อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อยู่ในอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ชาวบ้านรู้จักลานหินงามกันมานานแล้ว
แต่ชาวบ้านไม่ได้ตื่นเต้นในความงาม เพราะเกิดมาเขาก็เห็นหินแบบนี้ และพอเดือนมิถุนายน
ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม เขาก็เห็นทุ่งย่านนี้ จะมีดอกสีม่วง หรือบางทุ่งก็จะมีดอกสีขาวบานเต็มทุ่ง
ชาวบ้านเรียกว่า ทุ่งดอกกระเจียว
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๘ นายอำเภอ และป่าไม้อำเภอเทพสถิต ได้ออกตรวจพื้นที่ พบลานหินธรรมชาติที่มีรูปร่างสวยงาม
แปลกตาควรแก่การอนุรักษ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงได้เสนอเรื่องมายังกรมป่าไม้
ผ่านทางจังหวัด กรมป่าไม้จึงประกาศเป็น วนอุทยานป่าหินงาม เมื่อ ๑๐ ตุลาคม
๒๕๒๙ มีพื้นที่ ๖,๒๕๐ ไร่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ กรมป่าไม้ได้มาสำรวจพื้นที่อย่างละเอียด
พบพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ พบทุ่งดอกกระเจียว จึงพิจารณาว่าสมควรเป็นอุทยานแห่งชาติ
ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ประกาศเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๗
การเดินทางไปชมทุ่งดอกกระเจียว ในปัจจุบันนี้สะดวก ไม่เหมือนกับที่ผมไปครั้งแรกคงประมาณ
๓๐ ปีมาแล้ว ตั้งแต่ผมยังรับราชการอยู่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ โคกกระเทียม ลพบุรี
ซึ่งถนนจากอำเภอชัยบาดาล ไปจนถึงอำเภอเทพสถิต ราดยางบ้างเป็นบางตอน แต่จากเทพสถิต
ไปจนถึงอุทยานอีกประมาณ ๓๐ กม. หาราดยางไม่ได้เลย และเมื่อเข้าไปในบริเวณอุทยาน
ก็ไม่มีถนน มีแต่ทางรถลากไม้เก่า แต่ก็ไปชมได้จนถึงลานหินงาม
ชมทุ่งดอกกระเจียว
และไปชมวิวสุดแผ่นดิน
แต่ปัจจุบันไปสะดวกมาก จนถึงสุดแผ่นดินอีสาน ถนนราดยางตลอด
ไปจากกรุงเทพ ฯ ก่อนถึงตัวเมืองสระบุรี ประมาณ กม.๑๐๓ เลี้ยวซ้ายออกทางเลี่ยงเมือง
ไปบรรจบกับถนนพหลโยธิน วิ่งต่อไปจนถึงสามแยกพุแค ประมาณ กม.๑๒๒ ก็เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย
๒๑ (ตรงจุดเลี้ยวจะเป็นดงขายมะพร้าวเผา ที่ปอกเปลือกแล้ว มัดรวมกันเป็นทะลายแขวนไว้ขาย)
ไปจนถึง กม.๒๑ แยกขวาไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คงวิ่งตรงไปตามถนนสาย ๒๑ จนถึงสี่แยกม่วงค่อม
(เลี้ยวซ้ายไปโคกสำโรง) ให้เลี้ยวขวา เข้าถนนสาย ๒๐๕ วิ่งไปอีกประมาณ
๑๙ กม. จะถึงอำเภอชัยบาดาล (มี สาย ๒๐๘๙ แยกไปสีคิ้วได) คงไปตามถนนสาย
