ไหว้พระ วัดในรัชกาลที่ 6 พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต
ประเทศไทยประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมาช้านาน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนเป็นสถานที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและศูนย์รวมจิตใจของคนในท้องถิ่นทั้งหมด วัดแห่งนี้สร้างความ ปิติยินดีแก่เราชาวไทยเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะ วัดบวรนิเวศวิหาร แห่งนี้ เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ที่เสด็จออกทรงผนวชทุกพระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชการที่ 9 ตลอดถึงพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่ทรงผนวชเกือบทุกพระองค์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพุทธศาสนาของไทยเราครับทริปนี้เรา พามาทำบุญไหว้พะ วัดประจำรัชกาลที่ 6 ที่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ครับ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด ราชวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดอีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญในหลาย ๆด้านของพุทธศาสนา วัดบวรนิเวศวิหารสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาขึ้น ณ บริเวณอันเป็นที่พระราชทานเพลิงศพเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าดาราวดี พระราชชายา สันนิษฐานว่าคงสถาปนาขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2369 – 2374 เดิมเรียกว่าวัดใหม่ คงเนื่องมาจากสร้างขึ้นใหม่ติดกับวัดรังษีสุทธาวาส ซึ่งมีมาแต่รัชกาลที่ 2
เมื่อวัดแห่งนี้ว่างเจ้าอาวาส พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงผนวชอยู่และประทับจำพรรษา ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสในปัจจุบัน) ให้เสด็จมาอยู่ครองวัดนี้ อันเป็นเหตุให้ได้พระราชทานนามว่า วัดบวรนิเวศวิหาร หรือเรียกกันสั้น ๆ ในครั้งกระนั้นว่าวัดบน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระองค์แรก และวัดบวรนิเวศวิหารได้ชื่อว่าเป็นวัดธรรมยุตวัดแรกของเมืองไทยเราครับภายในวัดมีศิลปกรรมและถาวรวัตถุที่มีค่าควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง แบ่งออกเป็น ศิลปกรรมในเขตพุทธาวาสและศิลปกรรมในเขตสังฆวาสและ มีสถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายจุด อย่างเช่น พระเจดีย์องค์ใหญ่ ใช้กระเบื้องโมเสกสีทองประดับทั่วตลอดทั้งองค์ที่ซุ้มของพระเจดีย์ประดิษฐานพระไพรีพินาศ เป็นพระพุทธรูปศิลา ขนาดหน้าตัก 1 คืบ 4 นิ้ว ส่วนสูงตลอดพระรัศมี 1 ศอกเศษ
พระอุโบสถ ปัจจุบันผนังภายในบุหินอ่อนสีขาวจากอิตาลีทั้งหลัง อุโบสถหลังนี้มีรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะต่างไปจากพระอุโบสถทั่วไป เพราะเป็นการผสมกันระหว่างศิลปะแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 ซึ่งกระเดียดไปทาง ศิลปะจีนและศิลปะแบบรัชกาล ที่ 4 ซึ่งเป็นศิลปะที่มีอิทธิพลฝรั่ง จึงทำให้พระอุโบสถหลังนี้มีลักษณะผสมของอิทธิพลศิลปะต่างชาติทั้งสองแบบแต่ทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐาน ของศิลปะ ไทย เมื่อโดยรวมแล้วพระอุโบสถหลังนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตนที่งดงามแปลกตากว่าที่เคยพบเห็นมา ภายในวัดมีสถานที่และถาวรวัตถุ ที่สร้างขึ้นได้สวยงามหลายแห่งครับ เยี่ยมชมกันแบบตื่นตาตื่นใจแน่นอน
