วัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 150 เมตร มีถนนล้อมรอบสี่ด้าน คือ
ถนนอัฏฐารสทางทิศเหนือ ถนนชัยมงคลทางทิศใต้ ถนนรอบเมืองทางทิศตะวันออก และถนนอินทยงยศทาง
ทิศตะวันตก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1651 ในรัชสมัยพระเจ้าอาทิตยราช ต่อมาได้รับการบูรณะต่อเติมมาเป็นลำดับ
ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญไชย ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือซุ้มประตู ก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณวัด ต้องผ่านซุ้ม
ประตูก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร เป็นฝีมือโบราณสมัยศรีวิชัยครับ ประกอบ ด้วยซุ้มยอดเป็น
ชั้น ๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่าบนแท่น สูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นใน สมัยพระ
เจ้าอาทิตยราช เมื่อทรงถวายวังให้เป็นสังฆารามวิหารหลวง เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้ว จะเห็นวิหารหลังใหญ่
เรียกว่า "วิหารหลวง" เป็นวิหารหลัง ใหญ่มีพระ ระเบียงรอบด้านและมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็น
วิหารที่สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า
ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2466 วิหารหลวงใช้เป็นที่บำเพ็ญ
กุศล และประกอบศาสนากิจทุกวันพระ ภายในวิหารประดิษฐานพระปฏิมาใหญ่ ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง บน
แท่น แก้วรวม 3 องค์ และพระพุทธปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัย
เชียงแสนชั้นต้น และชั้นกลางอีกหลายองค์
พระบรมธาตุหริภุญไชย เป็นพระเกศ บรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์ (ตั้งอยู่ หลังวิหาร
หลวง) เป็นเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ ที่ลงตัวสวยงาม ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก้ว ย่อเก็จ ต่อ
จากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะ ใกล้เคียง
กับพระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ สูง 25 วา 2 ศอก ฐานกว้าง 12 วา 2 ศอก 1 คืบ มีสัตติ บัญชร
(รั้วเหล็กและทองเหลือง) 2 ชั้น สำเภาทองประดิษฐานอยู่ประจำรั้วชั้นนอกทั้งทิศเหนือ และทิศใต้ มีซุ้มกุมภัณฑ์
และฉัตรประจำสี่มุม และหอคอยประจำทุกด้านรวม 4 หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งทุกหอ นอก จากนี้ยังมีโคมประ
ทีป และแท่นบูชาก่อประจำไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปพระบรม ธาตุนี้นับเป็นปูชนีย
สถานอันสำคัญยิ่งในล้านนาไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในวันเพ็ญ เดือน 6 จะมีงานนมัสการ และสรงน้ำพระธาตุ
ทุกปี ตาม ประวัติกล่าวเมื่อ พ. ศ. 1440 พระเจ้าอาทิตยราชกษัตริย์วงศ์รามัญผู้ครองนคร ลำพูนได้สร้าง
มณฑปครอบโกศทองคำ บรรจุพระบรมธาตุ ไว้ภายในและมีการสร้างเสริมกันต่อมาอีกหลาย สมัย ต่อมาในปี
พ.ศ. 1986 พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ครองนครเชียงใหม่ได้ทรงกระทำการ ปฏิสังขรณ์บูรณะ เสริมองค์พระ
เจดีย์ขึ้นใหม่ การสร้างคราวนี้ได้สร้างโครงขึ้นใหม่เป็นรูปแบบลังกา ซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะใน
สมัยพระเจ้าติโลกราชได้มีความสัมพันธ์กับลังกาอยู่มากพระสุวรรณเจดีย์ สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17
ตั้งอยู่ทางขวาของพระบรมธาตุ สร้างขึ้น โดยพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอาทิตยราช ภายหลัง
เมื่อสร้างพระธาตุฯ เสร็จแล้วได้ 4 ปี พระ สุวรรณเจดีย์องค์นี้เป็น รูปแบบพระปรางค์ 4 เหลี่ยม ฝีมือช่าง
ละโว้มีพระพุทธรูปประจำซุ้มฝีมือและแบบขอม หลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง ยอดพระเจดีย์มีทองเหลืองหุ้มอยู่ภาย
ใต้ฐานชั้นล่างเป็นกรุบรรจุพระเปิม ซึ่งเป็นพระเครื่องชนิดหนึ่ง
โบราณสถานที่สำคัญภายในวัด
พระบรมธาตุหริภุญชัย
เป็นโบราณสถานอันสำคัญของนครหริภุญชัยที่ พระเจ้าอาทิตยราช เป็นผู้สถาปนาขึ้นในราว
พุทธศตวรรษที่ 17
เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันมี ธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอก
ธาตุกระดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง
ตามพุทธทำนายลักษณะทางสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุหริภุญชัย
ตามที่ปรากฏในหนังสือตำนานพระธาตุหริภุญชัย กล่าวว่า มีลักษณะ
เป็นสถูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท ที่มีซุ้มทวาร เข้า- ออกทะลุกันได้ทั้งสี่ด้าน
มีปราสาทสี่เหลี่ยมอยู่ตรงมุมละองค์ก่อด้วยศิลาแลงซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากอยู่ในเมืองนี้
ภายในเป็นแท่น สำหรับประดิษฐาน พระโกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในสมัยของพญาสรรพสิทธิ์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์
ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์เจดีย์เดิมที่พญาอาทิตยราชทรงสร้างไว้และได้ขุดร่องทวารประตูเข้า-ออก
ทั้งสี่เพื่อความปลอดภัย รูปทรงสันฐานขององค์พระบรมธาตุยังคงเป็นลักษณะเดิม คือ
เป็นทรงปราสาทสี่เหลี่ยมที่กว้างใหญ่และสูง เมื่อ พญามังราย ตีเมืองหริภุญชัยได้
โปรดให้ซ่อมแซมดัดแปลงองค์พระธาตุขึ้นใหม่
การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรง ขององค์พระธาตุฯ
จากทรงปราสาทกลายเป็นทรงเจดีย์ฐานกลมแบบทรงลังกา
ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมาประมาณปี พ.ศ. 1951
โปรดให้มีการปิดทององค์พระธาตุ พ.ศ. 1990
พระเจ้าติโลกราชกษัตริย์องค์สำคัญแห่งเมืองเชียงใหม่ ทรงร่วมกับพระมหาเมธังกรเถระ
ก่อพระมหาเจดีย์ให้สูงขึ้นเป็น 92
ศอก กว้างยาวขึ้น 52
ศอก เป็นรูปร่างที่เห็นเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ตัวพระบรมธาตุ ประกอบด้วย![](http://www.dooasia.com/database/pic/039/1232.jpg)
ฐานปัทม์แบบฐานบัวลูกแก้วย่อเก็จ
ต่อจากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้นรับฐานบัวซึ่งมีลักษณะคล้าย
มาลัยเถาสามชั้นซึ่งตั้งรับองค์ระฆังกลม
องค์ระฆังประดับด้วยลวดลายดอกไม้สี่กลีบระหว่างลายดอกไม้สี่กลีบนั้นมีการดุนนูนเป็นภาพพระพุทธรูป
รอบองค์ระฆังซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์ย่อมุม
ส่วนบนเป็นปล้องไฉน ปลียอดเหนือสุดทำเป็นฉัตรเก้าชั้น นอกจากนี้พระเจ้าติโลกราช
ได้โปรดให้ก่อกำแพงโดยรอบเขตพุทธาวาสเพื่อเป็นการป้องกันรักษาองค์พระธาตุอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งยังทรงให้ก่อสร้างซุ้มประตูโขงประดับด้วยลวดลายปูนปั้นอย่างงดงามทางประตูด้านทิศตะวันออกหน้าวิหารหลวงทางทิศเหนือและทางทิศใต้และ