๒๐๕ ต่อไป ๒๙ กม. จะถึงอำเภอลำสนธิ สุดเขตของ จ.ลพบุรี ต่อจากนั้น ก็จะขึ้นเขาเป็นส่วนใหญ่
เขาเทือกนี้คือ เขาพังเหย
สมัยผมรับราชการ นักล่าทั้งหลายจะมาล่าสัตว์กันที่เทือกเขานี้ ตอนนี้คงหาสัตว์แทบไม่ได้แล้ว
ลำสนธิ - เทพสถิต ๑๙ กม. หากวิ่งตรงต่อไป ตามสาย ๒๐๕ จะไปยังชัยภูมิ แต่เราจะไปอุทยาน
ฯ ให้เลี้ยวซ้าย ที่สามแยก ตรงหลัก กม.๒๙๔ เลี้ยวเข้าถนนสาย ๒๓๕ถ ไปอีก ๑๗.๔๐๐
กม. ก็จะพบสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนอุทยาน (ไม่มีหมายเลข) ไปอีก
๑๓ กม. ก็จะถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ผมเข้าถนนอุทยานเอาตอนเที่ยง
ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ จะมีร้านอาหารหรือเปล่า เพราะเมื่อก่อนไม่มีร้านอาหารในถนนสายนี้
แต่ตอนนี้มีแยะ แต่ต้องไปให้ใกล้จะถึงทางเข้าอุทยาน พอดีผ่านบ้านอาหาร ชื่อ
ปลาเผา บ้านไร่ อยู่ประมาณ ๓ กม. ของถนนอุทยาน กลัวอดเลยแวะกินกลางวันเสียก่อน
แต่ปรากฎว่า ราคาย่อมเยา และอร่อย ฝีมือชาวบ้านแท้ อาหารปลาเป็นปลานิล ร้านคือ
บริเวณบ้านกว้างขวาง มีโต๊ะไม่กี่ตัว ลมพัดเย็นสบาย สั่งมาชิมคือ ปลานิลเผา
เผาเมื่อสั่งจึงได้ปลาร้อน ๆ มาชิม เนื้อปลาขาว น่ากิน น้ำจิ้มเด็ด สั่งลาบหมู
มีกระเทียมโทนสด โรยมา ผักสดอีก ๑ จาน ตามด้วยข้าวผัด อร่อยใช้ได้
อิ่มแล้ว วิ่งต่อไปอีก ๑๐ ดม. คราวนี้ ผ่านกลุ่มร้านอาหาร ร้านขายต้นไม้ ผ่านรีสอร์ทหลายแห่ง
และผ่านน้ำตกเทพประทาน ถนนเข้าน้ำตก ราดยางเข้าได้สะดวก หน้าที่ทำการอุทยานเป็นแผงขายของที่ระลึก
เครื่องดื่ม และสินค้าโอท๊อป ของชัยภูมิ ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานรถ ๓๐ บาท
ผู้ใหญ่คนละ ๒๐ บาท ชายชราอย่างผมอายุเกิน ๖๐ ปี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
เสียแต่ค่าธรรมเนียมรถ ขอแนะนำว่า ควรเข้าไปเที่ยวในวันธรรมดาด เช่น วันศุกร์
เพราะหากเป็นวันหยุด ในเดือนเทศกาลทุ่งดอกกระเจียวบาน รถจะเข้าไปได้แค่ปากทางเข้า
แล้วต้องไปรถของอุทยานต่อ เพราะรถจะแน่นมาก ผมไปวันศุกร์ จึงวิ่งสบาย เดินน้อย
ว่างั้นเถอะ เมื่อเข้าไปในอุทยานแล้ว วิ่งไปสัก ๓๐๐ เมตร จะมีทางแยกขวา -
ซ้าย แยกซ้ายไปป่าหินงาม
รถวิ่งไปได้ตามถนนราดยาง จนถึงที่ลานจดรถแล้ว เดินต่อไปอีกสัก ๓๐๐ เมตร จะถึงลานหินงาม
ซึ่งการเข้าไปขมในลานหินงาม มีทางเดินเป็นลูกระนาด คอนกรีต เดินสะดวกสบายไปหลายร้อยเมตร
แล้วจึงจะเดินไปตามธรรมชาติ ลานหินมีพื้นที่กว่า ๑๐ ไร่ หินที่มีรูปร่างแปลก
