แก่งหินเพิง
แก่งหินเพิง
เมื่อปีที่แล้วผมไป "ล่องแก่ง" ที่แก่งหินเพิง ซึ่งอยู่ในลำน้ำใสใหญ่
ความยากของการล่องแก่งนี้เขาให้ค่าไว้ระหว่าง "๓ - ๕" สุดแล้วแต่น้ำจะมากหรือน้อย
พอไปล่องแก่งกลับมาแล้ว ก็เที่ยวไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง รวมทั้งเขียนลงในคอลัมน์เที่ยวไป
กินไปของผม เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มแรกว่า ตอนอยากไปล่องแก่งนั้น ก็ดูทัวร์จากหน้าประชาสัมพันธ์ในหนังสือนำเที่ยวทั้งหลาย
และผมเองมีความผูกพันกับจังหวัดปราจีนบุรีมากพอสมควร เพราะเมื่อตอนหนุ่ม ๆ
ร่วม ๔๐ กว่าปีมาแล้วเคยรับราชการอยู่ที่จังหวัดนี้ ตั้งแต่สมัยที่ "ค่ายจักรพงษ์"
มีไฟฟ้าใช้วันหนึ่งแล้วหยุดไปอีก ๒ วัน เพราะกำลังไฟไม่พอต้องหมุนเวียนกันใช้ภายในค่าย
สมัยนั้นในเมืองไม่มีแม้แต่โรงภาพยนตร์ ไม่มีถนนราดยางแม้แต่เมตรเดียวในค่ายทหาร
และการท่องเที่ยวก็ไปกันแต่น้ำตกเขาอีโต้เป็นหลัก เพราะอยู่ไม่ไกลจากเมือง
นายทหารสมัยนั้นอย่างไปฝันถึงรถเก๋ง เอากันแค่มีจักรยานขี่ก็เทห์เต็มทีแล้ว
ดังนั้นหารถจิ๊ปได้ก็จะไปเที่ยวน้ำตกเขาอีโต้ เรียกว่าได้ควงสาวไปเที่ยวน้ำตก
"อำเภอนาดี" ซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งของแก่งหินเพิงยังไม่มี ปราจีนบุรียังไม่เป็นเมืองผลไม้
มีแต่ "ไผ่ตง" เป็นสินค้าหลักของจังหวัดซึ่งส่งออกทั้งสดและอัดลงปีป นี่คือปราจีนบุรีสมัยเมื่อ
๔๐ ปีเศษมาแล้ว
ดังนั้นเมื่อเขาส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มีการล่องแก่งจึงอยากไป ถ้าสนุกดีจะได้เอามาเขียนเล่าให้ฟังจะได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กระจายไปทั่วแดนไทย
น้อยประเทศนักที่จะมีแหล่งท่องเที่ยวสมบูรณ์เหมือนเมืองไทย มีภูเขา มีน้ำตก
มีป่าไม้ มีถ้ำ มีบ้าน มีเมืองที่เจริญแล้วให้เที่ยวกัน รวมทั้งยังมีโบราณสถานระดับมรดกโลกไว้ให้ชม
และได้มีการบูรณะแล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีที่งามในบ้านเรา
ผมให้เลขาตลอดกาลของผม คือภรรยาของผมเอง ให้ทำหน้าที่เลขาตลอดกาล และการเดินทางท่องเที่ยวของผมส่วนใหญ่ก็ไปกัน
๒ คน ผมขับรถเองให้เลขา ฯ คอยจดรายละเอียดเขาก็จดบ้าง นั่งหลับไปบ้างก็สนุกดี
นาน ๆ ก็ยกขบวนไปท่องเที่ยวกันเสียทีหนึ่ง เพราะคณะพรรคที่พร้อมจะยกขบวนตามการชักชวน
ไปท่องเที่ยวของผมมีค่อนข้างแยะ เมื่อทราบแหล่งท่องเที่ยวว่ามีการล่องแก่งที่ถิ่นเก่าของผมที่จังหวัดปราจีนบุรี
ก็จัดการให้เลขา ฯ โทรศัพท์ไปถามรายละเอียดเขาดู ปรากฏว่าเขาถามอายุเท่าไร
พอเลขา ฯ บอกว่า ๖๐ แล้ว (ยังไม่ทันถามอายุของผมถ้าทราบคงเป็นลม) แม่สาวที่รับสายก็กรี๊ด
