สักการะพระศรีศากยมุณี ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร

0

วันนี้ เราจะพาไปเตร็ดเตร่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย เมืองที่ได้ชื่อว่าน่าอยู่ที่สุดอันดับ 1 ของโลกเชียวนะครับ ด้วยเป็นเมืองที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวดื่มกิน ช้อปปิ้ง หรือจะเป็นสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ สิ่งที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะ วัด ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากจะมายลความสวยงามแห่งมหานครกลางกรุงเทพมหานคร ที่คนไทยหลายคนมองว่า.. เมืองนี้แสนวุ่นวาย .. แต่ใครเล่าจะรู้ว่า กรุงเทพมหานคร เมืองศรีวิไล มีอะไรอีกมากมาย..ให้เราได้รู้ได้เห็นกันอีกเยอะ

watsutat (12) watsutat (13)watsutat (15) watsutat (14)  watsutat (5) watsutat (6) watsutat (7)

ดูเอเซียพาเพื่อนๆ เตร็ดเตร่ ไปถ่ายรูปชิลกันแถวๆ เสาชิงช้า… ไปวัดชื่อดังละแวกนั้นที่เรารู้จักกันดี ในนามวัดสุทัศน์ หรือ ชื่อเต็ม วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่งที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และสิ่งที่น่าสนใจภายในมากมาย รวมถึงพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิอันเป็นที่เคารพ ศรัทธาของประชาชนคนไทยภายใน วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ “วัดมหาสุทธาวาส” วัดนี้เริ่มสร้าง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม”

เสาชิงช้า สัญลักษณ์ของวัดสุทัศwatsutat (33)

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร แปลว่า สุทัสสนนครบนเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ หรือที่หลายคนเรียกกันอย่างคุ้นหูกันดีในหลากชื่อ ว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ นั่นเองครับ วัดแห่งเดียวที่มีเสาชิงช้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด ส่วนที่เรียกว่าวัดพระโตหรือวัดพระใหญ่ก็เนื่องจากภายในวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพระนามว่า พระศรีศากยมุนี

พระศรีศากยมุณีwatsutat (21)
ด้านหลังเป็นพระประธานองค์ใหญ่อันเชิญมาจากสุโขทัย
watsutat (20)  watsutat (22) watsutat (24) watsutat (25) watsutat (27) watsutat (30)

เมื่อเข้าไปถึงภายในวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร จะพบกับศิลาแบบจีนทำจากหิน สลักเป็นรูปต่างๆ เช่นเก๋งจีน ตุ๊กตาจีนหลายแบบ ทั้งรูปคน ฝรั่ง จีน เทพเทวดา และรูปสัตว์ เรียกว่า เครื่องอับเฉา Ballast อับเฉา (ของถ่วงเรือกันเรือโคลง) ตุ๊กตาจีนและศิลาแกะสลักมาพร้อมกับเรือสำเภาในฐานะเครื่อง “อับเฉา” ใส่ไว้ใต้ท้องเรือสำเภาเพื่อถ่วงน้ำหนักเรือไม่ให้โคลง

นอกจากนี้แล้วก็ยังจะเห็น “ถะ” เป็นศิลาจีนรูปแบบคล้ายอาคารหกเหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้นๆใช้จุดประทีป มีขนาดใหญ่และสง่างามมาก ที่นี่มีถะเรียงรายอยู่รอบพระวิหารเลยทีเดียว

watsutat (19) watsutat (16) watsutat (17) watsutat (18)

ภายในวิหารหลังใหญ่ มี “พระศรีศากยมุนี” เป็นพระประธาน ซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยสำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา หน้าตักกว้าง ๓ วา ๑ คืบ นับเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในยุคก่อน ๒๕ พุทธศตวรรษ

พระประธานในวิหารwatsutat (28) watsutat (26)

เชื่อว่า หากใครอยากเป็นผู้มี” วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป” ต้องสักการะ “พระศรีศากยมุนี” ด้วยธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย

บริเวณภายในวิหาร จะเป็นภาพภาพจิตกรรมฝาผนัง ซึ่งมีเรื่องราวของ เปรตวัดสุทัศน์ ที่โด่งดังเป็นที่จดจำของใครหลายๆ คนหากพูดถึงวัดสุทัศน์แห่งนี้ สามารถดูได้ภายในวิหารหลวงนี้ครับ โดยากันว่า..เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ บุคคลเหล่านี้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก เมื่อตายไป จึงได้รับผลแห่งกรรมอย่างทุกขเวทนาที่สุด

watsutat (10)watsutat (23) watsutat (4) watsutat (8) watsutat (9)

