ใครว่าหน้าฝนแบบนี้จะต้องนั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน “ตะลอนเที่ยว” ขอคัดค้านอย่างแข็งขัน เพราะเมืองไทยของเรานั้นท่องเที่ยวกันได้ทุกฤดูกาล จะไปเที่ยวป่าหน้าฝน เที่ยวทะเลหน้าหนาว ก็ไม่ได้แปลว่าจะแหวกกระแสชาวบ้านชาวเมืองเขา หน้าฝนที่ไม่ได้เป็นไฮซีซันแบบนี้แหละที่คนไทยอย่างเราควรไปเที่ยวมากที่สุด เพราะอะไรๆ ก็มักจะลดราคาลง โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่าง “กระบี่”
สระมรกต เขียวสดใสกลางธรรมชาติ
แต่หน้าฝนแบบนี้ จะให้ออกไปลอยลำกลางทะเลก็ดูจะอันตรายไปเสียหน่อย เพราะคลื่นลมมักจะแรงกว่าปกติ เราเลยขอแวะเวียนอยู่บนฝั่งของเมืองกระบี่ ท่ามกลางความเขียวขจีสดชื่นไปทั่วทั้งเมือง เริ่มต้นทริปกระบี่หน้าฝนด้วยการไปยล “สระมรกต” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งน่ามหัศจรรย์ เพราะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางป่า ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายชนิด
หากว่ามาถึงที่สระมรกตแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวออกกำลังขากันสักเล็กน้อย เพราะต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 800 เมตร ถึงจะได้เห็นความเขียวสดใสสมชื่อสระมรกต สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องลงมาอย่างพอดิบพอดี
ตาน้ำผุด ต้นน้ำของสระมรกต
ระหว่างทางก็ใช่ว่าจะมีแดดร้อนมากมาย ทางเดินปกคลุมด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ ทำให้มีร่มไม้คอยกรองแสงแดด และยังให้ความสดชื่นเย็นฉ่ำแบบที่เดินอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร เดินมาเรื่อยๆ ยังไม่ทันเหนื่อยก็ได้เห็นสระมรกตตามที่ตั้งใจ ความเขียวมรกตสวยใสของสระน้ำอยู่กลางขุนเขา และมีครอบครัวหลายๆ ครอบครัวพาลูกจูงหลานมานั่งเล่นอยู่ริมสระ บ้างก็ลงไปว่ายน้ำเล่นให้เย็นฉ่ำ
แต่ถ้าหากยังมีแรงเหลือ ขอแนะนำให้เดินต่อเข้าไปอีกสักหน่อย เพื่อจะไปดูตาน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของสระมรกต เส้นทางที่เดินไปก็จะมีการทำสะพานไม้ให้เดินสบายๆ ไม่ต้องไปเหยียบย่ำต้นไม้เล็กๆ ที่ขึ้นอยู่ทั่วไป บางครั้งก็ได้เห็นต้นไม้แปลกตา บางทีก็จะผ่านต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และสดชื่นของป่าไม้
ผ่อนคลายที่น้ำตกร้อนคลองท่อม
ต้นน้ำของสระมรกตเป็นตาน้ำผุดขนาดใหญ่ บริเวณพื้นล่างจะเป็นทรายสีขาวสะอาด มองลงไปได้ทะลุถึงพื้นล่าง น้ำในสระก็ใสสะอาดตา มองดูแล้วเหมือนมีสีฟ้าเข้มอมเขียวผสมอยู่ในน้ำ แต่ต้องบอกว่าน้ำในสระลึกเกินกว่าที่จะลงไปเล่น ถ้าใครที่จะไปถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ระวังตกน้ำตกท่าด้วยแล้วกัน
สำหรับกิจกรรมที่น่าลองทำเป็นอย่างยิ่งเมื่อเดินมาถึงตาน้ำแห่งนี้ก็คือ ต้องลองปรบมือเสียงดังๆ แล้วคอยสังเกตดูปฏิกิริยาบริเวณพื้นทราย จะเห็นตาน้ำทยอยผุดขึ้นมา เหมือนกับมีฟองน้ำผุดตามเสียงที่ดังขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจากที่การปรบมือมีผลต่อการสั่นสะเทือนของพื้นใต้สระ จึงทำให้มีพรายน้ำผุดขึ้นมาสู่ผิวน้ำในยามที่ปรบมือ นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง
ทางขึ้นไปสู่ยอดเขาวัดถ้ำเสือ
นอกจากสระมรกตแล้ว ก็ต้องแวะไปดูความน่าอัศจรรย์ใจของธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ไปกันต่อที่ “น้ำตกร้อนคลองท่อม” น้ำตกขนาดเล็กที่มีความเด็ดอยู่ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำประมาณ 42 องศาเซลเซียส
น้ำตกร้อนคลองท่อมเกิดจากแหล่งน้ำแร่ร้อนใต้ดินที่ซึมขึ้นมาจากผิวดิน บริเวณที่ธารน้ำร้อนไหลลงมาสู่คลองท่อม จะมีลักษณะคล้ายกับน้ำตกเล็กๆ และมีแอ่งที่เป็นน้ำอุ่นให้ลงไปว่ายน้ำเล่นกันได้ ใครที่มากันเมื่อยๆ เหนื่อยๆ ก็มานอนเล่นแช่น้ำร้อนให้อุ่นสบาย ผ่อนคลายความเมื่อยล้า เหมือนกับมาทำสปาธรรมชาติกลางป่าเลยทีเดียว
สักการะเจ้าแม่กวนอิม
