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ) |
|
|
|
|
ที่มา
:
http://www.geocities.com/Eureka/Park/1476/waterday.shtml |
http://www.lungkao.org/xboard/viewthread.php?tid=48 |
http://www.deqp.go.th/news_pr/env_day/water_day.shtml |