เมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองเก่า มีป้อมปราการวัง วัดมหาธาตุ และของสำคัญคือ พระนอนจักรสีห์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ยาวกว่าพระนอนองค์อื่นๆ ของไทยทำเป็นแบบพระนอนอินเดีย กรขวาศอกยื่นไปทางด้านหน้าไม่ทำงอ พระกรตั้งขึ้น รับพระเศียรแบบพระนอนไทย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญของเมืองไทยอีกองค์หนึ่งครับ
ทริปนี้ดูเอเซีย.คอม พามาสักการบูชาพระสำคัญเมืองสิงห์กันถึงสองที่สองแบบครับ เราเริ่มด้วย นมัสการพระนอนที่ มีความเก่าแก่ และมีขนาดใหญ่ยาวที่สุดของเมืองไทย พระนอนจักรสีห์มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง โดยมีความเชื่อกันมานานแล้วว่า ถ้าใครที่ได้เช้ามากราบไหว้แล้ว ชีวิตจะมีแต่ความสุข ร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน มีผู้คนจำนวนมากจากทั่วสารทิศที่หลั่งไหลกันเข้ามากราบไหว้พระนอนองค์นี้กันอย่างคึกคักในทุก ๆวัน
พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาวที่สุดของประเทศ สร้างมานานเก่าแก่จนไม่ทราบ แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าในทำนองนิยายปรำปรา ทำนองเดียวกันกับพระ ปฐมเจดีย์ เช่น กล่าวว่าพระเจ้าสิงหพาหุเป็นผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าพระเจ้าพาหุคือผู้ใด ครองเมืองอะไร ในยุคสมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี องค์พระหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก องค์พระนอนจักรสีห์มี ความยาว 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว หรือประมาณ 47 เมตร เห็นจะได้
วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เป็นพระอารามหวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร อยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างประมาณ 7 เส้น (280 เมตร) ยาวประมาณ 10 เส้น (400 เมตร) สภาพที่เป็นอยู่เมื่อปี พ.ศ. 2421 จากพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา มีว่า ” วัดนี้อยู่ ห่างแม่น้ำสามสิบวา เป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ต้องทุบถนนและมีสะพานข้าม รอบวิหารพระนอนมีกำแพงแก้วเตี้ย ๆ ชั้นหนึ่ง ตัวพระวิหาร ยาว 1 เส้น 7 วา กว้าง 11 วา เสาข้างในเป็นแปดเหลี่ยม อาการที่พระพุทธไสยาสน์บรรทม ไม่เหมือนอย่างกรุงเก่า หรือกรุงเทพ ฯ พระกรทอดออกไปมากเพราะเขนยหนุนไม่สู้ชันนัก เป็นบรรทมราบ แต่พระบาทซ้อนกันตรงเหมือนอย่างพระนอนทั้งปวง “
หลักฐานที่มีอยู่คือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ เมื่อปีจอ จุลศักราช 1111 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2297 และได้เสด็จไปอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2299 เพื่อสมโภชฉลอง ต่อมาสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้เสด็จไปทรงนมัสการ เมื่อปี พ.ศ. 2421 ในครั้งนั้น พระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์มานาน พระธรรมไตรโลก (อ้น) วัดสุทัศน์ ได้ทูลขอพระราชทานเงินค่านาสำหรับวัดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์ พระองค์ก็ได้มอบถวายให้ และโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์เป็นที่ปรึกษา การปฏิสังขรณ์ทำเสร็จในปี พ.ศ. 2428 การปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดทำเมื่อปี พ.ศ. 2510
เราเข้าไปภายในตัววัด ด้านในจัดได้อย่างเป็นสัดส่วน ทางด้านหน้าเป็นทางรถสี่เลนส์ ตรงไปยังอาคารที่จอดรถที่จัดไว้อย่างกว้างขวาง ตลอดแนวถนนมีศาลานั่งพักผ่อนแบบมุงหญ้าคาเรียงรายไว้สำหรับให้ท่านได้นั่งพักผ่อนกัน ทางด้านฝั่งขวาของถนนก็เป็น มุมของอาหารการกิน และสินค้าของฝากอีกหลายชนิด เรียงเป็นแถวยาว นับจากสายตาก็เยอะนะถ้าหิวอยากกินของอร่อย ก็เชิญได้เลยครับ หลังจากเดินชมบรรยากาศเรียบร้อยเราเข้าไปภายในวัดกันเลยครับไปไหว้พระนอนกัน ก่อนทางเข้าไปยังวิหาร ก็แวะทำบุญถวายสังฆทานกับท่านพระอาจารย์กันก่อนครับ ขอไห้ดูเอเซีย.คอม เจริญก้าวหน้าครับพระอาจารย์ หรือถ้าใครเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนก็มี ศาลของเทพเจ้าของพี่น้องชาวจีนไห้กราบไหว้กันด้วยครับ มีองค์ เจ้าแม่กวนอิม ประดิษฐานอยู่ด้านใน
เราเข้ามาภายในวิหารพระนอนจักรสีห์ทางด้านหน้ามีหนังใหญ่จัดไว้ไห้ดู 4-5 แบบ ร่วมกราบไหว้และปิดทององค์พระนอนจักรสีห์ องค์ใหญ่มาก ๆครับ เก่าและสวยด้วย ถือเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญของเมืองไทยจริงๆ วันนี้ดูเอเซีย.คอม ได้มาเห็นของจริง สุดยอดความเก่าแก่ครับ จะมีผ้าจีวรคลุมด้านบนองค์พระนอน ซึ่งจะมีการสลักชื่อของคนที่เข้ามาร่วมพิธีเปลี่ยนผ้าด้วย เขาจะจัดพิธี ทำบุญใหญ่และเปลี่ยนผ้า ในวันที่ 15 เมษายน ของทุกปี ชาวบ้านบอกว่ามีคนเข้ามาร่วมพิธีแน่นวัดไปหมด ใครอยากร่วมทำบุญก็เชิญได้เลยเขาจัดทุกปี ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีผู้คนเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก ครับ ทางด้านในมีพระพุทธรูปที่สำคัญอีกคือ หลวงพ่อพระแก้วและหลวงพ่อพระกาฬ ซึ่งในสมันราชการที่ 5 ใช้เป็นพระประธานในการ ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ของข้าราชการในสมัยนั้น(หรือการสาบานตนก่อนเข้าทำงานครับ) ถ้าใครทำผิดกับคำสาบานก็จะมีอันเป็นไป ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากครับทุกท่าน ทางด้านวิหารยังมีหระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ลพบุรี อีกหลายองค์ไห้พวกเราตามกราบไหว้กัน มีของเก่าในลุ่มแม่น้ำน้อยและลุ่มน้ำป่าสัก และที่ค้นพบภายในวัดแห่งนี้อีกหลายชิ้น เครื่องเบญจรงค์สวยงามมาก ๆ จัดแสดงให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกัน นอกจากนั้นยังจัดแสดงเกี่ยวกับเงินไทยตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน มีทั้งแบงค์ทั้งเหรียญ ทำไห้เราได้เห็นเงินที่เขาใช้กันในอดีตว่าเป็นอย่างไร มีตั้งแต่ แบงค์ห้าสิบสตางค์ แบงค์หนึ่งบาท เรียกว่าเข้ามาภายในวิหารคุ้มเลยครับ
หลังจากเหน็ดเหนื่อยจาการกราบไหว้พระนอนและชมของโบราณต่าง ๆ แล้ว ก็เชิญที่ศาลาทานบารมี กันเลยครับ ทางด้านในมี โอเลี้ยงเย็น ๆ และข้าวต้ม คอยบริการผู้ที่เข้ามาทำบุญที่วัด ข้าวต้มก็รสอร่อยโอเลี้ยงก็สดชื่นครับ มีแม่ครัวก็เป็นชาวบ้านในละแวกนั้นที่เข้ามาช่วยกันทำอาหารเห็นภาพแล้วประทับใจมากครับคนไทยอยู่ที่ไหนก็สามัคคีกันได้ และมีน้อง ๆนักเรียนคนในหมู่บ้านพากันเข้ามาช่วยทางวัดล้างถ้วยล้างจานน่ารักมาก ๆครับ ขอไห้ทำดีแบบนี้นะครับน้อง ๆ สุดยอดเด็กดี ดูเอเซีย.คอมขอยกนิ้วไห้เลย เด็กไทยเป็นอย่างนี้ชาติเราคงเจริญขึ้นอีกเยอะ อดไม่ได้เลยไห้รางวัลความดีของน้อง ๆไปนิดหน่อยครับ การมาไหว้พระนอนจักรสีห์เป็นอันว่าเสร็จสมบูรณ์ กราบลาท่านอาจารย์นั่งพักผ่อนเล็กน้อย แล้วเดินทางต่อครับ เป้าหมายคือ วัดพิกุลทองพระอารามหลวง หรือวัดหลวงพ่อแพนั่นเอง ไปกันเลยครับ วัดอยู่ห่างจากวัดพระนอน ไปประมาณ 15 กิเมตร ไปถนนเส้น อ.ท่าช้างเดินทาง 20 นาที่ถึงครับ
