บ้านสุขาวดี

0

big

ถ้าเอ่ยถึงบ้านสุขาวดี คนชลบุรีต้องรู้จักกันแทบทั้งนั้น เพราะบ้านหลังนี้ทั้งใหญ่โต อลังการ แถมยังติดทะเล บรรยากาศก็สุดแสนจะเลิศเลอเพอร์เฟ็ก ดูเอเซียมาเที่ยวชลบุรีเลยไม่ยอมพลาดที่จะพามาเที่ยวชมกัน ลองตามมาดูเลยครับว่าจะอลังการขนาดไหน

 

บ้านสุขาวดีแห่งนี้ เจ้าของบ้านคือ ดร.ปัญญา โชติเทวัญ หรือเจ้าของธุรกิจในเครือสหฟาร์มที่เรารู้จักกันดีนี่เอง เหตุผลที่ ดร.ปัญญา ได้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา สั้นๆเข้าใจง่ายๆ ครับ คือ “ผมเอาไว้เป็นบ้าน เพื่อให้คนไทยใช้อ้างอิงได้ในโลกนี้ว่านี่เป็นบ้านของคนไทย” ช่างสุดยอดจริงๆเลยครับ ช่างเป็นคนที่รักและภูมิใจในความเป็นไทยเอามากๆเลย และอีกอย่างเท่าที่ดูเอเซียเดินเที่ยวชมภายในบ้าน ภาพส่วนใหญ่จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและพระบรมวงศานุวงศ์เยอะมาก แต่ละรูปได้ถูกจัดไว้อย่างสมพระเกียรติ ถึงว่าเจ้าของบ้านถึงได้เจริญเอ๊า…เจริญเอา

 

เมื่อเหยียบย่ำเข้าสู่ประตูบ้านรู้สึกเป็นบุญเท้าเหลือเกิน..(เว่อร์อีกละเรา) ภายในบ้านทุกๆห้องถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี (ดอกไม้ปลอม) เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ดูๆแล้วล้วนเป็นของดี ราคาแพงแทบทั้งนั้น (มองด้วยสายตาของคนจนๆอย่างเรา) สถาปัตยกรรมภายในก็จะเป็นสไตล์โรมัน สีภายในส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว มีวาดลวดลายต่างๆสวยงามทั้งบนผนังและบนเพดาน ต่างจากด้านนอกที่เป็นสีชมพู ตัดด้วยสีแดงและสีเขียวอมฟ้า เท่าที่ได้เดินดู ส่วนใหญ่แต่ละห้องจะเป็นห้องจัดเลี้ยงหรือต้อนรับแขกระดับวีไอพี. ยังมีห้องโถงใหญ่ที่ได้จัดให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ให้คนทั่วไปได้เข้ามากราบไหว้อีกด้วย

 

อีกอาคารหนึ่งที่ดูเอเซียได้เข้าชม คืออาคารเจ้าแม่กวนอิม ซึ่่งด้านหน้าอาคารจะมีรูปปั้นสิงโตตัวใหญ่สีทอง ยืนทำท่าเหยียบลูกโลกอยู่ด้านหน้าทั้งสองข้างของประตู (ไม่รู้ว่าเป็นเคล็ดอะไรหรือเปล่า) ภายในอาคารมีการจัดจำหน่ายของมงคลต่างๆด้วย หากเราเข้าไปแล้ว พนักงานจะบอกให้เราขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 เป็นอันดับแรก เพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ด้านบนดาดฟ้าของตัวอาคาร ซึ่งบนดาดฟ้าของอาคารหลังนี้ จัดได้ว่าเป็นมุมที่สูงที่สุดของบ้านสุขาวดี ทำให้เรามองเห็นทัศนียภาพและบรรยากาศโดยรอบของบริเวณบ้านได้อย่างชัดเจน และดูเอเซียก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพตรงนี้มาให้ได้ชมกัน สวยงามมากเลยครับ มองลงไปเห็นสนามหญ้าที่ถูกตกแต่งด้วยหุ่นโรมันมากมาย และดอกไม้นานาพันธุ์ แถมฉากหลังยังเป็นทะเลสุดลูกหูลูกตา สุดยอดดดดดดดดดด…

 