ร้องมาตามสายบอกว่า คุณจะเป็นสาวเปรี้ยวไปหน่อยแล้ว ไม่รับให้ไปร่วมรายการล่องแก่ง
เขาไม่เคยเห็น เลขา ฯ เขาไม่เคยรู้ว่าคนสูงอายุ อายุใกล้ร้อยอย่างผมจะขับรถคนเดียว
วันเดียว ไปเชียงแสนหรือภูเก็ตได้แบบสบาย ๆ รวมทั้งขับไปประชุม ไปทำงานที่กระทรวงกลาโหมที่รถราติดยังกะอะไรดี
เมื่อเขาไม่ให้ไปก็เอามาเขียนไว้ในหนังสือที่ผมเขียน เล่าให้ฟังว่าเขาไม่ให้ไปเพราะอายุเกิน
๖๐ เหมือนกับบัตรเครดิตฝรั่งทั้งหลายชอบมาเชิญให้ผมเป็นสมาชิก พอส่งหลักฐานไปให้บอกว่าผิดหลักเกณฑ์เพราะอายุเกิน
๖๐ ปี คนอายุเกิน ๖๐ ปี สมัยนี้หากรู้จักบำรุงร่างกาย ออกกำลังกายบ้าง อย่ากินจนเกินไป
ไปหาแพทย์ตามระยะเวลา หรือใครมีโรคประจำตัวก็ไปพบแพทย์ตามกำหนดนัดของแพทย์
ได้ยาอะไรมา ก็กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด อย่าทำตัวอยู่นิ่ง ๆ มัวแต่คิดว่าแก่แล้วรอเลี้ยงหลานอย่างเดียว
แบบนี้จะตายเร็วสมองจะฝ่อด้วย หากคิดว่าเรายังทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้อีกมากและหลาย
ๆ อย่างตอนที่เรารับราชการเราอยากทำ แต่เขาไม่ให้ทำ ตอนนี้ทำได้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงรับเป็นประธานที่ปรึกษาของคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กลุ่มที่ ๖ ) ทำงานแล้วสมองไม่ฝ่อครับ
พอเขียนลงไปว่าเขาไม่ให้ไปเพราะสูงอายุ ไม่กี่วันอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้วยกันมาที่ปราจีนบุรี
และไปสงครามเวียตนามมาด้วยกัน แต่พอเป็นนายพันเขาก็ลาออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว
มีทั้งปั๊มน้ำมัน มีรีสอร์ท มีกิจการล่องแก่ง ฯ เขาก็โทรศัพท์บอกมาว่า ขอเชิญให้ไปล่องแก่งที่รีสอร์ทของเขา
ก็บอกกติกาเขาไปว่า ให้คิดสตางค์เหมือนคนอื่น เขาก็ตกลงและบอกว่าจะมีทหารไปดูแลความปลอดภัยด้วย
ก็ไม่ได้ซักถามเขาว่าทำไมจึงมีทหารไปดูแลความปลอดภัย มารู้เมื่อไปแล้ว ปีที่แล้วผมจึงยกคณะของครู
อาจารย์ โรงเรียนบดินทรเดชา ฯ ที่ซี้อยู่กับเลขาของผมและตัวผมเองด้วย เหมารถรวมกันไป
ซึ่งความจริงแล้วทางรีสอร์ทเขาก็มีรถบริการจ่ายค่ารถให้เขาก็แล้วกัน ก่อนที่จะลืมบอกเบอร์โทรไว้เลย
มีหลายเบอร์ (๐๓๗) ๔๐๕ - ๖๐๘ ,๔๐๕ - ๖๑๑ , ๐ - ๑๖๖๓ - ๒๗๗๗, ๐ - ๑๖๖๓ - ๒๗๗๕
เมื่อไปถึงรีสอร์ท ที่พักดีมาก ไม่แพง บริเวณของเขากว้างขวางเป็นข้อได้เปรียบยิ่งกว่ารีสอร์ทใด
ๆ ที่จัดนำเที่ยวล่องแก่งหินเพิงเพราะต้องเช่าที่ดินชาวบ้าน ทั้งสามีและภริยา
(เป็นรองประธานสภาเทศบาลเมือง ฯ ) เป็นลูกบ้านอำเภอนาดี จึงมีที่ดินดั้งเดิมและทำสวนผลไม้ไว้