เรามารู้ถึง ประวัติพระศรีศากยมุนี กันบ้างดีกว่าครับ

พระศรีศากยมุนีสร้างสมัยราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ให้อัญเชิญมายังกรุงเทพ ฯ ได้ทรงมีพระราชดำริจะสร้างพระอาราม ที่มีพระวิหารใหญ่อย่างวัดพนัญเชิงที่อยุธยา โดยประดิษฐานไว้กลางพระนคร เมื่อชลอพระศรีศากยมุนีมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้วให้ประทับท่าสมโภช ๗ วัน แล้วจึงทรงชักเลื่อนองค์พระทางสถลมารค และพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินตามขบวนแห่พระในรัชสมัยของพระองค์ ทำได้เพียงอัญเชิญองค์พระขึ้นตั้งไว้watsutat (29)

การขนย้ายพระพุทธรูปหล่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศครั้งนั้นทำโดยชักพระลงแพขนาดใหญ่ล่องมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นที่ตื่นเต้นกันอยู่มาก เมื่อมาถึงพระนครจอดทอดทุ่นอยู่หน้าพระตำหนักแพแล้วได้มีการสมโภชเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นจึงเทียบท่าช้าง ชักพระขึ้นบกไปตามถนนเพื่อไปยังวัดที่สร้างใหม่ปรากฏว่า “พระใหญ่” ไม่สามารถผ่านประตูเมืองได้ ต้องรื้อประตูและกำแพงส่วนหนึ่งออกเสียก่อน การชักลากพระใหญ่มาที่วัดและยกขึ้นประดิษฐานบนรากพระวิหารที่ก่อเตรียมไว้นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระอุสาหะเสด็จฯทรงร่วมทั้งที่ทรงประชวร

watsutat (25)“พระใหญ่” องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปศิลปสุโขทัย แต่เนื่องจากที่ได้ “…กรำแดดฝน ต้องไฟป่า…” อยู่ที่สุโขทัยเป็นเวลานาน เมื่อเชิญลงมาแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำการหล่อแก้ไขพุทธลักษณะให้ต้องด้วยพระบาลี และพระอรรถกถาเมื่อประดิษฐานแล้วผู้คนจึงพากันเรียกชื่อวัดกันว่าวัดพระใหญ่บ้างวัดพระโตบ้าง ก่อนที่วัดนี้จะได้รับพระราชทานนามว่า วัดสุทัศนเทพธาราม ในรัชกาลที่ ๒ และแก้เป็นวัดสุทัศนเทพรารามในรัชกาลที่ ๓ ส่วนพระพุทธรูปได้รับการถวายนามว่า “พระศรีศากยมุนี” ในรัชกาลที่ ๔

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเชิญพระบรมราชสรีรางคารมาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้า พระพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีนี้และในวันที่ ๙ มิถุนายนของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จพระราชดำเนินถวายเครื่องราชสักการะถวายบังคม พระบรมสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ณ พระวิหารวัดสุทัศน์ฯ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคต แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นประจำตลอดมา ที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพระพุทธบัลลังก์ พระศรีศากยมุนี เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ของสมเด็จพระปรเมนมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ซึ่งโปรดเกล้าให้อัญเชิญมาบรรจุไว้เมื่อ วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓watsutat

นอกจากนี้ภายในวัดสุทัศน์ยังมีพระอุโบสถ ที่ถูกจัดว่าเป็น พระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย พระประธานภายในพระอุโบสถ คือ พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทั้งพระอุโบสถและพระประธานนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ผนังด้านในของพระอุโบสถมีภาพจิตกรรมฝาผนังฝีมือช่าง ในสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มยอด มีลัดษณะแปลกและงดงามมาก รอบ ๆ พระอุโบสถ มีซุ้มเสมา 8 ซุ้ม ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว เป็นใบเสมาคู่ซึ่งทำจากหินอ่อนสีเทา สลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูมเศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก บนกำแพงแก้วด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับประทับโปรยทานแก่ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า เกยโปรยทาน ภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูป เปรต ตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู

หากว่าใครยังไม่เคยมีโอกาสมาที่ วัดสุทัศนเทพวราราม แห่งนี้ ก็ต้องหาโอกาสมากันหน่อยแล้วล่ะครับ เพราะไม่ใช่เฉพาะการสักการะพระศรีศากยมุณี เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายในวัดสุทัศน์แห่งนี้ มีสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมายรอเราอยู่

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 06.00 – 18.30 น. โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วัดสุทัศน์เทพวราราม โทร 02-2249845

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร อยู่ตรงข้างเสาชิงช้า หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถ.บำรุงเมือง แขวงราชบพิธ เขตพระนคร สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง 10 ,12 ,15 ,19 ,35 ,42 ,48 ,73 ,96

เชิญแสดงความคิดเห็น