ๆ จะมีป้ายบอกไว้ให้ว่า ไปทางไหน เดินกี่ร้อยเมตร หินรูปถ้วยฟุตบอลโลก ตั้งตระหง่านเดินไปชมได้ก่อนระยะทางแค่
๑๐๐ เมตร ไม่ไกลกันคือ หินปราสาท
ไกลที่สุดคือ หินเรดาร์
ระยะทาง ๓๐๐ เมตร
วิ่งกลับมาสามแยกใหม่ ตรงไป หรือหากเข้ามาจากอุทยานถึงสามแยก ก็เลี้ยวขวาไปจะไปยังจุดชมวิวสุดแผ่นดิน
ก่อนถึงจุดชมวิวจะผ่าน ทุ่งดอกกระเจียว
ซึ่งดอกกระเจียวนั้นเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว พบเป็นไม้ประจำถิ่น ที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทย
ณ แห่งนี้ ปกติจะพบขึ้นกระจายทั่วไป ตั้งแต่ลานหินงาม มาจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน
แต่จะมีมากที่สุด ก็เมื่อเลี้ยวขวามายังจุดชมวิว และมีหลายกลุ่ม กลุ่มแรก
จะอยู่ทางซ้ายห่างจากจุดชมวิว ประมาณ ๓๐๐ เมตร มีทางเดินทำเป็นลูกระนาดคอนกรีต
ให้เดินชม เพื่อไม่ให้ลงไปเดินลุยข้างล่างด้วย สะพานจะยาวไปท่ามกลางดงดอกกระเจียว
และก่อนเข้าไปเดินชม ควรได้ดูแผนผังทางเดินเสียก่อน เพราะทางเดินลูกระนาดนี้
จะไปบรรจบกับเส้นทางอื่นได้อีก ดอกกระเจียวเมื่อบานจะเป็นสีชมพูอมม่วง บานในช่วงต้นฤดูฝน
สวยอย่างยิ่ง บานเต็มท้องทุ่ง
จุดชมวิวสุดแผ่นดิน
วิ่งรถต่อไปจากจุดชมทุ่งดอกกระเจียว
มีลานจอดรถ
สุดแผ่นดิน
เป็นหน้าผาสูงชัน และเป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหยสูง ๘๔๖ เมตร จากระดับน้ำทะเล
เกิดจากการยกตัวของพื้นที่เป็นที่ราบสูงภาคอีสาน ที่เรียกว่า ที่ราบสูงต้องมามองจากจุดนี้
จะเห็นความสูงต่างของพื้นแผ่นดิน ของภาคกลางกับภาคอีสานเด่นชัด พื้นที่ที่มองลงไปอยู่ในภาคกลาง
แต่หน้าผาที่ยืนอยู่เป็นภาคอีสาน จุดนี้จะมองเห็นทิวทัศน์ของ สันเขาพังเหย
และเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา
ยืนชมวิว อย่าชมเพลินอาจจะตกลงไป
ชมวิวสุดแผ่นดิน
ชมทุ่งดอกกระเจียว หากไม่ใช่ต้นฤดูฝน ชมได้แต่หินงาม กับต้นดอกกระเจียว ที่ไม่มีดอก
จากนั้น ก็กลับออกมาตามถนนอุทยานระยะทาง ๑๓ กม. มาบรรจบกับถนนสาย ๒๓๕๔
ให้เลี้ยวซ้าย (เลี้ยวขวา กลับไป อ.เทพสถิต) ไปประมาณ ๒ กม.เศษ จะพบป้ายทางขวามือ
ให้เลี้ยวขวาไปประมาณ ๕ กม. จะพบป้ายทางขวาให้เลี้ยวซ้ายไป ๔๐๐ เมตร จะผ่านสวนมะม่วงขนาดใหญ่
มีมะม่วงมันพันธุ์แปลก ลูกจะโตมากหนักเกือบ ๑ กก. มีบ้านพักเป็นหลัง
ๆ อยู่ ๕ หลัง สร้างรอบสระน้ำ และสวนสวย มีสนามให้กางเต้นท์นอนได้ มีบ้านหลังใหญ่
หลายห้องอีก ๑ หลัง ชนิดหลังเดี่ยว สร้างสวย เก๋ ราคาคืนละ ๑,๘๐๐ บาท รวมอาหารชั้นดี
