อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อยู่ติดชายแดนไทยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ การเดินทางไปมายังอำเภอนี้ในสมัยสัก ๔๐ ปีมานี้ เรียกได้ว่ายากลำบากแสนสาหัสเลยทีเดียว เพราะได้แก่ตัวเองที่เคยเดินทางมาแล้วและไปติดต่อกันหลายครั้งด้วยความจำเป็น จึงทำให้รู้รสชาดดี แต่ปัจจุบันการไปแม่สอดสะดวกสบายมาก ระยะทางจากทางแยกของถนนพหลโยธินประมาณ กม. ๔๑๔.๕ ไปยังแม่สอด ๘๐ กม. ราดยางแจ่มแจ๋วตลอดทาง และก่อนที่จะถึงอำเภอแม่สอดก็ยังมีทางแยกทางขวามือ ไปยังอำเภอแม่ละเมา ซึ่งคงจะตั้งใหม่ไม่กี่ปีมานี้ และชื่ออำเภอนี้คงจะคุ้นหูแต่อาจจะไม่คุ้นนักสำหรับเด็กยุคปัจจุบัน ยุคที่กระทรวงศึกษาธิการไม่เรียกวิชาประวัติศาสตร์ ไปเรียกรวมกับวิชาอะไรไม่ทราบชื่อแปลก ๆ เด็กไทยจึงคงจะไม่ซึ้งนักกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ว่าคุ้นหูเพราะแม่ละเมา คือที่ตั้งของด่านแม่ละเมา ซึ่งเมื่อก่อนนี้ตั้งแต่สมัยกษัตรย์พม่าที่ชื่อตะเบงชเวตี้ ยกทัพมาเพื่อจะตีกรุงศรีอยุธยา ก็จะยกมาทางด่านแม่ละเมา ทางหนึ่งและทางด่านพระเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี อีกเส้นทางหนึ่ง กับอีกเส้นทางหนึ่งก็มาทางด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับมาทางเรือ แต่สองทางหลังนี้จะใช้เป็นเส้นทางเดินทัพน้อยมากไม่เหมือนแม่ละเมากับพระเจดีย์สามองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ผมยังรับราชการอยู่ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี มียศร้อยตรี เดินทางไปแม่สอด โดยออกเดินทางโดยรถด่วนจากลพบุรี แล้วไปลงที่พิษณุโลก นอนค้างที่พิษณุโลก ๑ คืน พอรุ่งขึ้นก็นั่งรถเมล์หลังคาเตี้ย ๆ ผมจะยืนไม่ได้ติดศีรษะ ผ่านจังหวัดสุโขทัยไปยังจังหวัดตาก รวม ๑๔๐ กม. ดูเหมือนเกือบจะไม่มีถนนราดยางเลย เมื่อถึงตากแล้วต้องนอนโรงแรมโกโรโกโสอีกหนึ่งคืนและต้องกะให้ไปนอนตากในวันคู่ เช่นวันที่ ๒ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันคี่ จึงจะมีรถเข้าไปยังแม่สอด ไม่ใช่รถเมล์แต่เป็นรถบรรทุกสินค้า สมัยนั้นรถ ๑๐ ล้อ ยังไม่มี คงมีแต่รถบรรทุก ๖ ล้อ ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า การข้ามแม่น้ำปิงในเวลานั้นข้ามได้ แต่เวลาน้ำลงมาก ๆ เป็นสะพานไม้ไผ่ที่เรียกว่าสะพานเรือกหรือเฝือก คือเอาไม้ไผ่ปูลงไปในแม่น้ำเหมือนมัดเป็นแพ แต่วางราบติดดินให้รถวิ่งข้ามไปได้แต่จะเก็บสตางค์ค่ารถผ่านสะพานนี้ สะพานกิตติขจรยังไม่มี เมื่อข้ามแม่น้ำไปแล้วรถจะวิ่งวนเวียนไปตามถนน ที่ลัดเลาะไปตามไหล่เขาหาราดยางแม้แต่เมตรเดียวก็ไม่มี และแคบมากจนรถสวนกันไม่ได้ จึงให้รถวิ่งในวันเลขคี่ และวิ่งออกมาในวันเลขคู่ หากวันของใครเจอฝนตกหนักทางจะปิด และต้องรอไปอีก ๒ วัน จนถึงวันเลขของตัวจึงจะวิ่งรถเข้าออกได้ เมื่อไม่มีรถโดยสาร ก็นั่งกันบนรถบรรทุกนั่นแหละ มีชั้น ๑ - ๒ เสียด้วย ชั้น ๑ นั่งหน้ากับคนขับ คงจะนั่งได้สัก ๓ คน รวมกับคนขับเป็น ๔ คน ค่าโดยสารข้างหน้านั้นหากจำไม่ผิดคนละ ๕๐ บาท ส่วนชั้น ๒ ก็นั่งข้างหลังกับกองสินค้าที่ขนไป ค่ารถคนละ ๓๐ บาท นั่งกันไปทั้งวันจึงจะถึงแม่สอด มีโรงแรมไม้ ๒ ชั้น ให้เช่าพักได้เพียงแห่งเดียวนี่คือแม่สอดที่ผมไปเมื่อ ๔๓ ปีที่แล้ว ต่อมามีโอกาสไปกับรุ่นพี่ที่รับราชการอยู่ที่พิษณุโลก เอารถทหารไป มีปืนผาหน้าไม้ไปด้วย สนุกพิลึกกับถนนเส้นที่ว่าเพราะทุกคนยังหนุ่มแน่น เฮไหนก็เฮนั่น ไปถึงแม่สอดแล้วก็พักที่โรงแรมที่มีอยู่แห่งเดียว และพอกลับได้ ๒ วัน กะเหรี่ยงก็เข้าปล้นแม่สอด เผาวอดไปทั้งตลาดรวมทั้งโรงแรมไม้ ๒ ชั้น ที่อาศัยพักด้วย หากพวกเรายังอยู่ก็คงตายเรียบ เพราะยังหนุ่มมีอาวุธครบมือคงไม่หนีคงสู้และคน ๕ - ๖ คน จะไปสู้อะไรกับคนที่ยกมาเป็นร้อยและมาแบบกองโจรด้วย คราวนี้ไปแม่สอด ขอชมเชย แขวงการทางไว้ก่อน เพราะสังเกตเห็นว่าเดี๋ยวนี้มีแขวงการทางหลายแห่งที่เขียนป้ายแขวนว่า ห้องน้ำสะอาด ผมก็ไม่เคยแวะเข้าไปอาศัยสักแห่งเดียว คนสูงอายุนั้นจะเป็นโรคปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ไม่ว่าหญิงหรือชาย เขาว่าชายยังเป็นน้อยกว่าหญิง พอถึงหลัก กม.ที่ ๔๐๘.๕ ฝั่งซ้ายมือก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในบริเวณของแขวงการทางที่ ๑ เขตการทางตาก ทั่วบริเวณร่มรื่นสะอาดมาก ห้องสุขาเขาทำไว้หลังสำนักงาน ไม่ต้องไปผ่านสำนักงานเข้าด้านหลังได้ สะอาดมากหรือมากๆ แบ่งเป็นสุขาชาย หญิง ห้องสีสวยเป็นสากล มีกระดาษชำระ มีสายฉีดน้ำ สบู่เหลวไว้บริการพร้อม "ฟรี" แถมหน้าห้องตรงอ่างล้างมือยังมีกล่องใส่โบชัวร์นำเที่ยว จังหวัดตาก ใสไว้อีกหลายเล่มไม่รู้ว่าเอาไว้แจกหรือเปล่า ตอนออกมามีเจ้าหน้าที่เข้าใจว่าอยู่เวรนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ คงเห็นผมเดินชมสถานที่ ด้วยความชื่นชมจึงโค้งให้ผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ขอให้ข้าราชการไทยเป็นอย่างนี้เถิดน่ารักจริง ๆ เมื่อเลี้ยวเข้าถนนสาย ตาก-แม่สอด แล้ว พอถึงหลัก กม.