ที่ตั้ง
ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อย หรือระหว่างเส้นละติจูดหรือเส้นรุ้งที่ 5
องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ
และระหว่างลองจิจูดหรือเส้นแวงที่ 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105
องศา 37 ลิปดาตะวันออก
สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยตามแนวลองจิจูดนั้น ประเทศไทยยึดเอาลองจิจูดที่
105 องศาตะวันออกเป็นเวลามาตรฐาน ทำให้ประเทศไทยมีเวลาแตกต่างจากเวลามาตรฐานกรีนิช
7 ชั่วโมง การติดต่อในเชิงธุรกิจกับประเทศใด ๆ มีความจำเป็น
ที่จะต้องรู้เวลาของประเทศนั้นว่า แตกต่างจากเวลาในประเทศไทยกี่ชั่วโมง
เพื่อให้เกิดความสะดวกและทันเวลา เช่น
ประเทศญี่ปุ่นมีเวลาที่เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง จีน มาเลเซีย
มีเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ประเทศสหรัฐอเมริกา
มีเวลาตรงกันข้ามกับไทย
รูปร่าง
ประเทศไทยมีรูปร่างเหมือนขวานโบราณ
กระบวยตักน้ำ ช่อดอกไม้ หรือม้าน้ำ แต่นักการทหารมองว่าเหมือน
"หัวช้าง" โดยส่วนหัวช้าง คือ ภาคเหนือ ส่วนงวง คือ ภาคใต้
ส่วนที่เป็นปาก ได้แก่ บริเวณอ่าวไทย ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และชายฝั่ง
ตะวันออก ส่วนหูช้าง คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ด้วยลักษณะรูปร่างดังกล่าว
จัดว่ามีข้อด้อยอยู่หลายประการ เช่น รูปร่างที่ยาวเรียวลงไปทางใต้
ทำให้เสียเวลาในการเดิน ทาง และค่าใช้จ่ายในการสร้างเส้นทางคมนาคม
รวมถึงการดูแลรักษาประเทศ เช่น การป้องกันชายฝั่งทะเลที่ยาวเหยียด
ทั้งสองด้าน
นอกจากนี้รูปร่างที่ยื่นออกไปหรือถูกขนาบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน
ทำให้มีปัญหาบริเวณชายแดนอยู่ตลอดเวลา เช่น
มีการอพยพโยกย้ายถิ่นเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ปัญหาก่อการร้ายและยาเสพติด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องระมัด
ระวังเป็นพิเศษ
ขนาด
ตามการแบ่งขนาดของประเทศทางภูมิศาสตร์การเมือง
ไทยจัดเป็นประเทศขนาดใหญ่ อันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
(ประกอบด้วย อินโดนีเซีย พม่า ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว
กัมพูชา บรูไน สิงคโปร์) รองจาก อินโดนีเซียและพม่า ใหญ่กว่าลาวประมาณ
2 เท่า ใหญ่กว่ากัมพูชาประมาณ 3 เท่า และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศ
ฝรั่งเศส หรือมลรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา *มีพื้นที่ 513,115.020
ตารางกิโลเมตร หรือ 320,696,887.500 ไร่
(*ข้อมูลพื้นที่จากอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 6
ภาคผนวก พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2529) หรือ ประมาณ 198,953 ตารางไมล์
การที่ประเทศไทยมีขนาดใหญ่
มีข้อดีในเรื่องของประเภทและปริมาณทรัพยากรธรรมชาติ
ความลึกของพื้นที่ทำให้ได ้เปรียบในด้านการป้องกันประเทศ
การมีประชากรจำนวนมาก มีผลดีในเรื่องของการใช้แรงงานและความคิด
ส่วนความ แตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค
ส่งผลให้มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น
แนวพรมแดน
มีความยาวของพรมแดนทางบก
5,326 กิโลเมตร ความยาวทางทะเลฝั่งอ่าวไทย 1,840 กิโลเมตร และความยาว
ทางฝั่งทะเลอันดามัน 865 กิโลเมตร ความยาวจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถึง
อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดและใต้สุด ของประเทศ ระยะทาง 1,640
กิโลเมตร และความกว้างจากด่านเจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
ถึงช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ระยะทาง 780
กิโลเมตร
ส่วนที่แคบที่สุด อยู่ในเขต
จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งวัดจากพรมแดนสหภาพพม่า
ที่ทิวเขาตะหนาวศรีถึงฝั่งทะเลอ่าว ไทย ที่บ้านวังด้วน ต.ห้วยทราย
อ.เมือง ตามแนวละติจูด 11 องศา 43 ลิปดา เหนือ เป็นระยะทาง 10.96
กิโลเมตร ตรง บริเวณที่ตั้งของจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร
ตามแนวละติจูด 10 องศา เหนือ ถือได้ว่าเป็นส่วนแคบที่สุดของพื้นที่
แผ่นดินที่เป็นภาคใต้ของไทย และเป็นจุดตั้งต้นของคาบสมุทรมลายู
บริเวณพื้นที่ส่วนนั้นเรียกว่า คอคอดกระ มีความ กว้าง 64 กิโลเมตร
โดยวัดจากฝั่งแม่น้ำกระบุรี ใน อ.เมือง จ.ระนองถึงฝั่งทะเลอ่าวไทย
อ.หลังสวน จ.ชุมพร
ประเทศไทยมีแนวพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านถึง
4 ประเทศ ได้แก่ พรมแดนด้านพม่า (เมียนมาร์) ยาว 2,202 กิโลเมตร
พรมแดนด้านลาว 1,750 กิโลเมตร พรมแดนด้านกัมพูชายาว 798 กิโลเมตร
พรมแดนด้านมาเลเซีย 577 กิโลเมตร
โดยที่แนวพรมแดนส่วนใหญ่ยึดเอาแนวสันปันน้ำของภูเขา
ทางน้ำหรือลำน้ำบริเวณแนวกลางของร่องน้ำที่ไหล แรงที่สุด เรียกว่า ร่องน้ำลึก ยกเว้นพรมแดนในแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสให้ถือเอาเกาะแก่งเป็นของลาวทั้งหมด
แม้ว่าจะอยู่ ใกล้ฝั่งไทย (ยกเว้น 8 เกาะ)์
|
1. |
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สหภาพพม่า
หรือเมียนมาร์ ความยาว 2,202 กิโลเมตร
ทอดไปตามร่องน้ำลึกของแม่น้ำ รวก แม่น้ำสาย ทิวเขาแดนลาว
แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำเมย ทิวเขาถนนธงชัย ทิวเขาตะนาวศรี
และแม่น้ำกระบุรี (ปากจั่น) อยู่ในเขตพื้นที่ จ.เชียงราย
เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี
ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง |
|
2. |
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ความยาว 1,750 กิโลเมตร ทอดไปตามร่องน้ำลึก ของแม่น้ำโขงตอนบน
แม่น้ำเหืองงา แม่น้ำเหือง และแม่น้ำโขงตอนล่าง
และทอดไปตามสันปันน้ำในทิวเขาหลวงพระบาง ทางตอนเหนือ
และสันปันน้ำในทิวเขาภูแดนลาวทางตอนใต้ อยู่ในเขต จ.เชียงราย
พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร
อุบลราชธานี |
|
3. |
แนวพรมแดนระหว่างไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา
ความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร นับจากอ่าวไทยทอดไปตามทิวเขา บรรทัด
แม่น้ำไพลิน (หรือห้วยเขมร) คลองลึก คลองด่าน คลองน้ำใส
ที่ราบแนวเส้นตรงคลองปากอ้าว (ปากอ่าว) และทิว เขาพนมดงรัก ในเขต
จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ
และอุบลราชธานี |
|
4. |
แนวพรมแดนระหว่างไทย-สหพันธรัฐมาเลเซีย
ความยาว 577 กิโลเมตร ทอดไปตามสันปันน้ำของทิวเขาสันกาลาคีรี
ร่องน้ำลึกของแม่น้ำโก-ลก ในเขต จ.สตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาส
แนวพรมแดนแสดงความเป็นอธิปไตยเหนือพื้นที่ บริเวณนั้น
แนวพรมแดนทางธรรมชาติ เหมาะสำหรับกีดขวาง
ช่วยในการป้องกันข้าศึกรุกราน แต่ขัดขวางด้านการ คมนาคม
ติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างมิตรประเทศ