ปลูกกะท้อน เงาะ ทำนองนี้ ภายในบริเวณจึงมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำ
มีหอโดดที่ตัวเราจะไหลเลื่อนมาตามลวดสลิง หากพลาดพลั้งมือไม่เหนียวพอก็แค่หล่นตกน้ำไป
มีเรือแคนนู เรือคยัคให้พายเล่นในอ่างเก็บน้ำได้ และยังอยู่ใกล้น้ำตกหากน้ำมากพอก็จะให้สายน้ำนวดตัวยังกับลงอ่างจากกุชชี่นั่นแน่ะ
มีจักรยานให้เดินทางท่องเที่ยวไปตามทางในป่าที่ปลอดภัย เพราะป่านี้คือ ป่าในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
จุด "ชญ.๙" ลำน้ำที่ล่องแก่งคือ ลำน้ำใสใหญ่ ที่มาจากเขาใหญ่และเป็นแหล่งต้นแม่น้ำของแควหนุมาน
และแม่น้ำบางปะกง
ทีนี้มาดูที่ว่าทำไมเขามีทหารมาบริการ มารู้ว่าไม่ใช่บริการเฉพาะคณะผมใคร
ๆ ไปเที่ยวไปพักของเขา หรือล่องแก่งกับเขา (ไปแบบไม่พักก็ล่องแก่งได้) จะบริการด้วยทหารทั้งหมด
มาจากหน่วยงานที่มีทหาร เข้มแข็งมากเหมือนพวกรบพิเศษเลยทีเดียว และไม่ได้เอาเวลาราชการมาบริการ
ทหารมาเช้ามืดวันหยุดจากปราจีนบุรี มาบริการตั้งแต่แบกเรือยาง เป็นนายหัว
นายท้าย เป็นครูอธิบายและฝึกอย่างย่อแก่นักล่องแก่งสมัครเล่นทั้งหลาย ดูแลให้ความปลอดภัย
แถมกลางคืนช่วยบริการแขกที่พักอีก เพราะเขาเลี้ยงอาหารถึง ๓ มื้อ อาหารดีเลิศทุกมื้อเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
นอกจากทหารจะมาได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษ ไปช่วยครอบครัวแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน
ในบริเวณนี้อีกด้วย เช่นไร่ของประธานกลุ่มเครือข่ายพัฒนาชีวิตครู จังหวัดปราจีนบุรี
เขาก็มาทำไร่ร่วมกันเพื่อปลูกกุ่ยช่ายปลอดสารพิษ ปีนี้ปลูกผักหวานปลอดสารพิษเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งผักหวานนั้นเป็นอาหารชั้นดี และมีสรรพคุณทางสมุนไพรสูงมาก ลวกจิ้มน้ำพริก
ผัดน้ำมันหอย ใส่บะหมี่มาม่าแทนถั่วงอก ชงเป็นชาเขียว ลดความอ้วน ต้มกับน้ำตาลแก้เด็กที่รูปร่างแคระแกร็น
ผลผลิตของไร่ก็จะขายมาที่รีสอร์ท และนำส่งเข้าไปขายในกรุงเทพ ฯ รีสอร์ทแห่งนี้เขาจึงนำเที่ยวได้แยะ
เพราะพื้นที่กว้างขวาง สมบูรณ์ราคาถูก
ปีนี้ ๒๕๔๕ คณะร่วมรุ่นของเลขา ฯ ของผม คือคณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์ รุ่นคุณย่าคุณยายทั้งหลายก็ชักชวนกันมาให้ผมทำหน้าที่หัวหน้าทัวร์
ซึ่งการไปทัวร์กับคณะนี้จะมีไปทั้งชายและหญิง ได้แก่คุณย่า คุณยายทั้งหลายและสามี
หรือผู้ชายและภริยา และยกย่องให้ผมเป็นตั้งแต่หัวหน้าทัวร์ แอ๊ดรถ มรรคทายก
พาชิมอาหาร หัวหน้าทีมต้องกล่าวขอบคุณต่อท่านผู้ให้การสนับสนุน คือขาดอะไรเขาก็ยกย่องให้ผมเป็นอย่างนั้น
คณะของเราจึงออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ โดยมีแหล่งรวมพลกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ที่สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์รถออกเวลา ๐๘.๐๐ น. เลี้ยงอาหารเช้าในรถ ไปกินกลางวันที่กบินทร์บุรี
(ขอยกอาหารร้านนี้ไว้ไปเล่าทีหลัง พร้อมกับเล่าอุทยานแห่งชาติทับลาน) ไปถึงรีสอร์ทตอนเย็น
ก็เดินชมบริเวณที่กว้างขวาง ร่มรื่นไปด้วยสวนไม้ผล ผลไม้ในสวนเหลือแต่กระท้อน
เงาะหมดไปแล้ว เชิญนักท่องเที่ยวสอยกินได้ อย่าขนของเขากลับบ้านก็แล้วกัน
ห้องพักของเขาสบาย ไม่มีแอร์ส่วนมากกลางคืนจะอากาศเย็นเพราะเชิงเขาใหญ่ อาหารมื้อเย็นก็ที่ห้องอาหารของเขาซึ่งมีดนตรีประเภทคาราโอเกะด้วย
เป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักร้อง นักดื่มเขามีเบียร์ขาย โซดา น้ำแข็งก็มี จะให้เหมาะใครดื่มไวน์
ดื่มสุราเอาไปเอง คณะผมก็เอาไปกันเอง ซื้อโซดา น้ำแข็งของเขา และเราไปกันวันศุกร์
นอกรายการทัวร์ปกติของเขา ซึ่งทัวร์ของเขามักจะพักคืนเดียว รุ่งขึ้นล่องแก่งแล้วกลับ
กินอาหารด้วย ๓ มื้อ แต่ทัวร์ของผมให้เขาจัดพิเศษกินอาหารกัน ๕ มื้อเลยทีเดียว
มื้อเย็นวันแรก น้ำพริกมะขาม ปลาทูทอดและผัก แกงส้มไหลบัว ผักกะเฉด
ไม่เคยกินที่ไหน แม่ครัวเอกกับรองประธานสภาเทศบาลเมือง ฯ และแม่บ้านคนเดียวกัน
ผัดผักกุ่ยช่ายปลอดสารพิษ ต้มจืดหน่อไม้ ซดโฮกชื่นใจเหลือประมาณ ใครใคร่ร้องเพลงไปร้องได้
ใครใคร่ดื่มเชิญตามสบาย อยากได้อาหารพิเศษอะไรอีกก็ถามเขาดูสั่งเพิ่มได้ แต่อาหารตามรายการก็แยะแล้ว
วันแรกที่ไปแขกที่จะล่องแก่งยังมีน้อย ไม่ใช่หน้าล่องแก่งก็มาได้มาดูพระอาทิตย์ตก
มารับอากาศหนาวเย็น ฤดูล่องแก่งมีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ไปจนถึงตุลาคมเท่านั้น
จากนั้นน้ำจะน้อยแค่ลงอาบได้เท่านั้น
มื้อเช้าวันรุ่งขึ้นจะเป็นข้าวต้มกับ ผักบุ้งผัด ยำไข่เค็ม ผัดถั่วงอกกับเต้าหู้
ที่อร่อยสุดคือเห็ดสด หมู ฟองเต้าหู้ เขาเอามาทำต้มเค็ม (ไม่ใช่พะโล้) อร่อยมากจริง
ๆ ซดข้าวต้ม ๓ ชามเลย ต่อจากนั้นก็จะถึงเวลาที่รอคอยคือ การไปล่องแก่ง ต้องนั่งรถเดินทางไปอีก
ประมาณ ๙ กิโลเมตร ไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
(ปีที่แล้วยังไม่มี) มีอาหารขายบ้างโดยเฉพาะตอนกลางวันจะมี "ขนมเขียว"
ขนมพื้นบ้านของอำเภอนาดี
เหมือนเอาใส้ถั่วแป๊ปมาห่อบาง ๆ ด้วยแป้งขนมเปียกปูนอร่อยทีเดียว อันละ ๒
บาท ท่าน้ำตรงศูนย์บริการนี้คือจุดสุดท้ายของการล่องแก่งจะมาขึ้นจากเรือท่านี้
จากศูนย์นี้ ต้องเดินหรือหากรถไม่มากนักเขาจะให้ไปส่งที่จุดเริ่มต้นเดิน แต่รถจะกลับมาคอยที่จุดนี้