ศิลปะภายในวัดเป็นการผสมสานหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดมีศิลปะการวาดในหลายแบบ ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมที่แปลกกว่าที่อื่น เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องปริศนาธรรมฝีมือขรัวอินโข่ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการเขียนภาพแบบ Perspective ตามอย่างสากล ในขณะที่วิหารพระศาสดาและพระไสยาส เขียนจิตรกรรมแบบไทยประเพณี ส่วนวิหารเก๋งกลับเขียนภาพเล่าเรื่องสามก๊ก และเจดีย์ประธานในวัดก็เป็นเจดีย์ทรงระฆัง แบบที่นิยมสร้างในแบบที่นิยมสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เห็นได้ถึงบรรยากาศผสมผสานทางวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน นอกจากความงดงาม ของตัววัดแล้วเรายังได้ไหว้พระศักดิ์สิทธ์อีกหลายองค์ ที่นี่ เช่น พระศรีศาสดา,พระพุทธชินสีห์,พระพุทธไสยา,พระพุทธสวรรณเขต, พระพุทธศิลาแดง, พระไพรีพินาศ, พระพุทธปัญญาอัคคะ, พระพุทธนิรนตราย, พระมหานาคชินะ, พระธรรมาธิปกบพิตร ล้วนแล้วแต่เป็นพระสำคัญศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วยศิลปะการสร้างแทบทั้งสิ้นเราเข้าไปไหว้พระภายในพระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถมีความสวยงามเป็นอย่างมาก มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์ คือ พระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อ โลหะขนาดใหญ่หน้าพระเพลากว้าง 9 ศอก 12 นิ้ว มีนามว่า พระสุวรรณเขต หรือ พระโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณในศิลปะลพบุรี กรมพระราชวังบวรฯ ผู้สร้างวัดได้ทรง อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน เพชรบุรี โดยรื้อออกเป็น ท่อนๆ แล้วนำมาประกอบขึ้นใหม่ สันนิษฐานว่าเดิมเป็นพระทวาราวดี พระศกเดิมโต จึงเลาะออกทำพระศกใหม่ด้วยดินเผาให้เล็กลง ลงรักปิดทองทั้งตัว มีพระสาวกนั่งคู่ทั้งเบื้องขวา เบื้องซ้ายสวยงามพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งคือ พระพุทธชินสีห์ ตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก โดยอัญเชิญมาทั้งองค์เมื่อฤดูน้ำปี พ.ศ.2373 และ ในปีต่อมาได้ปิดทองกะไหล่ พระรัศมี ฝังพระเนตรใหม่ และตัดพระอุณาโลม พระพุทธรูปองค์ นี้ เป็นพระพุทธรูป ที่งดงามอย่างยิ่ง องค์หนึ่งของเมืองไทยเก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือนับคณาครับ ดูเอเซีย.คอม เขาไป ในอุโบสถเห็นพระพุทธรูปสององค์ตั้งอยู่ตรงหน้า รู้สึก ร่มเย็นมาก ๆ เหมือนเราได้รับบารมีจากพระพุทธรูปทั้งสององค์มี คนเข้ากราบไหว้ และสวดมนต์นั่งสมาธิกันเต็มอุโบสถเลยครับ ด้านหน้ามีพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็น พระ พุทธบาทโบราณสมัยสุโขทัย ร่วมกันปิดทองเพิ่มสิริมงคลไห้กับตัวเองครับ อิ่มบุญไปตาม ๆกัน พระประธานสององค์ เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงาม มาก ๆ เป็นลำดับต้น ๆของเมืองไทยครับหลังจากไหว้พระศักดิ์สิทธิ์แล้วเราก็มาชื่นชมความงามขององค์พระเจดีย์กันต่อเลย ซึ่งอยู่ถัดจากพระอุโบสถออกไป เป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 หุ้มกระเบื้องโมเสทสีทองทั้งองค์ สวยอร่ามไปหมดเลยครับและยังมีวัฒนธรรมแบบจีนคือ รอบฐานพระเจดีย์มี ศาลาจีนและซุ้มจีน หลังเจดีย์ออกไปเป็นวิหารเก๋งจีน ข้างในมีภาพเขียนฝีมือช่างจีน