ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี

www.dooasia.com > เมืองไทยของเรา > กรณีพิพาทฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสดำเนินการ อังกฤษเคลื่อนไหว ไทยเตรียมการ การรบที่ปากน้ำ หลังการรบ ฝรั่งเศสยื่นคำขาด ฝรั่งเศสปิดอ่าวไทย เจรจาสงบศึก ไทยเสียดินแดน จันทบุรีถูกยึด

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

จากรายงานของผู้บังคับการเรือพาลลาส
            รายงานของนาวาเอก แองกัส  แมคเคลาด์ (Angus Maciead) ผู้บังคับการเรือพาลลาสถึง พลเรือตรีฟรีแมนเติล ผู้บัญชาการกองเรืออังกฤษภาคทะเลจีน ลง ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ มีความว่า
            วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ เวลาเช้าตรู่ ได้รับจดหมายจากพลเรือจัตวา เดอ ริชลิเออ แห่งราชนาวีไทย มีใจความว่า "เรือแองคองสตังค์ จะมาถึงวันนี้ แต่ ม.ปาวี ตกลงยินยอมจะส่งเรือกลไฟลำหนึ่งให้นายทหารประจำเรือลูแตงไปด้วย เพื่อไปบอกให้อยู่เพียงนอกสันดอน หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเกิดขึ้น"
            เวลา ๑๕.๓๐ น. ได้รับจดหมายจากกัปตันโยนส์ มีใจความว่า
            "มีเหตุผลพอเชื่อถือได้ว่าเย็นวันนี้ที่ปากน้ำเจ้าพระยา จะพยายามให้เขาเชื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาคงให้ทอดสมออยู่ที่นอกสันดอน"
ฯลฯ
            ภายนอกแม่น้ำเจ้าพระยามีเรือนำร่องกับเรือจักรข้างเก่าลำหนึ่ง เป็นเรือที่กัปตันวิล (Captain J.R. Vil) เจ้าพนักงานเจ้าท่าประอยู่ ก่อนเกิดเหตุกัปตันวิลได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปบนเรือฝรั่งเศสทุกลำ ที่เข้ามาเพื่อขอร้องมิให้ข้ามสันดอนเข้ามา กัปตันวิลมีประมวลสัญญาณติดตัวไปด้วย เพื่อส่งไปยังประภาคารที่สันดอน แล้วส่งต่อไปยังปากน้ำ เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ภายนอกแม่น้ำได้
            เวลา ๑๕.๐๐ น. วานนี้ เห็นเรือสองลำแล่นมาทางทิศตะวันออก แสดงว่าเป็นเรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมต กับมีเรือกลไฟขนาดย่อมอีกลำหนึ่ง ไม่ติดธงหรือเครื่องหมายทางราชการอย่างใด แต่เชื่อว่าเป็นเรือฝรั่งเศส เรือลำนี้นำหน้าและเดินทางร่วมกันมา เรือเหล่านี้แล่นมาอย่างเร็วตรงมายังเรือนำร่อง และ ณ ที่ใกล้ ๆ นี้ เรือบริษัทก็ได้ทอดสมอมีนำร่องคนหนึ่งขึ้นไปบนเรือนี้ เขาคงถูกกักตัว เพราะไม่ได้กลับมายังเรือนำร่องอีก
            ข้าพเจ้าได้ส่งเรือเอก เอดเวดส์ (Edwards) ไปกับเรือกลเล็กลำหนึ่งให้นำจดหมายไปแจ้งแก่ผู้บังคับการเรือแองคองสตังค์ ว่าได้ข่าวว่า ม.ปาวี กำลังเดินทางมาจากแม่น้ำเพื่อจะมาพบที่สันดอน เพราะคิดว่าอาจขจัดอันตรายที่จะเกิดปะทะกับป้อมได้ ถ้าหากผู้บังคับการเรือจะนำเรือเข้าไป
ฯลฯ
            ต่อจากนั้น กัปตันวิลก์ขึ้นไปบนเรือแองคองสตังค์ ได้แสดงคำสั่งและคำขอร้อง แต่ได้รับคำตอบว่า เรือฝรั่งเศสเจ้าไปกรุงเทพ ฯ กัปตันวิลจึงกลับไปเรือจักรข้าง และส่งสัญญาณไปว่า ให้ระวังตัว (Keep prepare)
            เรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมตไม่ได้ทอดสมอแต่เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางต่อไป.....
            เวลา ๑๗.๑๐ น. ราชฑูตหรือผู้ช่วยของเขาคนใดคนหนึ่ง ได้ขึ้นไปบนเรือแองคองสตังค์ อยู่บนเรือประมาณ ๑๐ นาที ก็ลงจากเรือเดินทางกลับเข้าแม่น้ำ เขามากับเรือกลไฟไทยลำหนึ่ง ทันทีที่เรือลำนั้นเข้าแม่น้ำ เรือบริษัทก็ถอนสมออกเดินทางเข้าแม่น้ำ เรือแองคองสตังค์ กับเรือโคแมตก็เดินตามไป ดูเหมือนใช้ฝีจักรเต็มที่ ระดับน้ำที่สันดอนสูง ๑๔ ฟุต เมื่อเรือฝรั่งเศสเข้าไปใกล้ทุ่นเลี้ยว (Turningbuoy) เป็นเวลา ๑๘.๓๐ น. อยู่ห่างจากป้อมแหลมตะวันตก ๑.๕ - ๒ ไมล์ ก็มีกระสุนปืนยิงมาเรือฝรั่งเศสจึงส่งประจำสถานีรบ และชักธงชาติฝรั่งเศสที่ยอดเสาทุกเสา การยิงมายังเรือฝรั่งเศสทวีความเร็วยิ่งขึ้น แต่เรือฝรั่งเศสยังไม่ยิงตอบจนกระทั่ง ๑๘.๔๕ น. จึงได้ทำการยิงไปยังป้อม นับจำนวนกระสุนที่ป้อมยิงมา ประมาณ ๑๘ นัด ก่อนที่ฝ่ายฝรั่งเศสจะเริ่มยิง จนเวลา ๑๙.๐๕ น. การยิงจึงยุติลง เวลา ๑๙.๑๔ น. เริ่มยิงอีก จนเวลา ๑๙.๒๔ น.ทุกอย่างก็เงียบเป็นปกติ
            มีเรือกลไฟอังกฤษสามลำแล่นออกจากแม่น้ำในตอนเย็นวันนั้น (ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้าไปสักครู่) ได้มารายงานว่า ไทยได้ปิดช่องทางเดินเรือเสียสิ้นแล้ว และมีเรือไทยสี่ลำออกมาเรียงกันอยู่ภายในแนวเรือที่จมขวางไว้..... เมื่อเวลา ๒๒.๐๐ น. ได้ทราบจากเรือกลไฟลำหนึ่งว่า เรือฝรั่งเศสได้ผ่านป้อมไปได้ในเวลาฝนตก และท่ามกลางความมืด
            โดยที่รู้สึกหวาดเกรงถึงความปลอดภัยของชาวยุโรป..... จึงถือโอกาสส่งทหารหมวดหนึ่งอาวุธพร้อม ในบังคับบัญชาของเรือเอก มัวร์ (Moore) ไปสมทบกับกำลังรักษาการณ์ของนาวาโทกีรบีย์ (Girby) ผู้บังคับการเรือสวิฟท์ที่สถานฑูตอังกฤษ และบริเวณใกล้เคียง
            เวลา ๒๓.๐๐ น. เรือลินเนตมาถึง จึงสั่งให้รับเข้าไปในแม่น้ำ เรือสามารถผ่านสันดอนได้พอดี และได้จอดทอดสมออยู่เลยสันดอนเข้าไปหน่อย รุ่งขึ้นเรือนี้ได้ไปถึงสถานฑูต เวลา ๑๐.๐๐ น.