ทิศตะวันตก
ปัจจุบันคงเหลือแต่ซุ้มประตูโขง ทางทิศตะวันออก และทางด้านทิศใต้ปี พ.ศ. 2054
พระเมืองแก้ว กษัตริย์นครเชียงใหม่โปรดให้หุ้มบุองค์พระธาตุ ด้วยแผ่นทองจังโกฐ
ที่เป็นแผ่นทองแดง และทรงให้ปิดทองทั้งหมดพร้อมๆ กับโปรดให้สร้างระเบียงหอก
ทำด้วยทองเหลืองซึ่งสั่งทำจากเมืองเชียงแสนขึ้นเป็นรั้วล้อมโดยรอบขององค์พระธาตุด้วย
โปรดให้สร้างวิหารหลวงทางด้านทิศตะวันออกขององค์พระธาตุหริภุญชัยเป็นศิลปะล้านนา
นอกจากนี้ยังสร้างกำแพงเมือง และขุดคูโดยรอบกำแพงเมืองใหม่ขึ้น
เป็นการย่นย่อตัวเมืองหริภุญชัยให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเป็นการสะดวกที่จะดูแลรักษาองค์พระธาตุให้ง่ายยิ่งขึ้น
ซึ่งในการสร้างกำแพงเมืองในครั้งนี้ทำให้วัดสี่มุมเมืองที่สำคัญและสร้างขึ้นในสมัยของพระนางจามเทวีกลายเป็นวัดนอกเมืองลำพูนไป
ในปี พ.ศ. 2329 ในสมัยของพระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้มีพระราชศรัธทาตั้งฉัตรหลวงสี่มุม
และยกฉัตรยอดเป็นทองคำเนื้อเจ็ด ฐานฉัตรกว้าง 1 เมตร พระธาตุเจ้าหริภุญชัยเป็นที่เคารพสักการบูชาของชาวลำพูนและชาวเมืองเหนือมาแต่โบราณกาลตราบเท่าทุกวันนี้
สุวรรณเจดีย์หรือปทุมวดีเจดีย์
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขององค์พระธาตุหริภุญชัย
เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะการก่อสร้างแบบเดียวกับ
เจดีย์สี่เหลี่ยมหรือเจดีย์กู่กุดที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน
องค์เจดีย์สร้างด้วยศิลาแลงและอิฐ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทมีฐานสี่เหลี่ยมซ้อนชึ้นไปห้าชั้น
แต่ละชั้นประดับซุ้มจระนำทั้งสี่ด้าน ด้านละสามซุ้ม
ภายในซุ้มจะประดิษฐานพระพุทธรูปดินเผาประทับยืนประทับอยู่
ซึ่งมีร่องรอยของการลงรักปิดทอง ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่องค์
ส่วนบนสุดของเจดีย์เป็นกลีบบัวปูนปั้นหุ้มด้วยโลหะแผ่น
ส่วนยอดปลายสุดทำเป็นกรวยแหลมเรียวยาวขึ้นไป
สุวรรณเจดีย์องค์นี้มีพระพิมพ์ที่สำคัญและมีชื่อเสียงของเมืองลำพูนบรรจุอยู่ภายใน
คือ พระเปิม
เจดีย์เชียงยันหรือเจดีย์เชียงยืน
เจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่นอกกำแพงทางทิศเหนือของพระธาตุหริภุญชัย ตามตำนานกล่าวว่า
สร้างขึ้นในสมัยของพญาอาทิตยราช สำหรับเจดีย์ในปัจจุบัน
เป็นเจดีย์ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
และกรมศิลปากรก็ได้ทำการบูรณะองค์พระเจดีย์ใหม่ด้วยลักษณะทาสถาปัตยกรรมตรงส่วนของฐานล่างเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสซ้อนขึ้นไปสี่ชั้น
เหนือขึ้นไปทำเป็นบัวคว่ำและบัวถลาเป็นส่วนรองรับฐานสูง เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ
ตัวเรือนธาตุทั้งสี่ด้านทำเป็นซุ้มจระนำ แต่ก่อนคงประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ตรงเหนือ
ส่วนของเรือนธาตุขึ้นไปเป็นฐานแปดเหลี่ยมซ้อนขึ้นไปรองรับองค์สถูปที่เป็นทรงระฆังแบบลังกา
เหนือเรือนธาตุทำเป็นเจดีย์จำลองทรงสี่เหลี่ยมตรงมุมทั้งสี่
เหนือองค์ระฆังไม่มีบัลลังก์แต่ทำเป็นยอดบัวกลุ่มสลับกับบัวลูกแก้วลดหลั่นกันไปถึงส่วนยอดลวดลายที่ประดับและประกอบซุ้มจระนำ