คนที่ไปล่องแก่งทางรีสอร์ทต้องจ่ายให้ด่านป่าไม้คนละ ๒๐ บาท จ่ายเป็นค่าเรือยางที่จะล่องลำละ
๒๐๐ บาท จ่ายให้แก่คนแบกเรือยางไปยังจุดเริ่มต้นล่องลำละประมาณ ๒๕๐ บาท มักจะจ้างชาวบ้านแบกหรือรีสอร์ทนี้จ้างทั้งทหารและชาวบ้านแบกเรือยางขึ้นไปแล้วไปสูบยางกันที่ริมแก่งหินเพิง
เที่ยวกลับจ้างเด็กแบกลำไม้ไผ่ ที่ทำเป็นคานหามเรือ กลับลงมาลำละ ๒๐ บาท กระจายรายได้ออกไปทั่ว
"หน้าเดิน" พร้อมแล้ว ใส่เสื้อชูชีพ ใส่หมวกกันน๊อค มือถือพาย (หากอยากพาย)
ออกเดินขึ้นไปยังแก่งหินเพิงคือเหนือน้ำ ซึ่งการล่องแก่งนั้นจะล่องลงมารวมทั้งหมด
๕ แห่งด้วยกันใช้เวลาล่องแก่งที่ตื่นเต้นสนุกสนานสุด ๆ กันประมาณ ๔๐ นาที
เมื่อถึงจุดล่องแก่ง คือแก่งหินเพิงแล้วซักซ้อมกันดีแล้วก็ลงเรือยางลำละ ๗
- ๘ คน นายหัวและนายท้ายคือทหารจะทำหน้าที่นี้ และยังมีพวกทหารคอยดักระหว่างทาง
เพื่อความปลอดภัย มีช่างภาพของรีสอร์ท ดักถ่ายภาพให้ในราคาถูกมาก ตกคนละ ๖๐
บาทเท่านั้นเอง ผมลืมบอกไปว่าทหารที่มาหากินพิเศษนี้เขาอยู่ปราจีนบุรี ลูกเขยเจ้าของรีสอร์ทเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่เลย
พามาหาสตางค์ที่ถูกต้องไม่ขัดต่อระเบียบ มาเสริมรายได้ในแต่ละสัปดาห์แค่ ๒
วัน แต่ละคนจะได้สตางค์กลับไปประมาณ ๘๐๐ - ๑,๐๐๐ บาท จากการแบกเรือการเป็นนายท้าย
นายหัว การบริการ การช่วยเสริฟอาหารเป็นเงินที่บริสุทธิ์ไมต้องไปดัก โบกรีดไถใคร
ลงเรือออกสู่ลำน้ำพอเรือออกไปสัก ๑๐๐ เมตร ก็ลงแก่งแรก
คือแก่งหินเพิงที่กว้างที่สุดลึกมาก หินแยะ เรือจะวิ่งตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็วกระแทกหินบ้าง
หัวเรือจมน้ำแล้วเงยขึ้นบ้าง สนุกอย่าบอกใคร สาวน้อยสาวใหญ่กรี๊ดร้องกันแสบหูเลยทีเดียว
และช่างภาพเขาเก่งมากเล็งได้ภาพดี ๆ ที่เป็นธรรมชาติมาให้ชมกัน ส่วนผมล่องมาครั้งหนึ่งแล้วปีนี้เลยตื่นเต้นน้อยไปหน่อย
พอภาพออกมาคณะลงความเห็นว่าหน้าตาของผมไร้ความรู้สึก ไม่ตื่นเต้นเหมือนพวกเขาเลย
กลายเป็นงั้นไป ผมไม่ตื่นเต้นเพราะข้อแรกรู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไรและการเดินขึ้นมา
๒.๕ กิโลเมตร แต่ขึ้นเขา ลงเขานั้นผมต้องถนอมกำลังกายให้ดีไม่งั้นอาจจะหัวใจวายได้
เรียกว่าเหนื่อยสำหรับคนอายุขนาดผม แต่หากไม่หักโหมแล้วก็ไปได้อย่างสบายมาก
คือเจียมตัวอย่าอวดเก่ง เดินเร็วเหมือนสมัยที่เคยเป็นนักรักบี้ทีมชาติไทยเมื่อเกือบ
๕๐ ปีมาแล้ว อย่าไปเก่งปานนั้น ผมจึงเดินขึ้นเขาของผมอย่างสบายไม่รีบร้อน
มีสาวน้อย ๖๐ นำหน้าคนหนึ่งผมถือโอกาสเดินตามจะได้อ้างได้ว่าเดินเป็นเพื่อนสาว