ภายในบ้านสุขาวดี ยังมีอาคารที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางประสูติ ที่น่าจะมีที่เดียวในประเทศไทย เพราะไม่เคยผ่านหูผ่านตามาก่อนเลย เพิ่งมาเห็นก็ที่นี่แหละครับ บริเวณรอบๆห้องที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางประสูติ ได้มีการจัดแสดงภาพของพระเกจิอาจารย์ดังๆหลายรูป พร้อมประวัติของแต่ละรูปด้วย อ้อ…ลืมบอกไปว่าก่อนจะเข้ามาถึงบริเวณห้องพระพุทธรูปปางประสูติ เราจะพบกับห้ององค์จตุคามรามเทพประดิษฐานอยู่ตรงกลางห้อง และผนังห้องนี้ก็ถูกตกแต่งด้วยรูปขององค์จตุคามแทบทุกรุ่น เต็มผนังไปหมด ซึ่งดูเอเซียก็ไม่ค่อยสันทัดหรือรู้ลึกอะไรมากนัก เพียงแต่ได้เก็บรูปมาให้ดูด้วย

 

พลัง แห่งความคิด เป็นพลังแห่งอำนาจ เป็นพลังแห่งแสนยานุภาพ และเป็นพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถบันดาลให้เกิดอะไรได้ทุกอย่าง ตามใจปรารถนา หากนำความคิดนั้นไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้

“บ้านสุขาวดีเปิดกว้างขึ้นด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ผู้มีโอกาสได้มาสัมผัส เป็นเจ้าของร่วมกันและได้ค้นพบถึงสัจธรรมในการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ควรสักการะ อาทิเช่น พระพุทธเจ้าปางประสูติ , พระแม่กวนอิม , พระเจ้าตากสินมหาราช , รัชกาลที่ ๕ , กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือพระบิดาแห่งราชนาวีไทย เป็นต้น ทุกสิ่งทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ถูกกำหนดขึ้นอย่างมีดีไซน์ ประกอบด้วยศาสตร์ และศิลป์อย่างลงตัว สมดุล และมีเหตุมีผล ด้วยบรรยากาศเงียบสงบ แวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้ และภูมิทัศน์ที่งดงาม และยังมีอาคารโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม ด้วยอำนาจของความรัก ความเมตตา ของผู้สร้างซึ่งไม่เคยยอมแพ้และไม่ยอมให้ความจนเป็นข้อจำกัดในชีวิต ขอให้สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังใจ หรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแง่คิดที่จะนำพาท่านไปสู่จุดหมาย”

 

ความหมายของบ้าน

“สุขาวดี” แปลว่า ดี ขาวดี สีของบ้าน เป็นสีชมพูและ ฟ้า สีชมพูเป็นสีแห่งความรัก ดั่งที่ว่า “ ที่ใดไร้รักสมัครสมานจะทำการสิ่งใดย่อมไร้ผล” ฉะนั้นที่ใดก็ตามที่มีความรัก ความสามัคคี มีความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่นั่นเขาจะคุยกันแต่เรื่องดีๆ คุยสิ่งสร้างสรรทั้งสิ้น เราก็สามารถฟันธงได้เลยว่า ที่นั่นคือ ที่ที่ดี ที่เจริญรุ่งเรือง เราจึงใช้ “คิวปิด” หรือ เทพเจ้าแห่งความรักเป็นสัญลักษณ์ ส่วนสีฟ้าถือเป็นสีแห่งน้ำ น้ำเป็น สิ่งก่อเกิดสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก แต่น้ำเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องศึกษาน้ำ เพราะน้ำ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกสถานะ ถ้าคนเราปรับตัวเข้ากับสังคม ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจหรือความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ เราย่อมมีความสุข แต่น้ำที่ทุกคนต้องการเหมือนๆกันกลับกลายเป็น “น้ำใจ”

 

ประวัติของบ้านสุขาวดี

จาก วิกฤติทางเศรษฐกิจ ต่างชาติได้ยึดกิจการของคนไทย เพื่อให้เห็นว่าคนไทยมีศักยภาพไม่แพ้ต่างชาติ ทำให้เกิดปาฏิหาริย์สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของคนไทย บ้านสุขาวดี จึงได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 2543 บนเนื้อที่ 12 ไร่ ติดถนนสุขุมวิท หลักกิโลเมตรที่ 129 ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางละมุง ประมาณ 1 กิโลเมตร มีชายหาดยาว 400 เมตร ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 80 ไร่

 

สุขาวดีเกิดมาจากสติปัญญาและการทำงานเป็นทีม ของผู้คนบนพื้นฐานของความรัก ความสามัคคี จึงทำให้งานที่ออกมามีคุณค่า สง่างามและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ประกอบด้วยอาคารหลัก ๆ ดังนี้

 