ในปัจจุบันนี้แนวพรมแดนจัดว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจ
ที่สำคัญของประเทศ
เพราะเปิดตลาดทำการค้าขายกันหลายแห่งกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
เพราะมีจุดชมวิวที่ สวยงามด้วย
บางแห่งมีประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
โดยทั่วไปเป็นจุดที่อยู่ตรงช่องเขาหรือมีแม่น้ำ
กั้น |
ลักษณะภูมิประเทศโดยรวมของไทยประกอบด้วย
เทือกเขา ป่าไม้ เนินเขา ที่ราบสูง ที่ราบหุบเขา
ที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำ ใหญ่หลายสาย ทะเล ชายหาด และเกาะแก่งต่าง
ๆ
การแบ่งภาค*ทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยตามที่กำหนดไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย
ของราชบัณฑิตสถาน เล่ม 1 ปี 2525 หน้า 3-18 แบ่งออกเป็น 6 ภาค
และมีขนาดของพื้นที่ในแต่ละจังหวัดเป็นตารางกิโลเมตร
โดยประมาณ ดังนี้
- ประกอบด้วย 22 จังหวัด
เนื้อที่ 91,795.124 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
กรุงเทพฯ |
1,565.222 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
กำแพงเพชร |
8,607.490 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
ชัยนาท |
2,469.746 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
นครปฐม |
2,168.327 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
นครนายก |
2,122.000 |
|
ตร.กม. |
|
6. |
นครสวรรค์ |
9,597.677 |
|
ตร.กม. |
|
7. |
นนทบุรี |
622.303 |
|
ตร.กม. |
|
8. |
ปทุมธานี |
1,525.856 |
|
ตร.กม. |
|
9. |
พระนครศรีอยุธยา |
2,556.640 |
|
ตร.กม. |
|
10. |
พิจิตร |
4,531.013 |
|
ตร.กม. |
|
11. |
พิษณุโลก |
10,815.854 |
|
ตร.กม. |
|
12. |
เพชรบูรณ์ |
12,668.416 |
|
ตร.กม. |
|
13. |
ลพบุรี |
6,199.753 |
|
ตร.กม. |
|
14. |
สมุทรปราการ |
1,004.092 |
|
ตร.กม. |
|
15. |
สมุทรสงคราม |
416.707 |
|
ตร.กม. |
|
16. |
สมุทรสาคร |
872.347 |
|
ตร.กม. |
|
17. |
สระบุรี |
3,577.486 |
|
ตร.กม. |
|
18. |
สิงห์บุรี |
822.478 |
|
ตร.กม. |
|
19. |
สุโขทัย |
6,596.092 |
|
ตร.กม. |
|
20. |
สุพรรณบุรี |
5,358.008 |
|
ตร.กม. |
|
21. |
อ่างทอง |
968.372 |
|
ตร.กม. |
|
22. |
อุทัยธานี |
6,730.246 |
|
ตร.กม. |
ภาคตะวันตก
- ประกอบด้วย 5 จังหวัด
เนื้อที่ 53,679.018 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
กาญจนบุรี |
19,483.148 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
ตาก |
16,406.650 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
ประจวบคีรีขันธ์ |
6,367.620 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
เพชรบุรี |
6,225.138 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
ราชบุรี |
5,196.462 |
|
ตร.กม. |
ภาคตะวันออก หรือ
ตะวันออกเฉียงใต้ |
|
- ประกอบด้วย 7 จังหวัด
เนื้อที่ 34,380.500 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
จันทบุรี |
6,338.000 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
ฉะเชิงเทรา |
5,351.000 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
ชลบุรี |
4,363.000 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
ตราด |
2,819.000 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
ปราจีนบุรี |
4,772.362 |
|
ตร.กม. |
|
