วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ หากจะเรียกนามวัดกันให้เต็มที่ จะต้องเรียกว่า "วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณีวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์" วัดนี้จัดสร้างขึ้นบนที่ดินของกรมธนารักษ์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคกแผ่น บ้านโคกแผ่น ตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มีเนื้อที่ ๙๖ ไร่เศษ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ รูปแบบเป็นรูปเหมือนเรือที่ยกเอาเรือไปตั้งอยู่บนภูเขา ชื่อราชญาณนาวาฑีฆายุมงคล อันมีความหมายถึงที่ซึ่งน้ำท่วมไม่ถึง และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จาดสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณีวัฒนา ฯ รับเป็นวัดในพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นวัดแรก และวัดเดียวเท่านั้น จะไม่มีวัดในพระองค์ของสมเด็จพระพี่นาง ฯ อีกต่อไปในอนาคตอีกแล้ว เพราะได้โปรดพระราขทานรับเป็นวัดในพระองค์ เมื่อ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ และพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อวันพุธที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๑ เส้นทาง ผมเดินทางไปคราวนี้ตั้งใจจะไปยังวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์เป็นลำดับแรก แล้วไปยัง จ.อุทัยธานี เพื่อไปยังหุบป่าตาด ไปต่อยัง จ.ชัยนาท เพื่อไปไหว้หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า แล้วจะไปปิดท้ายของการเดินทางที่ตลาดเก้าห้อง อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และการเดินทางคราวนี้ ผมหลงทางเพราะป้ายของกรมทาง ที่บอกไว้เกือบทุกจังหวัด ซึ่งหลงทางแต่ละที เสียน้ำมันไปไม่ต่ำกว่า ๒ ๓ ลิตร ในวันที่ราคาน้ำมันลิตรละ ๓๙ บาท ก็หลายสตางยค์เหมือนกัน จากบ้านลาดพร้าว ไปออกถนนเลี่ยงเมืองไปโผล่ที่ประตูน้ำพระอินทร์ แยกเข้าถนนเอเชีย หรือทางหลวงแผ่นดินสาย ๓๒ ซึ่งผมได้บอกแล้วว่า กรมทางหลวงนึกสนุกเปลี่ยนหมายเลขหลัก กม.ใหม่ และยังไม่ได้เปลี่ยนตลอดสาย พอเข้าสาย ๓๒ แทนที่หลัก กม.จะเป็น ๕๔ กม.จากกรุงเทพ ฯ ก็จะเป็น กม.๑ ไล่ไปจนถึงหลัก กม.ที่ ๑๘๔ ซึ่งถนนพหลโยธิน (เดิม) มาบรรจบ และจากนี้ไปถนนสาย ๓๒ จะต้องเป็นถนนพหลโยธินหลัก กม.จะมาถึง ๕๔ หรือ ๕๓ (ยังไม่ได้เขียนไว้) แต่ปรากฏว่ากระโดดไปเป็นหลัก กม.เดิมของพหลโยธินคือเริ่ม ๑๘๔ หรือ ๑๘๕ ใหม่ จึงวุ่นวายไปหมด ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี เลยไปอีก ๑๕ กม. ถึง อ.อินทร์บุรี เลยไปอีกนิดจะมีทางแยกขวาคือ ทางหลวงแผ่นดินสาย ๑๑ (เลี้ยวขวาไม่ได้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปข้ามสะพานมา) เมื่อเข้าถนนสาย ๑๑ แล้วจะพบป้ายไปวสัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ เป็นป้ายแรกและจะพบต่อไปอีกหลายป้ายจนนถึงวัด เมื่อพบป้ายแล้วขับตรงต่อไปตามสาย ๑๑ ประมาณ ๔๐ กม. จะถึงสี่แยกตากฟ้า (เลี้ยวซ้ายไปชัยนาท - เลี้ยวขวามาลพบุรี) ให้ขับผ่านสี่แยกตรงต่อไปจนถึงประมาณ กม.๖๖ พบป้ายให้เลี้ยวซ้าย จะเลี้ยวเข้าถนนทางหลวงชนบท ไปถึง กม.๕ ให้เลี้ยวซ้ายอีก (ตรงไปจะไป อ.ท่าตะโก) ตามป้ายไปอีกประมาณ ๓ กม.