และผนังย่อเก็จประกอบไปด้วยลายบัวคอเสื้อประจำยามและบัวเชิงล่างมีลักษณะเป็นลายดอกเบญจมาศและใบไม้ประดิษฐ์
ล้อมรอบในกรอบเส้นลวดซึ่งเป็นรูปแบบของลวดลายที่นิยมทำกันในสมัยพระเจ้าติโลกราช
หอระฆัง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์พระธาตุหริภุญชัย
เป็นหอสำหรับแขวนระฆังและกังสดาลขนาดใหญ่ สร้างขึ้นโดย พระครูพิทักษ์เจติยานุกิจ
(ครูบาคำฟู) เมื่อ พ.ศ. 2481
ด้านบนแขวนระฆังขนาดใหญ่ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยเจ้าหลวงดาราดิเรกรัตนไพโรจน์
เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 7 และชั้นล่างห้อยกังสดาลขนาดใหญ่ซึ่งหล่อขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2403 ฝีมือครูบาสูงเม่นโดยกัญจนมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดป่าเมืองแพร่
และเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ เป็นศรัทธาสร้างหล่อกังสดาลนี้
ในวัดพระสิงห์เมืองเชียงใหม่เพื่อไว้เป็นเครื่องบูชาพระธาตุหริภุญชัย
![](http://www.dooasia.com/database/pic/039/1235.jpg)
หอไตรหรือหอธรรม
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขององค์พระธาตุหริภุญชัยจากศิลาจารึก ลพ.15
(ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชยจังหวัดลำพูน)
เป็นจารึกอักษรไทยล้านนา จารึกขึ้นในราว พ.ศ. 2043
ซึ่งอยู่ในช่วงรัชกาลพระเมืองแก้ว จารึกหลักนี้ประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระธาตุหริภุญชัย
เรื่องราวในจารึกได้กล่าวถึงพระเมืองแก้ว
กับพระราชมารดาของพระองค์ได้ร่วมกันบำเพ็ญพระราชกุศล
อันยิ่งใหญ่สถาปนาหอไตรปิฎกหรือหอพระธรรมมณเฑียร
เป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎก ครบทั้ง 85,000 พระธรรมขันธ์
พร้อมทั้งอรรถกถาฎีกาและอนุฎีกา รวมทั้งสิ้นเป็นคัมภีร์ 420
พระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ใบลานทั้งหมด
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของหอไตรหลังนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับหอไตรของวัดพระสิงห์
และวัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งถือว่าเป็นแบบที่นิยมสร้างกันทั่วไปในดินแดนล้านนา สำหรับหอไตร วัดพระธาตุหริภุญชัยหลังนี้
สร้างเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นอาคารเครื่องไม้
ตัวอาคารหอไตร ตั้งอยู่บนฐานขนาดใหญ่ ซึ่งมีบันไดขึ้นทางด้านหน้า สองข้างบันไดมีสิงห์โตหินประดับที่หัวเสา
ตัวอาคารหอไตรชั้นล่างที่ก่อด้วยอิฐถือปูนมีประตูทางเข้าทางเดียว
ส่วนชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทำเป็นบันไดนาคเล็กๆ
ตั้งอยู่ด้านหน้าบนประตูทางเข้าชั้นล่าง
ตัวอาคารมีการประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจกอย่างสวยงาม
มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
หลังคาลดชั้นประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาหางหงส์หลังคามุงด้วยแผ่นดีบุก
วิหารหลวง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกขององค์พระธาตุ
สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้วกษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2057
เป็นแบบพื้นเมืองทรงล้านนาสวยงามมาก
ต่อมาวิหารได้ถูกลมพายุใหญ่พัดปรักหักพังอย่างยับเยิน ในปี พ.ศ. 2458
ท่านเจ้าอาวาสพร้อมด้วยศรัทธาประชาชนชาวเมืองลำพูน ได้ช่วยกันบูรณะขึ้นมาใหม่
ภายในวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วขาว พระเสตังคมณีศรีเมืองหริภุญชัย
ประทับนั่งอยู่เหนือบุษบกที่แกะสลักลงรักปิดทอง อย่างสวยงาม
วิหารพระละโว้
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระธาตุหริภุญชัย ตัววิหารสร้างใหม่
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เรียกว่าพระละโว้
วิหารพระพุทธ
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระธาตุหริภุญชัย
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ลงรักปิดทอง เรียกว่า
พระพุทธ
วิหารพระทันใจ
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระธาตุหริภุญชัย ภายในประดิษฐานพระทันใจ
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนซึ่งถือว่าเป็น
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถบันดาลให้ผู้ที่กราบไหว้สมหวังได้ดังใจ
วิหารพระพันตน ตั้งอยู่หลังวิหารพระละโว้
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวนมาก
วิหารพระบาทสี่รอย ตั้งอยู่หลังวิหารพระพุทธ
ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองมาจากอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
วิหารพระไสยาสน์ ตั้งอยู่เหนือวิหารพระละโว้
ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง
วิหารพระกลักเกลือหรือพระเจ้าแดง
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวิหารพระทันใจ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย
ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ทาด้วยสีแดง
![](http://www.dooasia.com/database/pic/039/1236.jpg)
เขาพระสุเมรุจำลอง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขององค์พระธาตุหริภุญชัย ด้านหน้าหอไตร
มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์ขนาดเล็กทรงกลม ก่อด้วยอิฐถือปูน
ส่วนยอดทำลดหลั่นกันขึ้นไปเจ็ดชั้น มีการประดับสำริดซึ่งหล่อเป็นชั้นๆ
แล้วนำมาประกอบเป็นทรงกลมภายหลังส่วนฐานที่รองรับ ยอดปราสาทที่อยู่ด้านบนสุด คือ
สัตตบริภัณฑ์หรือภูเขาที่ล้อมรอบพระสุเมรุทั้งเจ็ดชั้น
โดยมีเกษียรสมุทรคั่นระหว่างเขาแต่ละชั้น สัตตบริภัณฑ์นี้ช่างได้ทำเป็นรูปป่าไม้
มีสัตว์ป่า มีต้นไม้ และเหล่าอสุร ที่อาศัยอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุด้าน
บนสุดทำเป็นปราสาทซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์เทวดาในศาสนาพุทธ
ที่มีหน้าที่คอยดูแลความเป็นไปบนโลกและคอยช่วยเหลือคนดีที่ตกทุกข์ได้ยาก
โดยทำเป็นปราสาทหกเหลี่ยมเล็กๆ แต่ละด้านมีซุ้มประตูโค้ง
ส่วนยอดของปราสาทมีลักษณะเหมือนยอดมณฑปโบราณสถาน ภายในวิหารคต
ทั้งหมดของวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75
ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และ เล่มที่ 96 ตอนที่ 185 ลงวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.
2522
เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา
06.00 - 18.00
น.
ชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชม 20
บาทสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.
0 5351 1104
โทรสาร
0 5353 0753