            ได้รับข่าวว่าเรือลาดตระเวนฝรั่งเศสชื่อ ฟอร์แฟต์ จะเข้ามาในวันนี้..... ประหลาดใจว่าเขาเข้ามาทำไม
            เวลา ๐๘.๓๐ น. เห็นเรือฟอร์แฟต์ แล่นมาทางเกาะสีชังด้วยความเร็วเต็มที่ ๐๙.๓๐ น.ก็ได้ทอดสมอ
ฯลฯ
            นาวาเอก เรอ กูลูซ์ ผู้บังคับการเรือฟอร์แฟต์ ได้มาเยี่ยม เมื่อเวลา ๑๑.๓๐ น. ..... ได้อธิบายถึงข่าวสาร และเหตุการณ์ในวันที่แล้วมาและได้ให้ความเห็นว่า นาวาโทโบรี ทำผิดในการที่ได้ตีฝ่าแม่น้ำเข้าไป เป็นการขัดคำสั่งของราชฑูตที่ได้สั่งออกมาให้ทราบแล้ว และได้เตือนให้มีความอดทน และมีความระวังให้มาก..... และเชื่อว่าทางการฑูตจะสามารถตกลงปรองดองกัน ในปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ได้.....
            เวลา ๑๓.๓๐ น. นาวาเอก เรอ กูลูซ์  ลากลับ..... เวลา ๑๕.๐๐ น. ได้ไปเยี่ยมตอบ..... นาวาเอกเรอกุลูซ์ แจ้งว่าเขาอยากเข้าไปในแม่น้ำ..... เวลานี้ยังไม่ห้ามเรือค้าขายเข้าออก..... นาวาเอก เรอกุลุซ์บอกว่า มีเรือปืนสี่ลำ เรือตอร์ปิโดสองลำเตรียมพร้อมที่จะเดินทางจากไซ่ง่อน เพื่อมารวมกำลังกันที่นี่ ถ้าหากไม่ได้รับความพอใจอย่างเต็มที่จากฝ่ายไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องต่าง ๆ และเรือรบที่อยู่ข้างในสามลำก็จะไม่เคลื่อนย้ายไปไหน จนกว่าจะได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
            .....ตามสภาพที่เป็นอยู่นี้เรือของเราและเรือปืนฮอลแลนด์ซุมบาวา อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องได้รับอันตราย.....
            วันที่ ๑๔ กรกฎาคม เวลา ๑๖๐๐ ได้เดินทางเข้าไปในแม่น้ำโดยเรือกลไฟฮอลแลนด์ ชื่อมหาวชิรุณหิศ ได้สังเกตดูผลการยิงของฝรั่งเศส ปรากฏว่าไม่เห็นผลจริงจัง ตามป้อมมีคนประจำอยู่อย่างระมัดระวัง เผื่อว่าฝรั่งเศสจะเข้ามาอีก เรือปืนทุกลำเตรียมพร้อม เรือได้ทอดสมอห่างจากกรุงเทพ ฯ ๘ ไมล์ แล้วลงเรือเล็กไปขึ้นที่สถานฑูตอังกฤษ ผ่านเรือปืนไทยสี่ลำ ทอดสมออยู่ไม่เป็นระเบียบ..... เมื่อเรือไทยแล่นขึ้นมาจะโจมตีนั้น ไม่ปรากฏมีการสู้รบอีก เนื่องด้วยพระเจ้าแผ่นดินไทยสั่งห้ามไว้ มีการประชุมเสนาบดีเมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. โดยมีราชฑูตฝรั่งเศสเข้าร่วมด้วย ได้ตกลงยุติการรบโดยหวังว่าจะตกลงกันได้ทางการฑูต เหตุการณ์ในนครหลวงเป็นปกติดี ฝ่ายไทยได้จัดการรักษาการณ์อย่างแข็งแรง ประตูเมืองปิด แม่น้ำเรียงรายไปด้วยกองทหารเรือฝ่ายไทย และเรือแองคองสตังค์ กำลังซ่อมที่ชำรุด มีการฝังศพทหารฝรั่งเศสสองคนในตอนเย็น ทหารไทยตาย ๑๕ คน บาดเจ็บ ๒๐ คน โดยมากเป็นทหารประจำเรือมกุฏราชกุมาร เรือมกุฏราชกุมารเข้าปิดทาง จึงได้รับความเสียหายมาก เรือบริษัท คือ เรือ ยี.เบ.เซย์ ได้แล่นเกยตื้นเพื่อมิให้จม ได้ชักธงไทยแทนธงฝรั่งเศส กะลาสีของเรือนี้ตกเป็นเชลย
จากบันทึกของมิสเตอร์ วาริงตันสไมร์
            ในตอนบ่ายวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ได้ไปที่ปากน้ำโดยเรือใบเพื่อดูสถานการณ์ทางทหาร ได้ขึ้นไปบนเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ มิได้จัดการเตรียมพร้อมอย่างใด ต่างพูดถึงการรบโดยคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารประจำเรือไม่เคยเห็นการยิงปืนใหญ่เลยเว้นแต่ผู้บังคับการเรือคนเดียว ทหารประจำเรือเป็นคนเกณฑ์ใหม่มาจากท้องนา กระสุนดินปืนก็ไม่เคยรู้จัก ทหารประจำเรือลำอื่น ๆ และประจำป้อมก็คงมีสภาพอย่างเดียวกัน อาวุธประจำเรือมูรธา ฯ มีปืนใหญ่บรรจุปากกระบอก ขนาด ๗๐ ปอนด์ หนึ่งกระบอก ติดอยู่ทางหัวเรือ ปืนทองเหลือง สำหรับยิงสลุตสี่กระบอก และปืนกลฮอทชกีส ห้าลำกล้อง หนึ่งกระบอก ติดอยู่ที่ดาดฟ้าชั้นบนตอนหัวเรือ ได้มีคำสั่งมาว่าให้ทางเรือเตรียมกำลังไอน้ำให้พร้อม เพราะได้ข่าวมาว่าเรือรบฝรั่งเศสจะเข้ามาปรากฏตัว ทุกคนต่างนึกว่าเป็นเรื่องตลกไม่จริง
            จากนั้นได้ไปที่ป้อมผีเสื้อสมุทร ได้พบกับผู้บังคับการป้อม ซึ่งไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่สันดอน และทหารไม่เคยยิงปืนใหญ่เลย หลังจากนั้นได้ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ ฯ ตอนบ่ายคิดว่าการป้องกันที่ปากน้ำจะไม่แข็งแรงพอดังที่พระเจ้าแผ่นดินทรงมั่นพระทัย
ฯลฯ
            เมื่อเดินทางกลับจากปากน้ำแล้ว ปรากฏว่าเรือมูรธาและเรือมกุฏราชกุมาร ได้เข้าประจำที่ภายในแนวกีดขวาง จอดอยู่ลำละช่องทางผ่าน..... มีเรือปืนแบบเก่าอีกสองลำ และเรือฝึกอีกหนึ่งลำจอดอยู่ในบริเวณนั้น แต่ละลำมีปืนทองเหลืองสำหรับยิงสลุตลำละ หกกระบอก
ฯลฯ
            ประมาณเวลา ๑๗.๐๐ น. หนังสือของ ม.ปาวี ที่เรือกลไฟไทยนำมาส่งให้ก็ได้ส่งไปให้เรือแองคองสตังค์ กัปตันเรือเซย์ได้ขึ้นไปบนเรือแองคองสตังค์ ทำหน้าที่นำร่อง.....
            กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาก และฝนทำท่าจะตก ทำให้มืดค่ำเร็วกว่าธรรมดา เรือเซย์ออกนำหน้า มีเรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมตตามมา เวลา ๑๘.๓๐ น. พลเรือจัตวา ริชลิเออ สั่งให้ป้อมยิงโดยไม่บรรจุกระสุนสองนัดเป็นการเตือน แล้วต่อมายิงอีก หกหรือแปดนัด กระสุนตกข้ามหัวเรือฝรั่งเศส เรือฝรั่งเศสจึงเตรียมเรือเข้ารบ เรือฝรั่งเศสยิงตอบ เมื่อเวลา ๑๘.๔๕ น. นัดแรก ๆ ตกต่ำลงบนเลน นัดต่อไปตกสูงข้ามป้อมลงไปในป่า..... กระสุนนัดที่ ๖ และนัดที่ ๑๑ ของไทยถูกที่หมาย นัดที่ ๑๙ ตกที่ดาดฟ้าทะลุหัวเรือกราบขวาของเรือแองคองสตังค์ .....
            เมื่อเรือแล่นเข้ามาใกล้แนวกีดขวาง เรือแองคองสตังค์ ออกนำหน้า แล่นเป็นวงกว้าง ๆ ไปทางทิศเหนือ..... ต่อมาได้แล่นเฉียดเข้าไปใกล้เรือทุ่นไฟ ซึ่ง ณ จุดนี้ ป้อมทำการยิงไม่ได้
            เรือมูรธา ฯ ได้ยิงด้วยปืนใหญ่บรรจุปากลำกล้อง ขนาด ๗๐ ปอนด์ ๑ นัด แล้วถอนสมอ โดยที่ไม่มีเวลากลับลำ จึงต้องเดินถอยหลังเต็มตัว เมื่อได้ยิงนัดที่สองออกไปรางปืนก็แตกทำให้หันปืนไม่ได้
            เรือมกุฏ และเรือมูรธา ฯ ต่างมีผู้บังคับการเรือ และต้นกลเรือเป็นชาวยุโรป โดยที่ทหารประจำเรือไม่มีความชำนาญพอ นายทหารดังกล่าวจึงต้องทำการเล็งปืนเอง แล้วก็วิ่งขึ้นไปบนสะพานเดินเรือ เพื่อทำการนำเรืออีก ในขณะที่เรือมูรธา ฯ และเรือแองคองสตังค์ แล่นเข้าหากัน เรือแองคองสตังค์ ได้สั่งหางเสือขวาหมด เพื่อมิให้เรือชนฝั่งแม่น้ำ เรือมูรธา ฯ ก็ได้สั่งเดินหน้าเต็มตัวและสั่งหางเสือขวาหมดเพื่อหลบการถูกชน เรือทั้งสองเบียดกันจนกระทั่งเสาธงท้ายของเรือมูรธา ฯ หัก เรือโบตซึ่งได้หย่อนลงไว้เพื่อมิให้กีดขวางทางปืนขนาด ๗๐ ปอนด์ ก็ต้องดึงเข้ามาในเรือ ทหารในเรือมูรธา ฯ ได้ยินเสียงสั่งการยิงจากเรือแองคองสตังค์ ได้ชัดเจน เนื่องจากมีดาดฟ้าชั้นบนกำบังไว้ จึงรอดจากการถูกยิงด้วยปืนเล็ก เรือมูรธา ฯ ถูกยิงด้วยกระสุนปืนเล็กที่ตัวเรือ ๒๑๖ นัด ถูกยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ดินเมลิไนท์ ระเบิดเข้าไปภายในเรือ เมื่อตอนที่ผ่านท้ายเรือแองคองสตังค์ ทำให้เกิดรูข้างเรือทางกราบซ้ายโตหลายฟุต และต่ำกว่าแนวน้ำ ประมาณ สามนิ้ว เรือมูรธา ฯ ได้เดินหน้าแล้วทอดสมอ จัดการเลื่อนปืนใหญ่ไปไว้ทางกราบขวา รวมทั้งเอาน้ำหนักอื่น ๆ มารวมอยู่ด้วย เพื่อถ่วงให้รูทางกราบซ้ายพ้นน้ำจะได้ซ่อมแซมได้สะดวก
            พลประจำเรือมกุฏ ฯ ก็ใช้การไม่ได้เช่นกัน ผู้บังคับการเรือกัปตันกลเรือต้องช่วยปฏิบัติงานอีกด้วย เรือมกุฏ ฯ ถูกยิงมากพอสมควร แต่ยังสามารถแล่นตามเรือฝรั่งเศส เข้ามาจนถึงบางคอแหลม เพื่อฟังคำสั่งต่อมาเรือมูรธา ฯ ได้แล่นขึ้นมาสมทบ
            ป้อมผีเสื้อสมุทรมองอะไรไม่ใคร่เห็น เพราะเมื่อเรือฝรั่งเศสแล่นขึ้นมาถึงสมุทรปราการ ก็เป็นเวลาค่ำมืดได้มีการยิงกันเพียง ๕ นาที ต่อจากนั้นเรือฝรั่งเศสก็แล่นเข้ากรุงเทพ ฯ
            ในระหว่างยิงต่อสู้กันเรือเซย์ ถูกกระสุนปืนของเรือมูรธา ฯ หนึ่งนัดที่ใต้แนวน้ำ จึงได้แล่นไปเกยฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ.....
            มีคนในเรือมูรธา ฯ สามคน ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก เป็นพลประจำปืนกล ได้ใช้อาวุธของเขาอย่างเต็มความสามารถ.....
            ความเสียหายของทั้งสองฝ่าย..... ฝ่ายฝรั่งเศสมีทหารตาย ๓ คน บาดเจ็บ ๓ คน ฝ่ายไทยมีทหารตาย ๑๕ คน บาดเจ็บ ๒๐ คน ทั้งหมดถูกยิงจากปืนกลบนหอรบของเสา และจากปืนเล็กยาวในขณะที่เรือเข้ามาใกล้กัน
            พลเรือจัตวา ริชลิเออ ผู้มีหน้าที่อำนวยการป้องกันไม่ใคร่มีโอกาสได้ทำอะไรมาก เขาเคยเสนอให้จมเรือขวางช่องทางเดินเรือเพิ่มขึ้นอีก แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะเสนาบดี ถึงแม้จะเข้าอำนวยการรบด้วยตนเอง แต่ทหารในบังคับบัญชาทั้งหมดเป็นคนเข้าเวรใหม่ และไม่ได้รับการฝึกเพียงพอ การร้องขอให้จัดเตรียมทุ่นระเบิด และสิ่งอื่น ๆ ก็ประสบแต่ความโอ้เอ้ล่าช้า
            ป้อมที่ปากน้ำเพิ่งสร้างเสร็จ นายทหารชาวยุโรปที่ป้อมอีกสามคน พูดภาษาได้คนเดียว อีกสองคนยืมตัวมาจากกรมแผนที่ ซึ่งเพิ่งเดินทางเข้ามาเมืองไทย และสมัครใจจะมาปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างทำการรบครั้งนี้ นายทหารดังกล่าวนี้ได้สั่งการต่าง ๆ ที่คนไทยยากจะเข้าใจ นอกจากนี้ก็ปืนใหญ่สนามหมู่หนึ่งร่วมทำการยิงด้วย แต่กระสุนตกน้ำหมดไม่ถูกเป้าหมายเลย
            ทหารที่มีส่วนเข้ารบนั้นมิได้รับการฝึกเพียงพอ..... ผู้บังคับการป้อมผีเสื้อสมุทรถูกไล่ให้ออกไปจากป้อมในเย็นวันที่มีการสู้รบกันนั้นเอง ทหารประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า ก็แสดงความขัดขืนไม่พอใจ นอกจากนี้ทางกรุงเทพ ฯ ก็ไม่ได้แจ้งเหตุการณ์ให้ทราบว่าจะทำอย่างไรกัน การบังคับบัญชาจึงหย่อนรวนเร ไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม ต่างเกรงจะถูกโจมตีด้านหลังโดยปล่อยให้ต่อสู้โดดเดี่ยว ความวุ่นวายดังกล่าวเกือบถึงขั้นจลาจล.....
            ฯลฯ
            พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระสติสุขุมคัมภีรภาพ ไม่ยอมฟังเสียงหมู่อำมาตย์ จึงได้สั่งให้งดการสู้รบ และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีการตกลงให้ทั้งสองฝ่ายยุติการรบ
จากการแถลงข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ออกวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖
            เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ.๑๑๒ เวลาเช้า เรือรบสามลำคือเรือมกุฏราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือนฤเบนทร์บุตรี และเรือหาญหักศัตรู ได้จอดอยู่ที่สันดอนเพื่อคอยรับ อาร์ชดุก ฟรานซ์เฟอร์ดินันด์ รัชทายาท แห่งออสเตรีย แต่เรือรบทั้งสี่ลำนี้ต้องกระทำการหนักมาก ด้วยเมื่อเวลาบ่ายห้าโมงสิบห้านาทีเกิดฝนตกหนัก คนในเรือรบและคนบนฝั่งแทบไม่แลเห็นกัน ขณะนั้นเรืออรรคราชวรเดชอยู่นอกสันดอน ส่งสัญญาณเข้ามาว่า มีเรือรบฝรั่งเศสสองลำแล่นเข้ามา ภายหลังก็ลดสัญญาณลง คนข้างในก็เข้าใจว่า เรืออรรคราชวรเดชส่งสัญญาณผิด ที่จริงนั้นต่างเข้าใจว่า เรือรบสองลำนี้เป็นเรือรบอังกฤษชื่อลินเนต และเรือรบเยอรมันชือโวล์ฟ เพราะเรือทั้งสองลำกำหนดจะมาถึงในวันนั้น เมื่อแรกจึงไม่สงสัยว่าเป็นเรือรบฝรั่งเศสด้วย ม.ปาวี ได้สัญญาไว้ว่ายังจะไม่มา..... ลำแรกคือเรือแองคองสตังค์ มีเรือเมล์ฝรั่งเศสชื่อ ยี.เบ.เซย์ ซึ่งเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพ ฯ และไซ่ง่อนนำทางเข้ามาในปากอ่าว..... ทหารที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าจึงได้ยิงปืนใหญ่ไม่ใส่ลูกกระสุน สามนัด บอกสัญญาณให้เรือรบฝรั่งเศสทั้งสองลำแล่นกลับออกไปเสีย..... ขณะนั้นพระยาชลยุทธโยธิน (A.de Richelier ) กับกัปตัน ซี.ฟอนโฮลด์ (C.von Holck) เป็นผู้บังคับทหารอยู่ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า เรือรบฝรั่งเศสได้ยินเสียงปืนสัญญาณก็หาฟังไม่..... ทหารป้อมพระจุลจอมเกล้าได้ยิงปืนทุกกระบอก เรือรบไทยก็เข้ามาช่วยกัน.....
            ขณะนั้นเกิดโกลาหลวุ่นวายมาก..... ครั้นเรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมตได้รีบแล่นเข้ามาโดยเร็ว..... ครั้นเรือแองคองสตังค์ แล่นเลยเรือทุ่นไฟเข้ามาแล้ว ทหารไทยจึงได้จุดตอร์ปิโดระเบิดขึ้น แต่ไม่ถูกเรือแองคองสตังค์.....
            ทันใดนั้น เรือมกุฏราชกุมารกับเรือมูรธา ฯ ก็แล่นติดตามขึ้นมายิงโต้ตอบกับเรือรบฝรั่งเศสทั้งสองลำ คอมมานเดอร์ กุลด์ แบร์ก (Guldberg) นายเรือมกุฏราชกุมาร เข้ามายิงกับเรือรบฝรั่งเศสเป็นสามารถ.....
            ในการยิงต่อสู้กันนี้ ปืนในเรือรบฝรั่งเศสยิงเร็วกว่าปืนในเรือรบของไทย ด้วยเป็นปืนทำขึ้นอย่างใหม่..... ฝ่ายเรือมูรธา ฯ ซึ่งกัปตันคริสตมาส (Chrismas) คุมมานั้นได้แล่นติดตามเรือแองคองสตังค์ มาเรือแองคองสตังค์ ก็ตัดท้ายหันเข้าต่อสู้กับเรือมูรธา ฯ ยิงโต้ตอบกัน.....
            เวลาหนึ่งทุ่มก็สงบการยิงกันด้วยความมืดมากแล้ว ที่ป้อมผืเสื้อสมุทรนั้นกัปตันเกิตส์เช (Goltsche) รักษาอยู่แต่เป็นเวลามืดมากแล้ว ไม่รู้ว่าปืนที่ป้อมผีเสื้อสมุทรยิงออกไปนั้นถูกเรือรบฝรั่งเศสบ้างหรือไม่..... กัปตันสมิเกโล (Smiegelow) เป็นผู้บังคับการเรือหาญหักศัตรูได้ยิงสองนัด
            หลังจากเรือฝรั่งเศสเข้าปากน้ำมาได้แล้ว พระยาชลยุทธโยธิน มีคำสั่งให้เรือไทยแล่นไล่รบตามเข้ามาในลำแม่น้ำ และให้แล่นชนให้ล่มลงจนได้ แล้วพระยาชลยุทธโยธินก็ขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อจะเอาเรือพระที่นั่งมหาจักรีไปช่วยรบด้วย แต่กระทรวงการต่างประเทศห้ามไว้เสีย.....
            คอมมานเดอร์โบรี นายเรือฝรั่งเศสควรได้รับความสรรเสริญที่มีใจองอาจกล้าหาญ..... มีความเสียใจด้วยมิสเตอร์แจคสันคนนำร่องนี้เป็นชาติอังกฤษ นำร่องเรือเมล์ ยี.เบ.เซย์ เข้ามาในแม่น้ำควรจะต้องมีโทษตามหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี และทางเจ้าพนักงานไทยจะต้องเรียกเอาหนังสือสำคัญสำหรับคนนำร่องคืน รุ่งขึ้นเวลาเช้า เรือ  ยี.เบ.เซย์ ได้ไปจอดเกยชายฝั่งแม่น้ำอยู่ กัปตันฟอนโฮลด์ จึงให้ทหารลงเรือกลไฟเล็กไปบอก ม.แดสเตอแลง นายเรือเมล์ ยี.เบ.เซย์ ให้ยอมแพ้โดยดี..... ม.เดสเตอแลงก็ยอมให้ทหารจับมาโดยดี..... กัปตันฟอนโฮลด์จึงเรียกเอาหนังสือสำหรับเรือมาไว้ แล้วให้ทหารไปจับเอาพวกกะลาสี กับมิสเตอร์แจคสันคนนำร่อง อินยิเนียกับคนที่มาจากเรือลูแตงสองคนทั้งคนโดยสารด้วย รวมทั้งสิ้น ๓๒ คน แล้วส่งคนเหล่นนี้เข้ากรุงเทพ ฯ กรมทหารเรือให้ปล่อยตัวเมื่อวันเสาร์ (วันที่ ๑๕ กรกฎาคม)
ฯลฯ
            รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคอมมานเดอร์โบรี ซึ่งเป็นผู้บังคับกองเรือรบฝรั่งเศสสามลำที่จอดอยู่ในลำแม่น้ำเจ้าพระยา ได้สัญญาตกลงกันว่า ไทยกับฝรั่งเศสยอมสงบหยุดการรบกันไว้ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายฝรั่งเศสสัญญาว่าจะไม่รบและไม่ทำอันตรายแก่บ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ ฝ่ายไทยสัญญาว่า จะไม่ทำอันตรายแก่เรือรบฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาใหม่นี้ จะถือว่าเป็นเหมือนอย่างเรือรบของประเทศอื่น ซึ่งบัดนี้จอดอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยา
จากรายงานของนายทหารฝ่ายไทย
            รายงานของป้อมผีเสื้อสมุทร  กัปตัน เอ เกิตส์เช ได้รายงานพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์ รองผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ มีความว่า
            "เมื่อเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๙๓ ได้รับข่าวว่าเรือรบฝรั่งเศสกำลังแล่นเข้ามา และได้รับคำสั่งให้ทำการยิง ถ้าเรือเหล่านั้นพยายามจะแล่นขึ้นไปตามลำแม่น้ำ
            ต่อมาได้ยินเสียงปืนใหญ่ขนาดหนักจากป้อมพระจุลจอมเกล้า และภายหลังเวลา ๑๙.๐๐ น. เล็กน้อย ได้เห็นไฟเดินเรือเคลื่อนขึ้นมาตามลำแม่น้ำ แต่เนื่องจากความมืดไม่สามารถทราบได้ว่าจะเป็นเรือปืนฝรั่งเศสหรือไม่ เกรงว่าเป็นเรือของฝ่ายเราเองแล่นกลับขึ้นมาก็ได้ จึงได้รออยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้เห็นเรือลำหนึ่งทำการยิงมาจากเสาเรือ จึงได้สั่งให้ยิงไปยังเรือเหล่านั้นทันที เรือปืนฝรั่งเศสจึงได้เริ่มยิงด้วยกระสุนระเบิด กระสุนเกือบทั้งหมดตกสูงเกินไปมีเพียง ๕ นัดตกลงในป้อม และได้ยิงกระสุนปืน ฮอทชกีส จำนวนมากเข้ามาในป้อมอีกด้วย แต่ไม่ทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใด มีทหาร ๑๒ คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย การยิงต่อสู้ดำเนินไปประมาณ ๒๐ นาที"
            รายงานของ ร.ล.มูรธาวสิตสวัสดิ์  กัปตันคริสมาสได้รายงาน รองผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๖ มีความว่า


            "เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ได้นำเรือไปจอดทอดสมอยังตำบลที่หมายในแผนที่ ได้เตรียมพร้อมทุกอย่างที่จำเป็นในการต่อสู้ ได้หย่อนเรือเล็กลง และบรรจุปืน (ปืน ๗๐ ปอนด์ ๑ กระบอก ปืนทองเหลือง ปืนทองเหลืองบรรจุทางปากกระบอก จำนวน ๔ กระบอก และปืนลูกโม่ ๑ กระบอก)
            ประมาณ ๑๗.๔๕ น. ได้เห็นเรือกลไฟทาสีดำจูงเรือรบลำหนึ่งในระยะไกลพอสมควร จากเรือทั้งสองนี้มีเรือรบอีกลำหนึ่ง ทราบทันทีว่าเป็นเรือรบฝรั่งเศส แม้ว่าจะไม่ได้ชักธงชาติขึ้นก็ตาม
            หลังจากที่ป้อมเริ่มยิง และเมื่อยิงถึงนัดที่ ๔ จึงได้ยิงปืนใหญ่ไปที่เรือแองคองสตังค์ ซึ่งได้ผ่านทุ่นดำมา และได้ชักธงชาติขึ้นแล้ว ขณะนี้ไปเห็นเรือ ยี.เบ.เซย์ แต่เรือแองคองสตังค์ ได้แล่นเข้ามาด้วยความเร็วเต็มที่ เมื่อแล่นมาถึงที่หมาย ๒ จึงได้ยิงกระสุนนัดที่ ๒ ไป และได้ทำการยิงด้วยปืนกราบขวา และปืนลูกโม่อยู่ตลอดเวลา
            เมื่อเรือแองคองสตังค์ แล่นมาถึงตำบลหมายเลข ๓ จึงได้ทำการยิงนัดที่ ๕ ด้วยปืน ๗๐ ปอนด์ กระสุนถูกเรือแองคองสตังค์ ที่กราบขวา เรือนี้ได้เลี้ยวเข้ามาตั้งใจจะชนเรือมูรธา ฯ ด้วยทวนหัวเรือให้จมลง เรือมูรธา ฯ อยู่ห่างจากเรือแองคองสตังค์ ไม่กี่ร้อยหลา และกำลังใช้จักรถอยหลังเต็มตัว จึงได้สั่งให้เรือใช้จักรเดินหน้าเต็มตัว และใช้หางเสือขวาหมด จึงพ้นจากการถูกชน เพียงแต่ถูกกระทบทำให้เสาธงหักไปเบียดเพดาน และเรือเล็กลำหนึ่งเสียหาย
            เรือแองคองสตังค์ ได้ระดมยิงเรือมูรธา ฯ ด้วยปืนลูกโม่ทั้งหมด ปืนอื่นและปืนเล็กยาว เรือถูกกระสุน ๒๑๖ นัด ที่ห้องหม้อน้ำแห่งเดียวถูก ๑๘ นัด ถูกห้องเครื่องจักร ๑๖ นัด กระสุนระเบิดดินเมลิไนท์ ๒ นัด นัดหนึ่งถูกที่แนวน้ำ อีกนัดหนึ่งระเบิดบนเรือ เมื่อเรือแองคองสตังค์ แล่นผ่านเรือมูรธา ฯ ได้สั่งการให้ทหารทุกคนไปอยู่ข้างล่าง มีผู้บังคับการเรืออยู่บนสะพานเดินเรือแต่ผู้เดียว ัดังนั้นจึงมีทหารบาดเจ็บสาหัสเพียงสองคน บาดเจ็บเล็กน้อย สองคน หายไปหนึ่งคน
            เมื่อเรือแองคองสตังค์ แล่นผ่านไปแล้ว ผู้บังคับการเรือยังคงสั่งให้ยิงด้วยปืนลูกโม่ ติดตามต่อไปเท่าที่ยังเห็นลำเรืออยู่ กับสั่งให้ยิงปืนทองเหลืองทางกราบซ้ายด้วยอีก ๔ นัด ส่วนปืนอื่น ๆ เสียใช้การไม่ได้.....
            เมื่อเรือโคแมตแล่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาค่ำและมืดมาก ได้สั่งยิงติดตามไปยังเรือลำนี้ ๒ - ๓ นัด  แตไม่ปรากฏผลประการใด
            เมื่อการสู้รบสิ้นสุดลงแล้ว ได้ตรวจพบรูใหญ่แห่งหนึ่งที่เกิดจาก..... ซึ่งได้ระเบิดขึ้นทางกราบซ้ายของเรือ อยู่สูงจากน้ำเพียงสองสามนิ้วเท่านั้น จึงได้ทำการย้ายปืนกราบซ้ายมาไว้ทางกราบขวา เพื่อให้รูดังกล่าวอยู่เหนือน้ำมากขึ้น ยังไม่มีเวลาซ่อม เพราะตั้งใจที่จะติดตามเรือรบฝรั่งเศสขึ้นไปยังกรุงเทพ ฯ
            นายพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้ขึ้นมาบนเรือ และสั่งให้นำเรือไปยังสมุทรปราการ รอจนนายนาวาโท กูลด์ แบร์ค นำเรือมกุฏราชกุมารมาสมทบแล้ว จึงแล่นด้วยความเร็วเต็มที่ขึ้นไปตามลำแม่น้ำเพื่อเข้าชนเรือข้าศึกให้จมลง ณ ตำบลที่จะได้พบนั้น
            เรือได้แล่นขึ้นมาตามลำน้ำ เมื่อเวลา ๒๐.๐๐ น. ถึงตำบลบางคอแหลม เรือทั้งสองได้พบท่านนายพลเรือจัตวา ซึ่งมาในเรือกลไฟพร้อมกับคำสั่ง ให้งดการดำเนินการตามที่สั่งไว้ เรือทั้งสองจึงจอดทอดสมอ ไม่ได้แล่นเลยตำบลนี้เข้ามาในคืนวันนั้น
            ในระหว่างการรบ ทหารประจำเรือได้ปฏิบัติการเป็นอย่างดี.....
            โดยเหตุที่ได้ทอดทุ่นระเบิดใต้น้ำไว้..... จึงขอรายงานให้ทราบดังนี้
            ดินระเบิดเพิ่งได้รับเวลาค่ำ ก่อนวันที่มีการสู้รบ..... ไม่มีเวลาพอที่จะทำการวางได้ มากกว่า ๔ สถานี และวางได้จำนวน ๑๖ ลูก เมื่อสองชั่วโมงก่อนที่จะมีการสู้รบ.....
            มร.เวสเตนโฮลซ์..... เข้าไปปฏิบัติหน้าที่อย่างดียิ่งระหว่างการรบ โดยพยายามที่จะระเบิดเรือแองคองสตังค์ ด้วยทุ่นระเบิด ซึ่งได้ระเบิดในระยะห่างจากเรือเพียงเล็กน้อย
ฯลฯ
            มั่นใจว่าหากมีเรือบรรทุกทุ่นระเบิดสักสองสามลำ และทุ่นระเบิดอย่างดี ประมาณ ๒๐๐ ลูก พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอย่างดีมาแล้ว จะทำให้เรือรบฝรั่งเศสไม่สามารถผ่านสันดอนเข้ามาได้ นอกจากจะได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รายงานของกรมทหารเรือ


            รายงานเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๙๓ มีความว่า
            "วันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ กรกฎาคม เวลา ๘ โมงเช้า กระหม่อมได้ออกไปยังนอกสันดอน ซึ่งเรือมกุฏราชกุมารจอดทอดสมอรอการมาถึงของอาร์คดยุค ออสเตรีย ตามรายงานครั้งสุดท้ายทราบว่า ยังมาไม่ถึง และเรือรบฝรั่งเศสสองลำ ก็คาดว่าจะมาถึงเช่นเดียวกัน จึงสั่งให้เรือมกุฏราชกุมารกลับเข้ามาในสันดอนโดยเร็วที่สุด เท่าที่ระดับน้ำที่สันดอนจะสูงพอให้เรือผ่านได้ในเวลาบ่าย และเข้าประจำอยู่ในแนวป้องกันของฝ่ายเรา
            .....แม้ว่าจะได้รับรายงานว่าเรือฝรั่งเศสจะจอดอยู่นอกสันดอนก็ตาม ก็ได้เตรียมการไว้ทุกอย่าง ซึ่งฝ่ายเราจะสามารถทำให้ข้าศึกหยุดได้ ถ้าหากพยายามจะฝ่าช่องทางปากแม่น้ำเข้ามา
            เราจมเรือโป๊ะจ้าย เพิ่มขึ้นอีกลำหนึ่ง เรือลำนี้เป็นเรือลำเดียวที่ยังเหลืออยู่ และได้บรรจุดินไดนาไมท์ลงในทุ่นระเบิดให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ดินระเบิดเหล่านี้เพิ่งมาถึงเมื่อคืนวันก่อน.....
            เวลา ๗ โมงเช้า เรือมกุฏราชกุมารได้เข้ามาข้างใน จอดทอดสมอรวมทั้งเรือมูรธา ฯ ด้วย ให้จอดอยู่ลำละข้างของช่องใหญ่ระหว่างเครื่องกีดขวาง ซึ่งฝ่ายเราได้จัดทำขึ้น
            เรือหาญหักศัตรู จอดทอดสมอห่างออกไปทางตะวันออก เรือนฤเบนทร์บุตรีจอดอยู่ใกล้แหลมฟ้าผ่า เรือทูลกระหม่อมจอดห่างเข้าไปข้างในแม่น้ำอีกเล็กน้อย
            เรือทุกลำและป้อมพระจุลจอมเกล้า ได้รับคำสั่งให้เตรียมการทุกอย่างให้พร้อมเพื่อการต่อสู้ แต่ไม่ให้เรือลำใดยิงก่อนที่ป้อมจะได้ยิงไปแล้วเป็นนัดที่สี่
            เมื่อเรือมกุฏราชกุมารได้เข้ามาข้างใน นายนาวาโท กุลด์ แบร์ก ได้รายงานว่าเรือรบสองลำกำลังเข้ามาใกล้สันดอน เรือทั้งสองนั้นคิดว่าลำหนึ่งเป็นเรืออังกฤษชื่อ ลินเนต และอีกลำหนึ่งเป็นเรือปืนเยอรมันชื่อ โวลฟ์ ทั้งนี้เพราะเข้าใจว่า สัญญาณจากเรืออรรคราชวรเดช ซึ่งแสดงว่าเรือรบฝรั่งเศสเข้ามานั้น ได้ชักขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แล้วก็เอาลง ขณะนี้เป็นเวลา ๑๗.๓๐ น. เราอาจแลเห็นเรือหลายลำอยู่ที่นอกสันดอน แต่พายุฝนอย่างหนักได้ปกคลุมมิให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อฝนหยุดตก เวลาประมาณ ๑๘.๑๕ น. เห็นเรือรบสองลำมีเรือยัง บัฟติส เซย์ แล่นนำหน้าเข้ามาในสันดอนแล้วและผ่านประภาคาร แต่เมื่อเรือทั้งสองไม่ชักธงชาติหรือไม่ก็เป็นธงเล็กเกินไป เราจึงไม่ทราบว่าเป็นเรือชาติใด
            กระหม่อมได้สั่งให้แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณประจำสถานีรบ..... และได้ออกไปยังป้อมพระจุลจอมเกล้า..... เมื่อเวลา ๑๘.๔๕ น. ได้ยิงกระสุนดินเปล่าไปสองนัด เพื่อเตือนเรือเหล่านั้น แต่เรือเหล่านั้นไม่สนองตอบ จึงได้ยิงด้วยกระสุนนัดหนึ่งข้ามหัวเรือลำหน้าไป ต่อมาก็ยิงนัดที่สี่ ให้กระสุนข้ามหัวเรือเช่นกัน ดูเหมือนว่าเรือลำหน้าได้หยุด และกำลังจะหันกลับออกไป แต่ต่อมาก็ได้แล่นตามเข็มเดิมอีก และได้ชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นทั้งสามเสาตลอดจนที่ก๊าฟด้วย และได้ทำการยิงมายังป้อมขณะนี้เรือลำหน้าเป็นเรือแองคองสตังค์ ได้ผ่านทุ่นดำเข้ามาแล้ว กำลังแล่นตรงไปยังเรือทุ่นไฟ ทางป้อมนั้นบัดนี้ได้ยิงด้วยปืนทุกกระบอก เรือมูรธา ฯ และเรือมกุฏราชกุมารก็ได้ยิงเช่นเดียวกัน เรือฝรั่งเศสก็ได้ยิงมาอย่างรุนแรงชั่วระยะเวลาหนึ่ง.....