6. |
ระยอง |
3,552.000 |
|
ตร.กม. |
|
7. |
สระแก้ว |
7,195.138 |
|
ตร.กม. |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ประกอบด้วย 19 จังหวัด
เนื้อที่ 168,854.341 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
กาฬสินธุ์ |
6,946.746 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
ขอนแก่น |
10,885.991 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
ชัยภูมิ |
12,778.287 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
นครพนม |
5,512.668 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
นครราชสีมา |
20,493.964 |
|
ตร.กม. |
|
6. |
บุรีรัมย์ |
10,321.885 |
|
ตร.กม. |
|
7. |
มหาสารคาม |
5,291.683 |
|
ตร.กม. |
|
8. |
มุกดาหาร |
4,339.830 |
|
ตร.กม. |
|
9. |
ยโสธร |
4,161.664 |
|
ตร.กม. |
|
10. |
ร้อยเอ็ด |
8,299.449 |
|
ตร.กม. |
|
11. |
เลย |
11,424.612 |
|
ตร.กม. |
|
12. |
ศรีสะเกษ |
8,839.977 |
|
ตร.กม. |
|
13. |
สกลนคร |
9,605.774 |
|
ตร.กม. |
|
14. |
สุรินทร์ |
8,124.056 |
|
ตร.กม. |
|
15. |
หนองคาย |
7,332.280 |
|
ตร.กม. |
|
16. |
หนองบัวลำภู |
3,859.086 |
|
ตร.กม. |
|
17. |
อำนาจเจริญ |
3,161.248 |
|
ตร.กม. |
|
18. |
อุดรธานี |
11,730.302 |
|
ตร.กม. |
|
19. |
อุบลราชธานี |
15,744.850 |
|
ตร.กม. |
- ประกอบด้วย 14 จังหวัด
เนื้อที่ 70,715.187 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
กระบี่ |
4,708.512 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
ชุมพร |
6,009.008 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
ตรัง |
4,917.519 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
นครศรีธรรมราช |
9,942.502 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
นราธิวาส |
4,475.430 |
|
ตร.กม. |
|
6. |
ปัตตานี |
1,940.356 |
|
ตร.กม. |
|
7. |
พังงา |
4,170.895 |
|
ตร.กม. |
|
8. |
พัทลุง |
3,424.473 |
|
ตร.กม. |
|
9. |
ภูเก็ต |
543.034 |
|
ตร.กม. |
|
10. |
ยะลา |
4,521.078 |
|
ตร.กม. |
|
11. |
ระนอง |
3,298.045 |
|
ตร.กม. |
|
12. |
สงขลา |
7,393.889 |
|
ตร.กม. |
|
13. |
สตูล |
2,478.977 |
|
ตร.กม. |
|
14. |
สุราษฎร์ธานี |
12,891.469 |
|
ตร.กม. |
- ประกอบด้วย 9 จังหวัด
เนื้อที่ 93,690.850 ตารางกิโลเมตร
|
1. |
เชียงราย |
11,678.369 |
|
ตร.กม. |
|
2. |
เชียงใหม่ |
20,107.057 |
|
ตร.กม. |
|
3. |
น่าน |
11,472.072 |
|
ตร.กม. |
|
4. |
พะเยา |
6,335.060 |
|
ตร.กม. |
|
5. |
แพร่ |
6,538.598 |
|
ตร.กม. |
|
6. |
แม่ฮ่องสอน |
12,681.259 |
|
ตร.กม. |
|
7. |
ลำปาง |
12,533.961 |
|
ตร.กม. |
|
8. |
ลำพูน |
4,505.882 |
|
ตร.กม. |
|
9. |
อุตรดิตถ์ |
7,838.592 |
|
ตร.กม. |
การแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ อาศัยหลักเกณฑ์สำคัญ 2 ประการ คือ
|
1. |
เรียกชื่อภูมิภาคตามทิศทางที่ตั้งของภูมิภาคนั้น
ๆ ว่าตั้งอยู่ในส่วนใดของประเทศ เช่น ภาคเหนือ หมายถึง
ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และภาคใต้
หมายถึงภูมิภาคที่ตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศ
การเรียกชื่อภูมิภาคตามทิศเช่นนี้ ทำให้เกิดความสะดวก
และสามารถนำไปใช้ได้ในวงการอื่น ๆ ด้วย |
|
|
2. |
รวมกลุ่มจังหวัดที่มีลักษณะทางกายภาพ
และทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน เข้าไว้ด้วยกันในแต่ละภาค
