แต่ละเมืองก็มีเสน่ห์เป็นของตัว เองแตกต่างกันไป จนยากที่เราจะบอกได้ว่าเมืองไหนสวยที่สุด อย่างไรก็ดี มีเมืองไม่น้อยที่ความสวยมีเสน่ห์ของมันทำให้หลาย ๆ คนฝันอยากไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเหมือน ๆ กัน ซึ่งวันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ได้รวบรวม 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่มากที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ China.org.cn มาฝากกันแล้ว และตอนนี้ถ้าใครอยากรู้ว่าเมืองในฝันของคุณจะติดกับเขาด้วยหรือไม่นั้น ก็ลองไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
1. กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย (Vienna, Austria)
เมืองที่สุดแสนจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายความคลาสสิกนี้ เป็นบ้านเกิดของนักดนตรีชื่อดังระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บีโธเฟน, โมซาร์ท, ชูเบอร์ก, บราห์ม และโยฮัน สเตราส์ ซึ่งการที่นักดนตรีเหล่านี้ประพันธ์เพลงดี ๆ จนสร้างชื่อเสียงโด่งดังออกไปได้อย่างกว้างขวางขนาดนี้ ก็อาจเป็นเพราะแรงบันดาลใจจากเสน่ห์ความสวยงามของสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย ราวกับเทพนิยายของที่นี่ก็ได้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่มันจะได้มาเป็นอันดับ 1 เมืองน่าอยู่ที่สุด
2. เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Zurich, Switzerland)
หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่าซูริคเป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากการที่เมืองมีขนาดใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เลยทำให้มีครบพร้อมทุกอย่าง ทั้งสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ โรงแรม และร้านค้ามากมาย จนได้ฉายาว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเลย ดังนั้น ใครที่อยากจะสัมผัสวัฒนธรรมของสวิตเซอร์แลนด์โดยตรง ก็ต้องมาที่เมืองนี้นี่แหละ
3. เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ (Auckland, New Zealand)
ถ้าพูดถึงเมืองเสน่ห์แรงแล้วล่ะก็ คงขาดเมืองโอ๊คแลนด์แห่งนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะแค่ชื่อ Tamaki-Makau-Rau ซึ่งเป็นชื่อในภาษาเมารีของเมืองแห่งนี้ ก็บอกแล้วว่ามันเป็นเมืองเจ้าเสน่ห์ขนาดไหน โดยมันมีความหมายว่า สาวงามผู้มีคนมาขอความรักถึง 100 คน จากการที่ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยถูกแย่งชิงจากหลายเชื้อชาติมาก่อน ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะความสมบูรณ์ของธรรมชาติและทัศนียภาพอันสวยงามนั่นเอง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโอ๊คแลนด์ได้ฉายาว่าเป็นเมืองแห่งท่าเรือไปแล้ว จากการเป็นท่าเทียบเรือให้ทั้งท่าเรือไวเตมานาทางทิศเหนือ และมานากัวทางทิศใต้
4. เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี (Munich, Germany)
เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเยอรมนีนี้ สามารถผสมผสานความทันสมัยและศิลปะยุคโบราณเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยมีทั้งสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ มากมาย และสถาปัตยกรรมสไตล์บาร็อค เช่น มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นโบสถ์แห่งแรกของมิวนิก อีกทั้งตลาดวิคทัวเลียน (Viktualienmarkt) ซึ่งเป็นตลาดผักผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง และมีชื่อเสียงไปทั่ว ยังทำให้อาหารการกินของเมืองนี้สมบูรณ์ซะจนน่าอิจฉาอีกด้วย อ้อ…แล้วอีกอย่างที่บรรดาคอเบียร์ทั้งหลายพลาดไม่ได้ ก็คือ เทศกาลเบียร์เยอรมัน ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนกันยายนไปถึงต้นเดือนตุลาคม โดยเน้นให้ผู้คนแข่งดื่มเบียร์ที่หมักจากวัตถุดิบธรรมชาติเท่านั้นยังไงล่ะ
5. เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา (Vancouver, Canada)