มีหนุ่มน้อยวัยสัก ๖๕ เดินตามผมอีกคนหนึ่งอ้างว่าช่วยดูแลผม ๓ คน จึงเดินแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อลงเรือใบหน้าจึงมีความรู้สึกตื่นเต้นน้อยไปหน่อย
เพราะตื่นเต้นตอนเดินมากกว่า ข้อสองคือผมนั่งเรียงกัน ๓ คนผู้ชายทั้งนั้น
แถมอีก ๒ คนมีพายข้างหน้าคือศรีภริยาของแต่ละคน ผมไม่มีที่จะจับ เพราะจับกันเองก็ผู้ชายตัวโตแถมถือพายด้วย
ข้างหน้าก็สาว ๖๐ แถมเป็นภริเมียของชาย ๒ คน ที่กระหนาบผมอยู่จับได้แต่เลขา
ฯ ของผมเอง จึงต้องนั่งตัวเอียง ๆ แล้วจะไปทำหน้าที่สนุกได้อย่างไร ข้อสาม
๒ ชายที่พายเรือล้วนไม่ได้พายเรือมาหลายสิบปีแล้ว จึงมีสิทธิเอาพายเคาะหัวของผมเอาได้
ผมต้องระวัง ซึ่งข้อนี้พิสูจน์ได้พอเรือผ่านแก่งที่
๒ คนนั่งซ้ายของผมก็เหวี่ยงพายไปคงจะใกล้หัวนายท้ายเป็นผลให้นายท้ายล่วงลงน้ำไป
เรือขาดนายท้ายอยู่หลายนาทีสนุกพิลึกละ พอผ่านแก่งที่
๕ สาวใหญ่ใจกล้าวัย ๖๐ ปี ๒ สาวก็โดดตูมลงน้ำว่ายตามเรือไป
เพราะเวลาพ้นแก่งแล้วน้ำจะดูไหลนิ่งแต่น้ำลึก ไม่มีอันตรายลงว่ายตามน้ำไปได้
มีชูชีพไม่ต้องกลัวจมน้ำ จบการล่องแก่งด้วยความสนุกสุด ๆ ปีหน้าผมจะไปล่องอีก
แต่คงเปลี่ยนไปที่อื่นบ้าง เพราะมีอีกหลายแห่งเช่นที่โป่งน้ำร้อน ลำน้ำเข็ก
ทางเชียงใหม่ กลับมากินมื้อกลางวันที่ห้องอาหารของรีสอร์ท ชนมจีนน้ำยาผักเหนาะแยะน่ากิน
ขาไก่ทอด แกงเผ็ดหมู ผัดวุ้นเส้น อร่อยมากและคงจะเหนื่อยกันมาด้วย แต่พวกผู้ชายแถมด้วยเบียร์กันอีก
มื้อเย็นผมกลับมาสมทบใหม่ใช้คำนี้ เพราะหลายคนตั้งแต่เที่ยงไม่ยอมกลับไปอาบน้ำอีก
บอกว่าตอนล่องแก่งเปียกน้ำมาพอแล้ว มื้อเย็นอาหารของเขายิ่งน่ากินถ่ายภาพมาให้ดูแล้ว
น้ำพริกปลาทูทอด ผักจัดน่ากิน "ยำก้านผักคะน้า" เปรี้ยวอมหวานอร่อยนัก แกงต้มจืดฟักซดร้อน
ๆ ผัดเผ็ดหมูป่า ยำวุ้นเส้น ยำเก่งจริง ๆ ของหวานปิดด้วยผลไม้ และผมสั่งพิเศษให้เอากุ้งใหญ่
กุ้งแควหนุมานมาพล่าเป็นแกล้ม มื้อนี้แขกของเขาเต็มห้องอาหาร มีคาราโอเกะ
หนุ่ม ๖๐ เศษ โต๊ะผมซึ่งเสียงยังกับสุนทราภรณ์คืนชีพ ขึ้นไปร้องเพลงของสุนทราภรณ์แถมมีสาวน้อย
(น้อยจริง ๆ ) จากโต๊ะอื่นไปร้องร่วมทีนี้สนุกกันยกใหญ่ เลยกลายเป็นโต๊ะที่ช่วยประสานการร้องให้เขาไป
เกือบลืมบอกเส้นทาง โทรถามเขาดูหากจะไปพักที่แก่งหินเพิง แคมปิ้งรีสอร์ท ซึ่งผมรับรองว่าของเขาดี
สะดวก ปลอดภัย ไม่แพง ช่วยชาวบ้าน ช่วยทหารให้ได้รายได้พิเศษ จากกรุงเทพ ฯ
เลาะเลียบริมคลองรังสิตไปนครนายก ปราจีนบุรี กบินทร์บุรี เลี้ยวซ้ายไปทางจะไปปักธงชัย
ถึงกิโลเมตร ๑๐.๕ เลี้ยวซ้ายไปผ่านอำเภอนาดี แล้วตามป้ายของเขาไปก็จะไปถึง
แก่งหินเพิงแคมปิ้งรีสอร์ทได้ไปโดดหอ ล่องแก่งสมใจ
----------------------------------
|