เศษจึงจะถึงวัด ก่อนถึงวัดภูมิประเทศข้างทางจะเป็นทุ่งนา และทางขวาจะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ หากเงยหน้ามองไปยังยอดเขาจะมองเห็นวัดเป็นรูปเรือ เมื่อขึ้นไปถึงบริเวณวัดแล้ว จะผ่านเนินที่ ๑ ซึ่งทางขวาเป็ยนที่ตั้งของกุฎิชินวรสิริวัฒน์ (กุฎิเจ้าอาวาส) และศาลาหอฉัน (วัดไม่มีโรงครัว พระต้องเนลงไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน เวลากลับวัดมีรถรับกลับ) วิ่งต่อไปถนนจะลาดชันตลอดระยะทาง จะถึงเนินที่ ๒ มีลานบจอดรถทางด้านซ้ายสุดลาน มีร้านขายเครื่องดื่ม, วัตถุมงคล และหนังสือธรรม ทางขวาของลานคือทางเดินขึ้นไปยัง เรือราชญาณนาวาฑีฆายุมงคล และเจดีย์ศรีมหาราชา (ด้านหลังเจดีย์มีทางเดินต่อไปยังเนินที่ ๓ ได้) จากเนินที่ ๒ ขับรถขึ้นเขาต่อไป ขับระวังมาก ๆ เพราะถนนช่วงนี้จะชันมาก และหักโค้งเป็นข้อศอกเรียกว่า ไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นไปจะพบอะไร ตั้งแต่เนินที่ ๒ รถจะเดินทางเดียว ลดอันตรายจากรถที่จะสวนลงมา ระหว่างทางจะผ่านลานจอดรถแคบ ๆ ลงไปยังด้านหลังอุโบสถได้ และมีวิหารสมเด็จย่า ถ้าจะนำชมกันให้ทั่วทั้งวัด ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่งดงามมากเหลือเกิน คงจะนำชมไม่ไหว ผมเองก็ชมไม่ทั่วทุกจุด ขนาดใช้เวลาร่วม ๒ ชั่วโมง เพราะไม่ใช่แค่ชมด้วยตา ใจตต้องชมด้วยและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ผมเริ่มชมจากวิหารสมด็จย่าหริอวิหาร สว.ก่อน วิหารนี้ประดิษฐานเทพทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตมนุษย์ โดยมีเทพนพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ ได้แก่พระเกตุ พระเสาร์ พระราหู พระพฤหัศบดี พระศุกร์ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคารและพระพุธ กำลังวันของเทพนพเคราะห์ (เว้นพระเกตุ) จะได้ดู ๑๐๘ จากวิหาร สว. ซึ่งมีทางลงไปยังอุโบสถได้ ก็ขับรถขึ้นต่อไปทางยิ่งชันไปจนถึงเนินที่ ๓ จอดรถแล้วเดินขึ้นไปยังเจดีย์ศรีพุทธคยา ซึ่งบอกว่าจำลองได้เหมือนสกับพุทธคยา ณ รัฐพิหาร เมืองคยา ประเทศอินเดีย ชั้นล่างเป็นที่ปฏิบัติธรรม ชั้นที่ ๒ ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตรย ชั้น ๓ เป็นพระคันธกุฎี ซุ้มสรอบพระเจดีย์มีพระพุทธรูป มีเสามังกรหน้าเจดีย์ ยามเช้าแสงอาทิตย์จะส่ององค์พระเจดีย์สวนมาก พื้นลานด้านหน้า มีลานหยิน หยาง ใช้เป็นลานจอด ฮ.เวลาเสด็จ ฯ เลยพื้นลานออกไปที่ปลายเนิน มีเสาอโศก แกะสลักภาพพุทธประวัติที่ฐานเสา ชมพุทธคยาและเข้าไปนมัสการพระพุทธห้องชั้นล่างแล้วก็กลับลงมาที่เนิน ๒ ผมลงมาแล้วไม่รู้ว่าจะไป "นาวาธรรม"ได้อย่างไร ให้เลขา ฯ ไปถามพระในหอฉัน ท่านบอกว่าไปจอดรถที่ลานร้านโค๊ก วัดนี้มองหาพระจะไม่พบมีแต่สถานที่ จอดรถแล้วเดินขึ้ยนไปบนนาวาธรรม ซึ่งบนนาวานี้จะมีส่วนสำคัญดังนี้ ลำนาวากว้าง ๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐๐ เมตรเศษ ส่วนหัวเรือมีพระพุทธรูป พระพุทธเอกนพรัตน์ มองให้ดี ๆ เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ สร้างผสมผสานกันเป้นพระพุทธรูป ๓ องค์ ๓ สมัย ๔๔ อิริยาบถ ๑๐ ปาง ในฐานเดียวกัน ประทับยืนแบบสุโขทัย ประทับนั่งแบบเชียงวแสน ปางไสยาสน์แบบสมัยอู่ทอง ประทับยืนมี ๕ ปางคือ ปางประทับรอยพระพุทธบาท ปางรำพึง ปางห้ามญาติ ปางถวานเนตร ปางอุ้มบาตร ปางประทับนั่ง มีปางนาคปรก ปางสมาธิ ปางป่าลิไลยก์ ปางไสยาสน์มี ๒ ปางคือ ไสยาสน์และพระเกตุธาตุ ลานธรรมจักร กว้าง ๗๗ เมตร ประดิษฐานพระธรรมจักร อยู่ถัดมาจากหัวเรือ ศาลเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเจตอุดมศักดิ์ อยู่ต่อมาจากลานธรรมจักร์