            เมื่อเรือแองคองสตังค์ แล่นผ่านเรือทุ่นไฟ ทุ่นระเบิดใต้น้ำทุ่นหนึ่งถูกบังคับให้ระเบิดโดยนายร้อยเอกเวสเตนโฮลซ์ ซึ่งระเบิด ๓๐ หรือ ๔๐ หลาจากเรือ.....
            เรือโคแมตแล่นตามเรือแองคองสตังค์ มาในระยะใกล้ และแล่นผ่านเข้ามาในเครื่องกีดขวางที่วางไว้ กล่าวกันว่านายเรือ ยัง บัฟติสต์ เซย์ และนายทหารประจำเรือลูแตงนายหนึ่งเป็นผู้ทำการนำร่องให้เรือทั้งสองแล่นด้วยความเร็วเต็มที่ และถูกยิงจากเรือฝ่ายเรานานเท่าที่จะเห็นลำเรือได้ หรือนานเท่าที่ปืนต่าง ๆ จะสามารถทำการยิงได้..... เรือต่าง ๆ หมดโอกาสที่จะทำอันตรายข้าศึกด้วยปืนอย่างเก่าบรรจุทางปากลำกล้อง ยิงได้ช้า ในการต่อสู้กับปืนยิงเร็วที่มีคุณภาพของเรือฝรั่งเศส เมื่อเรือรบฝรั่งเศสเข้าใกล้เรือของฝ่ายเรา ฝ่ายเราได้ถูกยิงเพิ่มเติมด้วยปืนลูกโม่แบบฮอทชกีสจากหอรบบนเสาเรือฝรั่งเศส..... ทั้งเรือมูรธา ฯ และเรือมกุฏราชกุมารได้ถูกยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ และเล็กมากกว่า ๒,๐๐๐ นัด ถ้าเรือของฝ่ายเราได้ติดตั้งปืนยิงเร็ว ซึ่งราชนาวีต้องการเป็นอย่างยิ่ง และได้ขอร้องไปเป็นเวลากว่า ๓ เดือนมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ เราก็อาจจะได้ผลที่แตกต่างไปจากนี้
            เรือหาญหักศัตรู สามารถยิงปืนขนาดใหญ่ได้เพียงสองนัด นัดหนึ่งเข้าใจว่าถูกเรือกลไฟยัง บัฟติสต์ เซย์ ที่บริเวณหัวเรือ.....
            เรือทูลกระหม่อม และเรือนฤเบนทร์ ก็ได้ยิงปืนทองเหลืองขนาดย่อม ซึ่งไม่มีคุณค่าในการต่อสู้ไปยังเรือฝรั่งเศส.....
            เมื่อเรือฝรั่งเศสได้ผ่านป้อมผีเสื้อสมุทรนั้น เป็นเวลาที่มืดมากจนมองไม่เห็นอะไรถนัด เพราะฉะนั้น การยิงจากป้อมนี้จึงได้รับรายงานว่าได้ผลเพียงเล็กน้อย
            เครื่องกีดขวางที่ปากแม่น้ำ ซึ่งฝ่ายเราเชื่อว่าจะให้ประโยชน์ได้มากในเวลาค่ำคืนก็ยังจัดทำไม่สำเร็จเรียบร้อย เนื่องจากไม่มีเรือเพียงพอที่จะเอามาจม และช่องการเดินเรือก็ยังเปิดอยู่ถึงสี่ช่อง
            ในร่องน้ำนั้น ฝ่ายเราได้วางทุ่นระเบิดที่เรามีอยู่ และในจำนวนทุ่นระเบิดที่วางไว้นี้ มีเพียงลูกหนึ่งเท่านั้นที่ถูกบังคับให้ระเบิดขึ้น ส่วนลูกอื่น ๆ อยู่ห่างเกินไปที่จะทำอันตรายแก่เรือฝรั่งเศส หากจะได้บังคับให้ระเบิดขึ้น ดินไดนาไมท์รุ่นใหม่ก็เพิ่งเข้ามาถึงจากสิงคโปร์เมื่อคืนวันก่อน และถึงแม้ว่าฝ่ายเราจะได้รีบเร่งทำการบรรจุทุ่นระเบิดเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะทำการวางได้
            เมื่อปืนป้อมพระจุลจอมเกล้า ไม่สามารถจะยิงไปยังเรือฝรั่งเศสได้อีกแล้วเนื่องจากความมืด.....จึงให้เรือมกุฏราชกุมาร กับเรือมูรธา ฯ แล่นขึ้นไปตามลำแม่น้ำ ให้รออยู่ที่บริเวณสถานีโทรเลขที่สมุทรปราการ เพื่อรับคำสั่งต่อไป
            กระหม่อมได้ขึ้นไปยังป้อมผีเสื้อสมุทร ซึ่งได้สั่งให้ร้อยเอก เกิตส์เช รื้ออาคารบ้านเรือนซึ่งอยู่ด้านหลังของป้อมเสีย สิ่งเหล่านี้จะกีดขวางการยิงของป้อมขึ้นไปทางเหนือแม่น้ำ หากมีการถูกโจมตีทางด้านนี้ ได้พบกระสุนหลายนัดและลูกปรายเป็นอันมากตกสู่ป้อมผีเสื้อสมุทร กระสุนระเบิดดินเมลิไนท์นัดหนึ่งได้ระเบิดที่ริมเขื่อนทำให้ดินกระเด็นขึ้นไปบนป้อม
            .....กระหม่อมได้ขึ้นไปยังสถานีโทรเลขเพื่อสอบสวนดูว่าเรือรบฝรั่งเศสนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เรือฝรั่งเศสเพิ่งจอดทอดสมออยู่ที่บริเวณศุลกสถาน..... จึงได้สั่งให้เรือมกุฏราชกุมาร และเรือมูรธา ฯ ออกเดินทางสู่กรุงเทพ ฯ ด้วยกัน ด้วยความเร็วเต็มที่ และดับไฟในเรือทั้งลำ เมื่อมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว ณ ตำบลที่เรือฝรั่งเศสจอดอยู่ให้เข้าชนด้วยกำลังแรง กระหม่อมจะเดินทางไปกรุงเทพ ฯ ด้วยรถไฟซึ่งตัวรถจักรมีกำลังไอน้ำอยู่แล้ว เพื่อนำเรือพระที่นั่งมหาจักรีลงมาชนเรือฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน..... คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงครึ่ง กว่าเรือฝ่ายเราจะถึงกรุงเทพ ฯ การเดินทางโดยรถไฟเสียเวลาเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น เชื่อแน่ว่าเรือพระที่นั่งมหาจักรรีจะมีกำลังไอน้ำพอ และคิดว่าการเข้าชนเรือฝรั่งเศสในเวลากลางคืนเดือนมืด ฝ่ายเราอาจมีโชคดีในการทำลายเรือฝรั่งเศสได้ ความมืดจะทำให้การใช้ปืนของเรือฝรั่งเศสไม่ได้ผล เมื่อมาถึงกรุงเทพ ฯ ได้ทราบว่าแผนการณ์นี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ลงเรือกลไฟเล็กล่องลงไปตามลำแม่น้ำทันที และพบเรือของฝ่ายเรากำลังขึ้นมาที่ตำบลบางคอแหลม จึงได้สั่งให้เรือจอดทอดสมอ ณ ที่นั้น และรอฟังคำสั่งต่อไป แต่ให้ออกเรือได้ทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ทางตอนเหนือของแม่น้ำ