อาคารพระแม่กวนอิม (Main building & Goddess of Mercy) ก่อสร้างขึ้นในปี2543 เป็นอาคารที่พักอาศัยของครอบครัว โชติเทวัญ ที่ได้ถูกจัดสรรอย่างสมบูรณ์แบบประกอบไปด้วย

 

ชั้นที่หนึ่ง เป็นห้องรับรอง ที่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม ด้วยศิลปะอันทรงคุณค่า

 

ชั้นที่สอง ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ ๕ ที่งดงาม ประดับด้วยหินรัตนชาติล้ำค่า รวมทั้งเป็นห้องจัดเลี้ยงรับรอง และสันทนาการ

 

ชั้นที่สี่และชั้นที่ห้าเป็นบริเวณที่พักอาศัยของครอบครัวโชติเทวัญ

 

ชั้นที่หก เป็นห้องอเนกประสงค์ และรองรับการประชุมขนาด 500 คน

 

ชั้นดาดฟ้า ประดิษฐานองค์พระแม่กวนอิมปางประทานพร ประทับมังกรซึ่งประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้

 

อาคารพุทธบารมี (Buddhabaramee/Convention Hall)

เริ่ม ก่อสร้างในปี 2546โดยโครงสร้างของอาคารหอประชุมใช้เวลาสร้าง 1 ปี ส่วนการตกแต่งภายในทั้งอาคาร ใช้เวลาเพียง 30 วัน โดย เฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อาจารย์กรมศิลปากร แจ้งว่าต้องใช้เวลา 3 ปีถึงจะแล้วเสร็จ แต่ด้วยแนวคิดของขบวนการจิกซอทั้งอาคาร ทั้งฝ้า ระบบปรับอากาศทำความเย็น แม้กระทั่งพรม ที่ถือว่าเป็นพรมชิ้นเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิค ก็ใช้เวลาทอ 30 วัน นี่คือขบวนการของทีมเวิร์ค ที่ ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ใช้หลักการ “ทำได้” เป็นสำคัญ อาคารนี้จึงแล้วเสร็จบนพื้นฐานของความรัก และความสามัคคีของคน 2,700 ชีวิต อาคารนี้ประกอบด้วย ห้องโถงขนาดใหญ่พื้นที่ 4,800 ตารางเมตร 1 ห้องและห้องประชุมสัมมนาจำนวนมากสำหรับจัดกิจกรรมของบริษัท สหฟาร์มและในเครือ อีกทั้งยังได้รับเกียรติเป็นสถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญและจัดงานระดับประเทศ หลายครั้ง อาทิเช่น นิทรรศการ “ครัวของโลก” , งานประชุมรัฐสภาเอเชีย เพื่อสันติภาพ (AAPP, November 2005) และงานพุทธบารมี 2 แผ่นดินระหว่าง 15 พ.ย.2550 – 15ม.ค. 2551 เป็นต้น

 

ศาลหลักเมือง (Sukhawadee’s Pillar Shrine)

เป็นสถานที่สำคัญในการแสดงความเคารพและกตัญญูต่อผืนแผ่นดินที่เราได้ถือครอง หรือได้ใช้ประโยชน์อยู่อาศัย และทำมาหากินเลี้ยงชีพตน ฉะนั้นเพื่อความเป็นสิริมงคลจึงต้องกราบไหว้ สักการะบูชาขอพรแก่ฟ้า ดิน หรือเทพารักษ์ เพื่อให้คุ้มครองให้รอดพ้นจากภยันตรายและ ปกปักรักษาแผ่นดินของตนไว้ ตลอดจนให้ลูกหลานตระหนักถึงคุณค่าและสามารถรักษาผืนแผ่นดินของบรรพบุรุษ สืบไป

 

บ้านเลขที่ 219 หมู่ 2 ถนนสุขุมวิท ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 20150

สำนักงานใหญ่ 44/4 หมู่ 11 ถนนนวมินทร์ แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ 10230

หมายเลขติดต่อโทร.038-223185, 038-223235

โทร./ โทรสาร. 038-223454

โทร. 08-9813-2962 , 0-9831-2971 (บ้านสุขาวดี)

หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่

คุณกัลญาณี วิเศษพันธ์ 08-5071-8166 (บ้านสุขาวดี)

คุณมยุรี ม่วงไหม 08-6352-8669 (บ้านสุขาวดี)

คุณรัชนี ด้วงชะเอม 08-4157-0045 , 08-1467-1294 (บ้านสุขาวดี)

E-Mail Address : admin@healthfood.co.th

เชิญแสดงความคิดเห็น