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำให้เมืองแวนคูเวอร์มีชื่อเสียงมมากที่สุดจะมาจากการเป็น ศูนย์กลางของวงการบันเทิง ด้วยความที่มีทั้งบริษัทออกแบบวิดีโอเกม และผลิตภาพยนตร์มากมาย แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวผู้คนให้ต้องมนต์เสน่ห์ของที่นี่จนถอนตัวไม่ขึ้น น่าจะมาจากความสมบูรณ์ของธรรมชาติมากกว่า เพราะมันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สะอาดที่สุด รวมทั้งมีอาหารทะเลและผลไม้สดอร่อยให้เลือกทานมากมายเลยทีเดียว
6. เมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี (Düsseldorf, Germany)
หากคุณมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเมืองแห่งนี้ในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน รับรองว่าจะได้ความทรงจำดี ๆ กลับมาแน่นอน เพราะเทศกาลคาร์นิวัลจัดขึ้นที่นี่ในช่วงวันนั้นทุกปี และงดงามตระการตามากจนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแห่แหนมาชมกันมากมาย อีกทั้งเมืองแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นที่เหล่าแฟชั่นนิ สต้าไม่ควรพลาดอีกต่างหาก
7. เมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี (Frankfurt, Germany)
แม้ว่าแฟรงค์เฟิร์ตจะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศเยอรมนี แต่ก็ถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากเลยทีเดียว จากการที่เป็นแหล่งขับเคลื่อนทางเศษฐกิจของประเทศ และถ้าใครคิดว่าเมืองแห่งนี้จะมีแต่สิ่งก่อสร้างทันสมัย และสีสันในเมืองเพียงอย่างเดียวจนลายตาก็ผิดถนัด เพราะที่นี่ยังมีกลิ่นอายยุคเก่าให้เราได้พักผ่อนชื่นชมความงามแต่โบราณด้วย เช่นกัน โดยเฉพาะที่จตุรัสเรอเมอร์ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปีแล้ว
8. กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Geneva, Switzerland)
จะไม่ให้หลาย ๆ คนฝันอยากอาศัยอยู่ในเมืองที่สวยงามแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสวยงามมากมาย เช่น อนุสาวรีย์เก้าอี้หัก, พิพิธภัณฑ์เอเรียน่า, วิหารเซนต์ปิแอร์ และน้ำพุ Le Jet d’Eau ที่ถูกบันทึกสถิติให้เป็นน้ำพุที่มีความสูงมากที่สุดในโลก ที่ใครมาถึงที่นี่แล้วไม่ได้ไปชมให้เห็นกับตาถือว่ายังมาไม่ถึง เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่ความตระการตาเต็มไปหมดเลยล่ะ
9. เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก (Copenhagen, Denmark)
โคเปนเฮเกนนับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ราวกับโลกเทพนิยาย ที่สาวช่างฝันทั้งหลายคงหวังอยากจะไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง จากการที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังอมาเลียนบอร์ก รวมทั้งรูปปั้นเงือกน้อย นางเอกผู้น่าสงสารในนิทานพื้นบ้านชื่อดังของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ด้วย หนำซ้ำการล่องเรือในเมืองท่าแสนสวยแห่งนี้ยังโรแมนติกสุด ๆ อีกต่างหาก จนเมืองโคเปนเฮเกนถูกยกย่องให้ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งความรักในเทพนิยาย
10. กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี (Berlin, Germany)
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมันอย่างกรุงเบอร์ลินนั้น เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม เศษฐกิจ รวมไปถึงการคมนาคมด้วย จากการที่เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก และผสมผสานความทันสมัยและศิลปะเข้าไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี โดยมีทั้งแหล่งบันเทิงมากมาย รวมไปถึงศิลปะเก่าแก่ตั้งแต่ยุคโบราณที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และยังคงงดงามเหมือนเดิม เช่น โบสถ์ ไกเซอร์ วิลเฮม และ ประตูชัย บราเดนเบิร์ก ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเยอรมัน ยิ่งไปกว่านั้นค่าครองชีพที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรป ยังเป็นอีกสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนอยากมาใช้ชีวิตที่นี่เช่นกัน
เรียกได้ว่าแต่ละเมืองที่เรานำมาฝากกันต่างก็สวยมีเสน่ห์ไม่แพ้กันเลย แต่ใครจะชอบที่ไหนมากกว่านั้น ก็น่าจะขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวมากกว่า ว่าไลฟ์สไตล์แบบไหนน่าจะเข้ากับคุณและโดนใจมากที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูล http://travel.kapook.com/view53133.html