            การตีฝ่าเข้ามาในแม่น้ำของเรือฝรั่งเศสนั้น เป็นไปตามคาดการณ์อย่างถูกต้อง และกระทำอย่างกล้าหาญ ทั้งสามารถเลือกเวลาได้เหมาะ ด้วยการใช้ประโยชน์จากทวนหัวเรือและความมืด เรือเหล่านี้ก็สามารถทำให้อำนาจของป้อมลดน้อยลงไปถึงที่สุด และด้วยการที่มีนำร่องรู้จักทางเดินเรือในแม่น้ำเป็นอย่างดี เรือเหล่านี้จึงสามารถแล่นผ่านเครื่องกีดขวางเข้ามาได้.....
ประกาศทางราชการเรื่องการรบที่ปากน้ำ
            มีพระบรมราชโองการ ฯ ให้ประกาศแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และราษฎรทั้งปวงทราบทั่วกันว่า
            ในการที่ฝรั่งเศสกับกรุงสยามทุ่มเถียงกันด้วยเขตแดนทางฝั่งโขงคราวนี้ แต่แรกฝรั่งเศสก็ได้ส่งเรือรบลำหนึ่งเข้ามารักษาคนในบังคับช้านานมาแล้ว บัดนี้อ้างเหตุว่าเรือรบฝ่ายประเทศอังกฤษ จะเข้ามารักษาผลประโยชน์ของชาตินั้นอีก ฝ่ายฝรั่งเศสจึงจะขอเอาเรือรบเข้ามาอีก ๒ ลำ เพื่อรักษาผลประโยชน์บ้าง
ราชฑูตฝรั่งเศสกรุงเทพ ฯ ได้นำความมาบอกขออนุญาตให้เรือทั้งสองนี้ขึ้นมาแล้ว ฝ่ายเราเห็นว่าเวลานี้เป็นสมัยที่ยังไม่ควรจะมีเรือรบต่างประเทศเข้ามาจอดในลำแม่น้ำอีกกว่าประเทศละหนึ่งลำขึ้น จึงได้ปรึกษาด้วยราชฑูตฝรั่งเศส และมีโทรเลขไปยังรัฐบาลฝรั่งเศสที่กรุงปารีสแล้ว ก็ได้ตอบทางโทรเลขรับรองตกลงว่า จะสั่งเลิกการที่จะส่งเรือเข้ามาในแม่น้ำอีกนั้นแล้ว และข้างฝ่ายราชฑูตฝรั่งเศสในนี้ ก็ได้ตกลงยอมไม่ให้เรือรบขึ้นมา และขอเรือไฟให้นายทหารเรือออกไปห้ามแล้ว แต่เรือทั้งสองก็ยังขืนเข้ามาในปากน้ำ ถึงที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า เจ้าพนักงานทหารเรือจึงได้ยิงห้ามนัดหมายตามธรรมเนียม เรือรบไม่ฟังกับยิงโต้ตอบบ้าง จึงเกิดยิงโต้กันขึ้น แล้วเรือรบทั้งสองก็ได้ขึ้นมาทอดสมออยู่ในลำน้ำหน้าสถานฑูตฝรั่งเศส การที่เป็นไปแล้วทั้งนี้ ยังเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์ที่เข้าใจผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะในคำโทรเลขแต่ปารีสบอกความชัดว่า เสนาบดีต่างประเทศฝรั่งเศสแสดงถ้อยคำว่า ไม่ได้หมายจะทำภัยอันตรายอันใด ต่อความเป็นใหญ่เป็นเจ้าของกรุงสยาม เพราะเหตุฉะนี้ อย่าให้ชนทั้งหลายวิตกตื่นไปว่า จะมีการรบพุ่งอันตรายอันใดในกรุงเทพ ฯ นี้เลย และเรือรบที่เข้ามาใหม่ประสมกับลำเก่า รวมเป็น ๓ ลำด้วยกันนี้ แม้ว่าจะคิดอันตรายอันใด ก็ไม่อาจทำได้จริงให้เป็นผลแก่ฝรั่งเศสได้ กำลังในเรือรบทั้ง ๓ ลำนี้มีเพียง ๓๐๐ คนเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถขึ้นมารุกรานเข้าตีในหมู่กลางประชุมทหารนี้ได้  แต่เหตุสำคัญที่ควรจะป้องกันแก้ไขบัดนี้ มีอยู่ที่ชนทั้งหลายจะพากันวิตกตื่นเต้นไปต่าง ๆ โดยความที่ไม่ได้ทราบความหนักเบา จึงได้ดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้กรมนครบาลจัดการป้องกันระวังรักษาทรัพย์สมบัติ และพลเมืองให้พ้นจากคนพาลเบียดเบียน อนึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินออกทอดพระเนตรตรวจตรา พลทหารประจำซองกรุงเทพ ฯ ทั่วไปแล้ว เป็นที่ทรงยินดีต้องพระราชหฤทัยยิ่งนัก ว่าจะระงับเหตุการณ์ในบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย และป้องกันรักษาอาณาประชาชนให้พ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ และในการครั้งนี้ ก็ยังไม่ได้มีการโต้ตอบปรึกษาหารือกับด้วยรัฐบาลฝรั่งเศสทั้งที่กรุงเทพ ฯ และที่กรุงปารีส ดังปรากฏในหนังสือในเรื่องนี้ ซึ่งได้ตีพิมพ์ประกาศมาให้ทราบแล้วด้วย ขอให้ชนทั้งหลายพิเคราะห์เหตุผลตามกระแสพระราชดำริ ที่ได้ชี้แจงมาแล้วนี้ อย่าให้หวาดหวั่นวิตกตื่นไปกว่าเหตุนั้น จงรักษาความสงบเรียบร้อยตามปกติของตนทั่วกันเถิด

ประกาศมา ณ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ.๑๑๒


| ย้อนกลับ | บน | หน้าต่อไป |


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์