โดยเฉพาะลักษณะภูมิประเทศ ถือเป็นเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญยิ่ง
เช่น จังหวัดในภาคเหนือ ส่วนใหญ่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและหุบเขา
ส่วนจังหวัดในภาคกลาง ส่วนใหญ่มีภูมิประเทศเป็นที่ราบ เป็นต้น |
|
|
|
|
|
*หมายเหตุ -
การแบ่งตามภูมิภาคของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้หลักเกณฑ์สอดคล้องกับการแบ่งภาคของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และภาคใต้ (ดูรายละเอียดได้จากหัวข้อ
การเมืองการปกครอง
ภูมิอากาศ
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นของโลก
ภูมิอากาศเป็นแบบเขตร้อน (tropical climate) มีอุณหภูมิและฝนเป็นปัจจัย
สำคัญในการกำหนดเขตภูมิอากาศ
พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมทั้ง 2 ฤดู คือ
มรสุมตะวันตก เฉียงใต้จากแถบมหาสมุทรอินเดียเป็นฤดูฝน
มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากทะเลจีนใต้เป็นฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี
ประมาณ 18-34 องศาเซลเซียส
พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ลักษณะภูมิอากาศแบบสะวันนา คือ
มีช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งสลับ กันชัดเจน
ส่วนภาคใต้และภาคตะวันออกมีภูมิอากาศแบบป่าฝนเมืองร้อน คือ
ฝนตกเกือบตลอดปี
ฝนที่ตกในฤดูร้อนเป็นฝนที่เกิดจากอากาศลอยตัว
ส่วนในฤดูฝนจะมีทั้งแบบที่เกิดจากอากาศลอยแบบฝนปะทะภูเขา
และแบบพายุดีเปรสชั่นหรือไต้ฝุ่น ปริมาณฝนเฉลี่ยตลอดปีมีมากกว่า 1,500
มิลลิเมตร หรือ 61 นิ้ว ซึ่งน่าจะเพียงพอ สำหรับการเกษตรกรรม
แต่เนื่องจากมีปัญหาการกระจายของฝนไม่ดี คือ
พื้นที่ส่วนใหญ่จะมีช่วงฤดูฝนสั้นกว่าฤดูแล้ง
และพื้นดินไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดีเท่าที่ควร
จึงทำให้เกษตรกรขาดน้ำใช้อุปโภคบริโภค รัฐบาลจึงได้สร้างเขื่อนเพื่อกัก
เก็บน้ำในฤดูฝน บรรเทาปัญหาอุทกภัย และเปิดให้เกษตรกรได้ใช้ในฤดูแล้ง
นอกจากนั้นยังได้ใช้ประโยชน์ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
ฤดูกาลแต่ละภูมิภาคแตกต่างกัน ดังนี้
ภาคกลาง
มี 3 ฤดู ได้แก่
ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน
และมีฝนตกในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
ส่วนฤดูหนาวจะเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
|
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มี 3 ฤดู ได้แก่
ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน สภาพอากาศจะร้อนและ
แห้งแล้งจัด ส่วนฤดูฝนเริ่มในเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
ปริมาณน้ำฝนมากจนเกิดภาวะน้ำท่วมในบางพื้นที่ของภาค และฤดู
หนาวในเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อากาศหนาวเย็นจัดและแห้งแล้ง
|
ภาคใต้
มีเพียง 2 ฤดู คือ
ฤดูฝนกับฤดูร้อน (เป็นฤดูท่องเที่ยว) โดยฝั่งทะเลตะวันออก
ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่พฤษภาคม- กันยายน ส่วนฝั่งทะเลอันดามัน
ฤดูร้อนเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
|
ภาคเหนือ
มี 3 ฤดู ได้แก่
ฤดูร้อนเริ่มในเดือนมีนาคม-เมษายน ฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม
และฤดูหนาว ในเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
สภาพอากาศค่อนข้างเย็นจัด |
|