เทคนิคเขียนของช่างจีนฝีมือใช้ได้เหมือนกันภาพสวยเหมือนกันครับ. ถัดเก๋งจีนเป็น วิหารพระศาสดา เป็นวิหารใหญ่แบ่งเป็น 2 ห้อง ด้านหลัง เป็นพระพุทธไสยาสน์ สมัยสุโขทัย ฝาผนังมีจิตรกรรมเรื่องพระพุทธประวัติและชาดก ด้านหน้าประดิษฐานพระศาสดา รัชกาลที่ 4 โปรดฯให้อัญเชิญมาจากวัดสุทัศน์เทพวราราม ตรงบริเวณนี้มีความสวยงามในหลายแบบอย่างไห้เราได้ชมกันอย่างมากมายครับ และด้านในองค์พระเจดีย์ ก็มีพระบรมสารีริกธาตุจัดไว้ไห้เราได้สักการบูชากันอีกด้วย เชิญเข้าไปกราบไหว้บูชากันด้วยจิตใจที่ศรัทธรายิ่ง ครับนอกจากนั้น วัดบวรนิเวศวิหาร ยังเป็นแหล่งกำเนิดการศึกษาของคณะสงฆ์คือ เป็นที่กำเนิด มหามกุฏราชวิทยาลัย สถานศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร ซึ่งได้พัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทยในปัจจุบัน เป็นที่กำเนิดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า นักธรรม อันเป็นการศึกษาขึ้นพื้นฐานของคณะสงฆ์ไทย เป็นวัดที่สำคัญกับพุทธศาสนาของไทยเราจริง ๆครับหลังจากที่เราทำบุญกันจนเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็เริ่มร้องเพราะเที่ยงพอดี แถวข้างวัดเขาบอกมี ร้านบะหมี่ อร่อยสุด ๆตั้ง อยู่เราก็เลยตรงไปยังปากซอย บ้านพานถมที่อยู่ตรงข้ามกับวัดพอดีเรียกว่าข้ามถนนมาก็ใช่เลย นี่คือ ร้านบะหมี่เกี๊ยว โกด๋ง เจ้าเก่าเจ้าเดิมจริง ๆ เพราะอาโกแกขายที่นี่มาเป็นระยะเวลาล่วงเลยมาถึง10 กว่าปีแล้ว ดูชื่อก็รู้เลยสูตรแบบชาวจีนโบราณและต้องอร่อยแน่นอนเป็นของเด็ดข้างทางครับ ดูเอเซีย.คอม เลยสั่งบะหมี่ น้ำ ชาม พอทำเสร็จน่าตาดูดีมาก ชามใหญ่ให้เยอะครับ มีทั้งเส้นบะหมี่ที่เหนียวนุ่มนาม้วนใส่ปากมีทั้งปลาเส้นลูกชิ้นปลาเกี๊ยวกรอบ แม้มีทุกอย่างแบบนี้อิ่มแน่ แต่ที่แปลกก็คือเขาจะใส่หมูกรอบไห้ด้วย เรื่องรสชาตินี่ไม่ต้องห่วงเลยเพราะดูจากปริมาณคนเดินเข้าเดินออกที่ร้านแล้ว ตาลายแทบเป็นลมเลยครับนับจำนวนไม่ทันเอาเป็นว่าเยอะแล้วกันนอกจากนั้นร้านของอาโกด๋ง เขามาเปิดพิษดารกันไปแล้ว รับรองความอร่อยรับประกันความพอใจครับแถมเจ้าของร้าน ใจดี ใจดี ดูเอเซีย ชิมเอง ยกนิ้วไห้เลยครับ สุดยอดครับโกด๋ง อร่อยจริง ๆ ครับ รสชาติจะไม่จัดจ้านแต่จะออกแบบกลมกล่อมทีครบรสคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงต่าง ๆ แล้ว รสชาติแบบว่าอยากจะสั่งอีกสัก สองชาม เป็นหมี่เกี๊ยวแบบชาวจีนของแท้จริง ๆครับ
ถ้าใครอยากทานก็เชิญได้เลย ที่ปากซอยบ้านพานถมข้างวัดบวรนิเวศน์ ไปไม่ถูกโทรหาโกด๋งได้เลย ที่
02-6293841 ร้านเขาเปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เปิด 10.00-22.00 น.วันหยุดเปิด 8.00-22.00 น.
วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร เป็นวัดที่สำคัญของเมืองไทยอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งรวบรวมเรื่องราวทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยเราไว้อย่างมากมายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันรวมถึงศิลปะแบบอย่างไทยที่ได้พัฒนาขึ้นตามยุคตามสมัยจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สวยสดงดงาม สร้างความภาคภูมิไห้กับเราชาวไทยทุกคน และสมควรอย่างยิ่งที่เราจะเข้าศึกษาเยี่ยมชมและกราบไหว้บูชา เพื่อสืบทอดสิ่งดี ๆเหล่านี้กันต่อไป ครับ
การเดินทางมาโดยรถประจำทางสาย 3,9,64,65,53,56,68
ขอบคุณภาพจาก วัดบวรนิเวศวิหาร
ขอบคุณภาพจาก th.foursquare.com