เกิดขึ้นทุกๆปีสำหรับงานงานบั้งไฟพญานาค ในปีนี้จัดขึ้นวันที่ 11-21 ตุลาคม 2554 ณ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด และอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นซึ่งในช่วงเทศกาลออกพรรษาของทุกปี จะมีประชาชนทั่วทุกภูมิภาคเดินทางมายังจังหวัดหนองคายเพื่อสัมผัสกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” อันเป็นความเชื่อและความศรัทธาอย่างยิ่งของชุมชนริมฝั่งโขงในเขตจังหวัด หนองคาย ตามพุทธประวัติที่กล่าวไว้ว่า ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันปวารณาออกพรรษา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จฯกลับจากการแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลาตลอดพรรษา (3 เดือน) เมื่อทั้งสามโลกทราบข่าวกำหนดการเสด็จฯกลับในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ หรือแม้แต่พญานาคต่างก็มีความยินดีและเตรียมการต้อนรับตามศรัทธาของตน
โดยเหล่าเทวดาได้เนรมิตบันไดทอง เงิน และแก้ว ทอดลงมาส่งเสด็จถึงพื้นโลก มวลมนุษย์ได้จัดถวายอาหารคาว หวาน และของแห้ง รวมทั้งดอกไม้ ธูป เทียน ในพิธีทำบุญตักบาตรที่เรียกว่า “ตักบาตรเทโวโรหนะ” ส่วนพญานาคที่จำพรรษาอยู่ในเมืองบาดาล ได้ร่วมกันพ่นลูกไฟถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งลูกไฟดังกล่าวจะมีลักษณะ ดวงกลมสีแดงอมชมพูพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขง ไม่มีเสียง ไม่มีควัน และไม่มีกลิ่น เหมือนดอกไม้ไฟหรือพลุ โดยทุกท่านสามารถสัมผัสปรากฏการณ์มหัศจรรย์ได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2554
ในวันดังกล่าวจะมีพิธีบวงสรวงพญานาคตามแบบโบราณที่สืบทอดกันมา ณ อำเภอโพนพิสัย ส่วนในเขตเทศบาลเมืองหนองคายได้จัดกิจกรรมต่างๆมากมาย อาทิเช่น การแสดงแสง- เสียงที่ยิ่งใหญ่ตระการตา พิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนาง การประกวดกระทงยักษ์ และกิจกรรมอีกมากมาย
การจัดงานบั้งไฟพญานาคนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้คือ
- เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ชื่อเสียงของอำเภอโพนพิสัย และจังหวัดหนองคาย ให้คนทั่วประเทศและทั่วโลกได้รู้จัก ในความที่เป็นเมืองน่าอยู่ เมืองแห่งตำนานพุทธประวัติที่เป็นความเชื่อของเมืองหนองคาย ที่เชื่อว่าพญานาคจุดบั้งไฟขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระพุทธเจ้า ในคราวที่ท่านเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลับมายังโลกมนุษย์ นอกจากนั้นยังได้มาร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอีก เช่น การทำบุญมหากุศล 9 วัด, การทำบัญตักบาตรเทโวพระสงฆ์ 99 รูป, การหล่อพระ, พิธีพุทธาภิเษก, การเจริญศีล, สวดมนต์ภาวนาและนั่งสมาธิ(Meditation),การบูชาวัตถุมงคล รวมถึงการได้มีโอกาสเดินทางไปนมัสการพระคู่บ้านคู่เมือง ของชาวจังหวัดหนองคาย อันได้แก่ หลวพ่อพระใส, หลวงพ่อพระสุก, หลวงพ่อพระเสริม, หลวงพ่อพระเสี่ยง, หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื๊อ เป็นต้น
- เพื่อส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น ซึ่งทำให้บ้านเมืองมีแต่ความสามัคคี เป็นบ้านเมืองที่มีความสุข เป็นบ้านเมืองที่น่าอยู่ นำไปสู่วิสัยทัศน์ของจังหวัดหนองคาย คือ เมืองน่าอยู่อับดับ1 ของภาคอีสาน
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค 12 ต.ค. 2554
บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฎการณ์ของการเกิดลูกไฟสีชมพูพวยพุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขงสู่อากาศ โดยลูกไฟนั้นไม่มีควัน ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง พุ่งสูงประมาณ 20-30เมตร แล้วหายไปโดยไม่มีการโค้งตกลงมายังพื้น เช่น บั้งไฟทั่วๆ ไป ขนาดของบั้งไฟพญานาคนั้นมีตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ กระทั่งขนาดเท่าฟองไข่ไก่ เกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่แน่นอน บั้งไฟพญานาคจะขึ้นตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นจนถึง 2-3 ทุ่ม สถานที่เกิดมักเป็นลำน้ำโขง ในท้องที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอปากคาด อำเภอสังคม อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬซึ่งเป็นจังหวัดที่ 77 ของไทยและบริเวณอื่นๆ บ้าง เช่น ตามห้วยหนองที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขงบั้งไฟพญานาค จะเป็นปรากฏการณ์ที่แน่นอน คือตรงกับ วันออกพรรษา วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองหน ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษาของลาว ส่วนในปี 2554 นี้บั้งไฟพญานาคตรงกับวันออกพรรษา ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2554
12 ต.ค. 2554 บั้งไฟพญานาควันออกพรรษา
บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นในวันออกพรรษาของทุกๆ ปี ของจังหวัดที่ติดแม่น้ำโขง เช่น จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น มีลักษณะเป็นดวงไฟพวยพุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขงสู่อากาศ สูงประมาณ 20-30 เมตร โดยที่ไม่ได้มีเสียง กลิ่น ควัน และประกายไฟเลย ดับหายไปในอากาศเฉยๆ ไม่ตกลงมา จนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทยยุคไฮเทคโนโลยี ซึ่งข้อถกเถียงต่างๆ สรุปแล้วก็จะตั้งอยู่บนสมมุติฐาน 2 ประการ คือ
- สมมุติฐานที่ไม่เชื่อว่าพญานาคมีจริงคนกลุ่มนี้จะเห็นว่า พญานาคเป็นเพียงเรื่องปรัมปราที่เล่าสืบต่อๆ กันมา จึงไม่เชื่อว่า ดวงไฟที่ลอยขึ้นมาจากลำน้ำโขงคือ บั้งไฟพญานาค ดังนั้น จึงมีการตั้งสมมุติฐานกันว่า อาจจะเกิดมาจากฝีมือของมนุษย์ หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มาพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดเจนว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากสิ่งใดกันแน่
- สมมุติฐานที่เชื่อว่าพญานาคมีจริงกลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่เคารพ นับถือพญานาคสืบเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษยาวนานนับพันปี รวมไปถึงชาวพุทธที่ศึกษาคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดความเชื่อมั่นว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ชีวิตในโลกหน้ามีจริง ซึ่งพญานาคนั้นก็เป็น ภพภูมิหนึ่งใน 31 ภพภูมิของชีวิตหลังความตาย ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคก็มีอยู่ว่า เมื่อหลายพันปีก่อน ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรางเสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา จนท่านบรรลุเป็นพระโสดาบัน ครั้นเมื่อถึงวันออกพรรษาพระพุทธองค์ก็เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเปิดโลกทั้ง 3 ด้วยพุทธานุภาพ เพื่อให้สัตว์ทุกภพภูมิได้เห็นกันและกัน ทั้งเทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายต่างได้เห็นกันและกันด้วยตาเนื้อ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้เห็นพุทธานุภาพในวันนั้น ต่างตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต หนึ่งในนั้นก็คือ พญานาค เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วจึงเกิดกุศลศรัทธามาก ได้เปล่งวาจาตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
ดังนั้น เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พญานาค และเหล่าบริวารจะออกมาจำศีลภาวนาที่ใต้ลำน้ำโขง ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอถึงวันออกพรรษา ก็จะกระทำการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดวงประทีป ที่กลั่นจากใจใสๆ ที่ท่านได้ตั้งใจจำศีล ประพฤติพรหมจรรย์มาตลอด 1 พรรษา และอธิษฐานขอให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต