เมื่อพูดถึงเขื่อนกักเก็บน้ำหลายๆคนคงจะนึกถึง เขื่อนที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาลูกใหญ่ๆซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารไหลรวมกันลงมาเป็นเขื่อน เช่น เขื่อนศรีณครินทร์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นต้น แต่ทริปนี้ดูเอเซีย.คอม จะทำให้ทุกคนลืมภาพเดิมๆไปได้เลยค่ะ เพราะว่าดูเอเซียจะพาไปที่“เขื่อน” หรือที่ชาวบ้านท้องถิ่นมักเรียกว่า “เขื่อนเชี่ยวหลาน” เขื่อนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร” หรือที่คนทั่วไปขนานนามกันติดปากว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ซึ่งอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี นั่นเองค่ะ
เขื่อนรัชชประภา เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ ที่สร้างความมั่นคงให้แก่ระบบไฟฟ้า และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศชาติ นอกจากนี้ยังเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2530 และพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ในปี พ.ศ. 2531 เริ่มดำเนินการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525 แล้วเสร็จในเดือนกันยายน2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดเขื่อน และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อวันพุธที่ 30 กันยายน 2530 เขื่อนรัชชประภา สร้างขึ้นเพื่อกั้นลำน้ำคลองแสง เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ทั้งในด้าน การชลประทานเพื่อการเพาะปลูก บรรเทาอุทกภัย การประมง การท่องเที่ยว การผลิตไฟฟ้า แก้ไขน้ำเสียและผลักดันน้ำเค็ม ตั้งอยู่ที่บ้านเชี่ยวหลาน ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งอยู่บริเวณ กม 57-58 ตามเส้นทางหลวงสาย 401 ห่างออกไปอีก 51 กม.คือบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก ซึ่งตั้งอยู่ที่ กม. 109 บนถนนเส้นเดียวกัน เขื่อน เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว สูง 94 เมตร ความยาวสันเขื่อน 761 เมตร และมีเขื่อนปิดกั้นช่องเขาขาดอีก 5 แห่ง มีความจุ 5,638.8 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 185 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 2,598 ล้านลูกบาศก์เมตร บริเวณพื้นที่รอบๆ ที่ตั้งอุทยานแห่งชาติเขาสก มีแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ น้ำตกต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมด้วยการเดินเท้าเข้าไป หรือที่เรียกกันว่า เดินป่าเขาสก จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ ดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก
หลังจากที่ดูเอเซียนั่งรถตู้มาจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีซึ่งใช้เวลาเกือบ 1 ชม. ก็ถึงทางเข้าเขื่อน รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ เพราะชื่อเสียงด้านความสวยงามดังไปทั่วประเทศ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ นาทีแรกที่ได้เห็นบรรยากาศของเขื่อนที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนน้อยใหญ่ ปกคลุมด้วยเมฆหมอกบางๆตระการตาเต็มไปหมด มองลงไปเบื่องล่างผืนน้ำกว้างใหญ่ สัมผัสได้ถึงความใสสะอาด สีเขียวดั่งมรกต ด้วยตะไคร่น้ำที่อยู่ใต้พื้นผิวน้ำซึ่งมีความลึกถึงกว่า 50เมตรเชียวค่ะ ตอนแรกดูเอเซียก็นึกว่าเป็นน้ำทะเลซะอีก ดูเอเซียได้จอดรถชมความสวยงามกันที่บริเวณทางสามแยก ตรงไปจะเป็นทางไปสันเขื่อน และถ้าเราเลี้ยวขวาก็จะเป็นทางที่จะไปลงเรือ แต่ระวังนิดนึงนะคะ บริเวณนี้ถึงมีรถผ่านไปมาไม่มากนัก แต่วิ่งกันเร็วเชียวค่ะ เพราะเป็นทางลาดตามแนวภูเขา ส่วนของตัวเขื่อนจะอยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แต่ส่วนการท่องเที่ยวในบริเวณเขื่อนจะอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาสก น่าเสียดายที่ทริปนี้ดูเอเซียไม่ได้ไปชมความงดงามที่บริเวณสันเขื่อนเพราะกลัวฝนตกก่อนค่ะ ดูเอเซียจะได้ถ่ายรูปเก็บความประทับใจมาให้ทุกท่านชมกันค่ะ
จากนั้นดูเอเซียก็มุ่งหน้าต่อไปยังที่จุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่ได้บรรยากาศที่แตกต่างกันเพราะจุดนี้มีลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว มีห้องน้ำไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว สามารถมองมองเห็นจุดแรกที่เราหยุดได้ มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ และยังมีมุมที่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปหลายจุดเลยล่ะค่ะ
และแล้วดูเอเซียก็มาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวลงเรือ ตื่นเต้นค่ะ จุดนี้ก็มีมุมที่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ มีห้องน้ำ ร้านค้าสวัสดิการ ไว้คอยบริการ ด้วย ดูเอเซียไปลงเรือกันเลยค่ะ ค่าบริการเรือก็อยู่ที่ประมาณลำละ1,500-2,000 บาท ต่อ 1 ลำนั่งได้ตั้งแต่ 5-15 คน ใช้เวลาทั้งไปและกลับประมาณ 3 ชม. แล้วแต่สภาพอากาศ และนักท่องเที่ยว ว่าจะหยุดชมทัศนียภาพตามจุดต่างๆนานแค่ไหน
เมื่อลงเรือแล้ว ที่เรือจะมีเสื้อชูชีพให้ใส่ทุกคนด้วยนะคะ แล่นเรือไปเรื่อยๆก็ไปจอดอยู่ที่บริเวณ เป็นเขาหินปูนขนาดเล็กลักษณะคล้ายเขาตาปู แต่มีอยู่สามเขาใกล้กัน ชาวบ้านเรียกว่า “เขาสามเกลอ” จุดนี้ทางคนขับเรือเค้าจะจอดให้เราได้เก็บภาพ และชมธรรมชาติกันกันเต็มอิ่ม ตอนที่ดูเอเซียหยุดที่ตรงนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเขามาตกปลากันด้วย แล้วก็ไปกันต่อดูเอเซียไปพักเปลี่ยนอิริยาบทกันที่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาสกที่ ขส.3 (อ่าวสมเด็จ) รับประทานอาหารกลางวัน(ตอนบ่าย)กันที่นี่ค่ะ บริเวณนี้เป็นที่พักแบบโฮมสเตย์แบบแพ ให้นักท่องเที่ยวที่รักความสงบได้มาพักกัน เป็นของหน่วยพิทักษ์ดูแลเองค่ะ แต่ก็มีแพที่พักของหน่วยอีกสองแห่งและของเอกชนอีกหลายแห่งไม่ไกลจากจุดนี้ค่ะ หลังจากทานอาหารกันเสร็จดูเอเซียก็ทำบูญกันเล็กน้อยด้วยการให้อาหารปลาค่ะ ถุงละ 10 บาท แล้วดูเอเซียก็เดินทางกลับพร้อมความประทับใจไม่รู้ลืม
นอกจากการท่องเที่ยวทางน้ำโดยเรือแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงคือ เที่ยวทางบก หรือ การเดินป่า กิจกรรมหลักอยู่บริเวณพื้นที่รอบๆ ที่ตั้งอุทยานแห่งชาติเขาสก หรือที่ กม 109 แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้แก่ น้ำตกต่างๆ ที่เกิดจากลำน้ำในคลองศกที่ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ เกิดเป็นน้ำตกหลายแห่งให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมด้วยการเดินเท้าเข้าไป หรือที่เรียกกันว่า เดินป่าเขาสก นอกจากเดินป่าเขาสกเพื่อชมน้ำตกแล้ว จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ ดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ สำหรับที่เขาสกนี้พบว่ามีดอกบัวผุดอยู่หลายจุดและมีดอกผลัดเปลี่ยนกันบานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นฤดูจนถึงปลายฤดู เนื่องจากหาชมได้กว่ากว่าพื้นที่อื่นๆ จึงทำให้เขาสกมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของกิจกรรมท่องเที่ยวเดินป่าชมบัวผุดจนมีนักท่องเที่ยวไปชมกันมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
การเดินทาง
เขื่อนรัชชประภา ห่างจากกรุงเทพฯ 698 กิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ใช้เส้นทางสายเพชรเกษมซึ่งมีอยู่สายเดียวมุ่งตรงสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อถึงสี่แยกที่จะเข้าตัวเมืองสุราษฎร์ให้เลี้ยวขวามาตามเส้นทางหมายเลข 401 มุ่งสู่อำเภอบ้านตาขุน ขับตรงไปอีกประมาณ 67 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาเข้าเขื่อนรัชชประภา มีป้ายเขื่อนรัชชประภาบอกชัดเจน เลี้ยวขวาไปตามป้ายอีก 12 กิโลเมตร ขับตามที่ป้ายบอก จนกระทั่งถึงสันเขื่อน ก็จะถึงจุดชมวิว