๒ มื้อ คือ มื้อค่ำ กับมื้อเช้า รวมรายการพาชมหิ่งห้อย หลังอาหารค่ำด้วย มีต้นไทรอายุกว่า
๑๐๐ ปี การบริการดีมาก จะกินอาหารเวลาไหน อาหารพอไหม ไม่พอเติมให้ บ้านพักปลูกรอบสระน้ำ
มีระเบียงชมวิว ภายในห้องมีแอร์ ห้องไม่กว้างนัก แต่ก็ไม่ถึงกับแคบ เตียงเดี่ยว
อากาศเย็น แต่ไม่ถึงขั้นหนาวแบบวังน้ำเขียว ในห้องน้ำแจ่มแจ๋วมาก ตามทางเดิน,
ในห้องน้ำ ทำรูปดอกลีลาวดี หรือชวนชมเอาไว้ รวมทั้งเอาดอกมาทำอาหารด้วย แถมมีถุงเครื่องสำอางค์สวย
ยกถุงให้เลย
อาหารเย็น ควรบอกเขาไว้ว่าเราจะมากินกี่โมง เสริฟในศาลาอาหาร ใกล้ที่พัก ๒
คน ให้อาหารมา ๓ อย่าง บางโต๊ะที่มากันหลายคนให้อาหาร ๔ อย่าง ของผมมี
น้ำพริกลงเรือ อร่อยมาก เติมมาก ๆ เข้าไปด้วยก็ได้ มีถ้วยน้ำพริกวางกลาง ล้อมด้วยไข่เค็ม
ถั่วฝักยาวลวก ผักบุ้งลวก มะเขือเปราะ แตงกวา แตงไทอ่อน บอกว่าผักปลูกเอง
ปลอดสารพิษ
แกงส้มกุ้ง ชะอมชุบไข่ทอด ชะอมซึมซับน้ำแกงรสดีเอาไว้ชุ่ม
ไก่ลีลาวดี ไก่หั่นมาเป็นชิ้นทอดวางไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนำดอกลีลาวดี
ชุบแป้งบาง ๆ ทอดกรอบ วางมาเป็นเครื่องเคียง
อาหาร ๓ อย่าง แต่ก็มากพอ
ของหวาน สาคูเปียก มะพร้าวอ่อน ฟักทอง หวานไม่มาก แต่ความอร่อยสูง
ตามด้วยผลไม้คือ มะม่วงมันของไร่ และพริกกะเกลือ มันอมหวาน
กาแฟ ตั้งกาน้ำร้อน วางกาแฟ เอาไว้ให้ชงกินได้ตลอดเวลา
อิ่มแล้ว เอารถอีแต๊ก พาไปดูหิ่งห้อย ที่ริมสระในสวน ปากทางเข้ามา
มื้อเช้า ตื่นนอนด้วยความสดชื่น เพราะอากาศดีเหลือเกิน ตื่นมาแล้วไปเดินชมสวน
ชมทุ่งทานตะวัน ที่ปลูกเอาไว้ให้ชม ไม่ทราบว่าปลูกหมุนเวียนให้ออกดอกทั้งปีหรือเปล่า
ลมพัดเบา ๆ ที่น่ารักคือ เสียงนกร้องเพลง เพราะเป็นสวนผลไม้ขนาดใหญ่ จึงมีนกมาก
อาหารเช้า เป็นข้าวต้มกับ มีอาหารให้ ๓ อย่าง นำด้วยปาท่องโก๋
เริ่มด้วย สาวน้อย นำแป้งมาทอดปากท่องโก๋ ใกล้ ๆ โต๊ะอาหาร ทำปาท่องโก๋เก่งทีเดียว
ทอดแล้วมีรส น้ำมันไม่ดำ ตัวไม่โต กรอบ อร่อย ยกมาให้กินร้อน ๆ หมดแล้วเติมได้
ตามมาด้วย ข้าวต้มร้อน ๆ อีกนั่นแหละ ส่วนอาหารมี ยำกุนเชียง ไข่เค็มผัดหมูสับ
ปลาตัวน้อยทอดกรอบ
ปิดท้ายด้ย ชา หรือกาแฟ บริการตัวเอง เพราะกาน้ำร้อน ก็ตั้งอยู่ใกล้ ๆ พร้อม
วางชา กาแฟ เอาไว้ให้ จิบกาแฟอย่างเดียวไม่พอ ยังติดใจอยู่ ไปหยิบเอาปาท่องโก๋
มากินอีก
อิ่มมื้อเช้าแล้ว สัญญากับตัวเองไว้ว่า หนาวนี่จะมาใหม่ มานอนฟังเสียงนกร้องเพลง
ไม่มีดอกกระเจียวบาน ให้ชมก็ไม่เป็นไร ฟังเสียงนก กินอาหารอร่อย ดูหิ่งห้อย
ก็พอแล้ว
..............................................
|