ส่วนในตัวเมืองกระบี่เอง ก็มีสถานที่ที่ต้องแวะเวียนไปเช่นกัน เพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเองและเพื่อนร่วมทาง นั่นก็คือ “วัดถ้ำเสือ” ซึ่งเป็นสำนักสงฆ์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของ หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ พระอาจารย์วิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียง
ชื่อของวัดถ้ำเสือถูกสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากในอดีตเคยมีเสืออาศัยอยู่ และภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติที่มีลักษณะของอุ้งเท้าเสืออยู่ด้วย
สิ่งที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของวัด นอกจากการขึ้นบันได 1,237 ขั้น เพื่อไปสักการะ “พระเจดีย์” ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ก็คือ การมาสักการะ “เจ้าแม่กวนอิม” เพื่อขอพรและเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อเดินเข้าไปถึงแล้ว จะเห็นควันจากธูปหลากสีลอยฟุ้งเหมือนม่านหมอกปกคลุมอยู่
บนทางเดินช่วงแก่งหินสีเหลืองนับเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยว
นอกจากจะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแล้ว หากได้มาถึงที่นี่ก็ควรมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกับบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบายตามธรรมชาติ และยังมีฝูงลิงป่าที่อาศัยอยู่ภายในบริเวณสวนป่าของทางวัด แต่ใครจะเข้าไปเล่นกับเจ้าจ๋อ ก็ควรระมัดระวังให้ดี เพราะได้ขึ้นชื่อว่าลิงแล้วก็ต้องซุกซนตามประสา อาจจะมาวุ่นวายกับสิ่งของของเราก็ได้
จ.กระบี่ นั้นเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล แต่ก็ยังมีแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองด้วย จึงทำให้คลองสายหนึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ นั่นคือ “คลองท่าปอม” อันมีฉายาว่า “ท่าปอม คลองสองน้ำ”
เหตุที่ได้ชื่อว่าคลองสองน้ำก็เรื่องจาก ท่าปอมเป็นลำคลองสายสั้นๆ ที่เกิดขึ้นจากธารน้ำผุดขึ้นจากใต้ดิน ก่อนที่จะไหลเป็นสายผ่านลงไปสู่ทะเลอันดามัน จุดสำคัญก็คือบริเวณที่บรรจบของน้ำเค็มและน้ำจืดนี่เอง ที่จะได้รับอิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงผันเปลี่ยนตามช่วงเวลา ทำให้มีลักษณะเฉพาะทางนิเวศวิทยา และมีสภาพผสมผสานระหว่างผืนป่า 3 ลักษณะ คือ ป่าดงดิบ พื้นที่ชุ่มน้ำ และป่าพรุน้ำจืด
หน้าปากถ้ำปราสาทนาฬาคิริง
ใครที่จะไปเยือนท่าปอม ก็ขอให้ช่วยกันรักษาความเป็นธรรมชาติไว้อย่างเดิม ด้วยการเดินบนสะพานไม้ที่จัดทำไว้ให้ ไม่ลงไปเหยียบย่ำรากไม้ที่แตกแขนงอยู่มากมาย และไม่ลงไปเล่นน้ำบริเวณลำคลองตอนต้นน้ำอย่างเด็ดขาด รวมถึงการรักษาความสะอาดของสถานที่ เพื่อให้สภาพธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์นี้ยังคงอยู่ให้ได้ดูกันสืบไป
ไปเล่นน้ำ เข้าป่า ไหว้พระกันแล้ว ทริปนี้เราขอมาตะลุยธรรมชาติให้ครบสูตรด้วยการพาไปเข้าถ้ำสวยๆ ของกระบี่ มาที่ “ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” ในเขตของสำนักสงฆ์ปราสาทนาฬาคิริง หากว่าเดินมาถึงบริเวณปากถ้ำ ก็จะพบกับชะง่อนหินที่มีลักษณะคล้ายกับหัวช้าง อันเป็นที่มาของชื่อถ้ำ จากส่วนหนึ่งของบทสวดพาหุงที่ว่า “นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง…ฯลฯ”
หินงอกหินย้อยสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ
ภายในถ้ำนั้นมีทั้งหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆ ที่สะท้อนกับแสงไฟส่องสว่างอยู่ภายใน กลายเป็นประกายระยิบระยับคล้ายหินโรยด้วยกากเพชร และแม้ว่าจะเป็นถ้ำ แต่ก็ไม่ได้เหม็นอับแต่อย่างใด โพรงถ้ำนี้มีลักษณะเป็นตัวยู เดินเข้าออกคนละทาง จึงทำให้อากาศถ่ายเทเย็นสบาย ซึ่งถ้าเดินชมหินงอกหินย้อยแล้วก็อย่าเพลินจนลืมตัว เอามือไปสัมผัสหินเหล่านั้น เพราะความเค็มจากมือจะทำให้หินงอกและหินย้อยหยุดการเจริญเติบโต กลายเป็นหินตาย และไม่สวยงามเหมือนเดิม
แหล่งท่องเที่ยวทั้งหลายในกระบี่ และในเมืองไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติเป็นผู้สร้างสรรค์ความน่าอัศจรรย์ขึ้นมา ฉะนั้นคนที่เข้าไปเที่ยวก็ควรจะเคารพและรักษาธรรมชาติเอาไว้ให้เหมือนเดิม สถานที่สวยๆ แบบนี้จะได้อยู่กับเราตลอดไป
ขอขอบคุณข้อมูล http://www.manager.co.th