๑๙ ก็จะถึงอุทยานแห่งชาติลานสาง มีป้ายใหญ่โตเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก ๓ กม. จะถึงประตูทางเข้า มีเจ้าหน้าที่คอยเก็บสตางค์ค่าบำรุง มีสิทธิ์เก็บได้ตาม พ.ร.บ. เก็บค่ารถคันละ ๓๐ บาท ค่าคนเข้าคนละ ๑๐ บาท ขอให้รีบจ่ายโดยดี เมื่อเข้าประตูไปแล้ว ทางขวามือคือที่ทำการอุทยาน ตรงต่อไปตามถนนราดยางนิดเดียวทางซ้ายคือน้ำตกผาลาด และน้ำตกลานเลี้ยงม้า ตรงนี้ยังเป็นน้ำตกขนาดเล็ก วิ่งต่อไปตามถนนราดยางจนสุดทางจะถึงศูนย์บริการมีเจ้าหน้าที่หญิง ๒ คน คอยชี้แจงและให้ความสะดวก และที่พักเป็นบ้านมีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ อยู่บริเวณป่าอันร่มรื่นแห่งนี้ ติดต่อที่พักซึ่งน่าจะไม่แพง ๕๗๙ ๗๒๒๓.๕๗๙ ๕๗๓๔ หรือ ๐๕๕ ๕๑๙๒๗๙ จากจุดนี้เดินไปยังน้ำตกลานสางได้ไม่ไกล และเดินต่อไปได้ยังน้ำตกผาผึ้ง และผาเท ซึ่งผาเทอยู่ไกลออกไปประมาณ ๒,๒๐๐ เมตร เดินขึ้นเขาผมเดินชมแค่ลานสาง และมาทีไรก็เดินชมได้แค่นี้ทุกทีไป ที่ศูนย์บริการแห่งนี้ มีนิทรรศการ มีต้นหญ้า "ถอดปล้อง" ซึ่งเป็นพืชโบราณนานก่อนยุคไดโนเสาร์ คือ ๔๐๕ ล้านปี และขึ้นอยู่บริเวณริมลำธาร ยังขยายพันธุ์ต่อไปไม่ได้ ขึ้นอยู่ฝั่งเดียวด้วย กรมป่าไม้ก็ขึ้นกับกระทรวงเกษตร ฯ ควรหาทางให้กรมวิชาการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหาทางขยายพันธุ์หญ้าถอดปล้องนี้เอาไปให้กว้างขวาง อยู่มาได้ถึง ๔๐๕ ล้านปี จะหยุดแค่นี้หรือ ที่ศูนย์บริการแห่งนี้ เขามีหนังสือเดินทางผ่านอุทยาน คือมีช่องรายชื่ออุทยานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ใครผ่านไปยังอุทยานไหน ไปให้ที่ศูนย์บริการเขาประทับตราให้ หนังสือราคาเล่มละ ๓๐ บาท โก้ดีเหมือนกัน ออกจากอุทยานแห่งชาติลานสางแล้ว พอถึง กม. ๒๘ ทางซ้ายก็เป็นตลาดใหม่ของชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอมากกว่าเผ่าอื่น แต่ตลาดยังไม่ค่อยติด คนน้อย แต่พอเลยไปหน่อยเดียว กม.๒๘.๕ ตลาดชาวไทยภูเขาเช่นกัน ตลาดติดแล้ว มากทั้งของขายและคนซื้อ พวกผักต่าง ๆ ที่ปลูกกันบนเขาถูกมาก เช่น ฝักแม้ว ๓ กก. ๑๐ บาท หากซื้อร้านซูเปอร์ในกรุงเทพ ฯ กก.ละ ๒๔ บาท ขิง กก.ละ๑๐ บาท แคร็อท กก.ละ ๑๐ บาท ยังมีพวกส้มต่าง ๆ แคตาลูป ยอดฟักแม้ว หรือยอดมะระ กำละ ๑๐ บาท ร้านอาหารเมืองเหนือเอามาผัดกับหมูกรอบจะขายกันจานละไม่ต่ำกว่า ๘๐ บาท ยังมีของขายอีกแยะ เหมาะสำหรับแวะขากลับจะได้แบกกลับมา