ไอร์แลนด์ เป็นประเทศที่รวบรวมทัศนียภาพอันตื่นตา ตื่นใจ ไว้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
ไอร์แลนด์ เป็นประเทศที่รวบรวมทัศนียภาพอันตื่นตา ตื่นใจ ไว้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เพราะมรดกจากธรรมชาติ ที่จรรโลงปั้นแต่งไว้ได้อย่างงดงาม และยังคงสมบูรณ์อยู่ทั่วทุกพื้นที่ จึงเปรียบเหมือนแม่เหล็กแห่งมนต์เสน่ห์ ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลมาเยือนดินแดนนี้กันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งสถานที่แรกที่นำมาฝากกัน คือ หนึ่งในท็อปเท็นของสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด
Giant’s Causeway (ไจแอนต์สคอสเวย์) คือ พื้นที่ คันถนนที่มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ โดยเกิดจากการรวมตัวของเสาหินบะซอลต์จำนวนมหาศาล ที่เบียดกันแน่นจากเชิงหน้าผา ทอดตัวลดหลั่นกันลงไป คล้ายกับขั้นบันไดเป็นแนวยาวสู่ท้องทะเล ซึ่งเสาหินบะซอลต์เหล่านี้ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟในยุคดึกดำบรรพ์ นับจำนวนได้ประมาณ 40,000 ต้น สำหรับต้นที่สูงที่สุดเกือบๆ 40 ฟุต เสาหินบะซอลต์เหล่านี้มีรูปทรงที่แปลกเหมือนปั้นแต่ง ซึ่งทั้งหมดมีลักษณะ หกเหลี่ยม แต่ก็ก็ปะปนกันไปบ้างทั้ง ห้าเหลี่ยม เจ็ดเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สถานที่ธรรมชาติอันน่าพิศวงนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง นอร์ธ แอนทริม โคสต์ โดยอยู่ในความดูแลของ เนชั่นแนลทรัสต์ และทางองค์การยูเนสโกได้รับรองให้เป็นมรดกโลกไปเมื่อปีค.ศ. 1986
นี่แค่สถานที่แรกก็น่าตื่นตา ตื่นใจ แล้วใช่มั๊ยล่ะ ก็แหม…ธรรมชาติส่วนใหญ่มักจะรังสรรค์งานที่เหมือนใครซะที่ไหนกัน หากหายตะลึง และพิศวงกันแล้วก็มาต่อที่ปราสาทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกันบ้าง
Blarney Castle (บลาร์นี แคสเซิล) ปราสาทบลาร์นี ถูกสร้างขึ้นมากว่า 600 ปีที่ผ่านมา โดย คอร์แม็คคาร์ธี หนึ่งในผู้นำคนสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งปราสาทบลาร์นีเป็นศูนย์รวมผู้คนในยุคสมัยนั้น และต่อมาในช่วงหลังเมื่อประมาณสองถึงสามร้อยปีที่ผ่านมา ปราสาทแห่งนี้ชื่อเสียงเริ่มระบือไกล จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือน เพราะทัศนียภาพโดยรอบปราสาท ได้ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันเขียวชอุ่ม และอุดมสมบูรณ์
ปราสาทบลาร์นี ในปัจจุบันเป็นหิน ซึ่งทางประวัติศาสตร์บางตำราว่าโครงสร้างของปราสาทแห่งนี้ แต่เดิมเป็นไม้ และได้ถูกทำลายในช่วงสงครามโลก และได้รับการก่อสร้าง ตลอดจนทำการบูรณะต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานสามารถชี้ชัดที่แน่นอน อีกหนึ่งเหตุผล นอกจากความงดงาม และเป็นหนึ่งในมรดกโลกของประเทศไอร์แลนด์แล้ว ที่นักท่องเที่ยวอยากจะมาสัมผัสก็คือ เรื่องราวตามตำนานที่ร่ำลือว่า ผนังหินบนยอดหอคอยที่เรียกว่า “บลาร์นี สโตน” นั้น หากใครได้จุมพิตแล้วจะทำให้ไม่อับจนโวหาร หรืออาจเรียกว่า ปากเป็นเอกเหมือนกับสาริกาลิ้นทองนั่นแหละ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ จะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ทั้ง เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต, ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และผู้นำที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน ก็ได้พากันมาเติมพลังแห่งพลานุภาพ จากผนังหินแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น
อีกหนึ่งทัศนีภาพในสถานที่ที่น่าตื่น ตาตื่นใจ ของประเทศไอร์แลนด์ที่ไม่ควรพลาด คือ
Cliffs of Moher (คลิฟส์ ออฟ โมเออร์) หรือ ผาชันแห่งโมเออร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ในเขตเคาน์ดี แคลร์ เป็นธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของประเทศไอร์แลนด์ แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่หรือ คือสิ่งที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้จริงๆ หน้าผาแห่งนี้มีความสูง 230 เมตร เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกที่คลื่นลมแรง และกราดเกรี้ยว แนวหน้าผาทอดยาวเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร หากได้เดินเลียบหน้าผาแห่งนี้ รับรองว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เร้าใจอย่างแน่นอน
อย่าเพิ่งหยุดความเร้าใจไว้ที่ ผาชันแห่งโมเออร์เพียงเท่านั้น เพราะอีกหนึ่งสถานที่ที่ตามมาติดๆ ก็ท้าทาย และตื่นเต้นไม่แพ้กัน
Carrick a red rope bridge (สะพานเชือก คาร์ริก อะ รีด) เป็นจุดชมทัศนียภาพของชายฝั่งทะเลที่วิเศษสุด เพราะประสบการณ์ที่ท้าทายรอผู้กล้า ท้าความสูง โดยมีสะพานเชือกทอดกายอยู่เบื้องหน้า ซึ่งแต่เดิม สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวประมง สำหรับใช้เป็นทางข้ามช่องแคบไปยังเกาะ คาร์ริก อะ รีด เพื่อดูแหที่ลงดักปลาไว้ ช่องแคบแห่งนี้มีความลึก 30 เมตร กว้าง 20 เมตร ในปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่รอผู้กล้ามาท้าประลองความสูง และเสียว ที่ต่างพากันหลั่งใหลมาไม่ขาดสาย
ขอขอบคุณข้อมูล www.mthai.com