วัดพิกุลทองเป็นพระอาราหลวงชั้นโท โดยเป็นวัดของหลวงพ่อแพ ซึ่งเป็นพระเกจิรูปหนึ่งของเมืองไทยมีผู้เคารพศรัทธาในตัวท่านเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวสิงห์บุรี แม้ว่าท่านจะมรภาพไปแล้ว แต่ทางวัดก็ยังเก็บร่างของท่านไว้ ให้พวกเราได้กราบไหว้กัน โดยจัดสถานที่ไว้ในวิหารภายในตัววัดด้านในเชิญพุทศาสนิกชนเข้าไปสักการะ บูชากันได้เลยครับทุกท่าน
พระธรรมมุนี หรือหลวงพ่อแพ ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่าง อเนก อนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมาหลวงพ่อแพ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไปได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่างๆมากมาย
ภายในบริเวณวัดส่วนหน้า วัดพิกุลทองมีรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อแพองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายในโบสถ์อันสวยงามที่เหล่าลูกศิษย์ร่วมสร้างถวายแด่หลวงพ่อ เข้าไปกราบไหว้กันได้ครับ นอกจากนั้นยังมี พระพุทธรูปประทานพรองค์ใหญ่คือพระพุทธสุวรรณมงคล มหามุนี เป็นพระนั่งปางประทานพรขนาดใหญ่ที่สุดในสิงห์บุรี คล้ายปางมารวิชัย ต่างกันที่พระหัตถ์ซ้ายแนบอก หน้าตักกว้างราว 22 ม. สูงจากพื้นถึงพระเกตุราว 42 ม. องค์พระพุทธรูปบุด้วยโมเสกทองจากประเทศอิตาลี หลวงพ่อแพดำริให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2517 เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนให้เกิดความศรัทธาในพุทธศาสนา เร่งสั่งสมบุญกุศลเมื่อยังมีชีวิตอยู่ มีพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังองค์สวยมากเขาไปสักการะกันได้เลยครับ และไต้ฐานพระพุทธสุวรรณมงคล มหามุนี ยังที่มุมวัตถุมงคลของหลวงพ่อแพ ที่มีพุธคุณอย่างยิ่งในหลายด้าน เชิญบูชาติดตัวกันตามสบายครับหรืจะไปให้อาหารปลาตรงบริเวณริมน้ำก็เป็นการให้ทานอีกแบบหนึ่ง
พระสังกัจจายน์ หรือ พระสังกัจจายนะ ที่ ชาวพุทธทั่วไปมักเรียกเพี้ยนไปเป็น พระสังข์กระจาย นั้น แท้ที่จริงก็คือ พระมหาสังกัจจายนเถระ หรือ พระมหากัจจายนะ เถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในครั้งพุทธกาล
พระสังกัจจายน์ ที่เราเห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน เป็นภาพหรือรูปปั้นที่อ้วน พุงพลุ้ย ใบหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มร่าอย่างมีเมตตา เป็นการแสดงถึงการมีโชค มีลาภ มีเมตตามหานิยมแก่ผู้สักการะบูชา แต่ก่อนที่จะมามีรูปลักษณ์อย่างนี้ พระสังกัจจายน์ เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณผุดผ่อง ดุจทองคำ จนเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่คนทั่วไป ไม่ว่าชาย หรือหญิง เรียกว่าใคร ๆ ก็อยากเห็น อยากพบ อยากทำบุญด้วย เป็นเมตตามหานิยมที่เกิดขึ้นจากตัวท่านเอง จนสตรีเพศทั้งหลายต่างก็พากันหลงใหล ไปอยู่ที่ไหนก็มีสตรีหลายคนมาคอยเฝ้าดู เฝ้าชมกันอย่างไม่ลุกไปไหน จนเป็นการขัดขวาง การปฏิบัติสมณธรรม ท่านจึงไปทูลขออนุญาตพระพุทธองค์ เพื่อขอแปลงกาย ไม่ให้หล่อเหลางดงาม ซึ่งก็ทรงมีพุทธอนุญาตให้เป็นไปตามที่ขอ
แต่บางตำนานก็ว่าท่านรูปงามเสียจนเทวดาและมนุษย์ยกย่องท่านว่างามทัดเทียมพระพุทธเจ้า พระมหากัจจายนะเห็นว่าไม่เหมาะสม จึงเนรมิตรูปกายท่านออกมาแบบนี้แทน
พระสังกัจจายน์ จึงใช้ฤทธิ์อภิญญาของท่านแปลงกายให้อ้วนพุงพลุ้ย จนถึงต้องเอามืออุ้มไว้ เพราะมันใหญ่มาก แต่ใบหน้าก็ยังอวบอิ่มยิ้มร่าด้วยเมตตาบารมีแห่งความมีโชค มีลาภ ก็หมดปัญหาไป สำหรับการหลงใหล ในรูปร่างหน้าตา แต่ผู้คนก็ยังติดใจในเมตตาบารมีของท่านก็ยังทำบุญกับท่านอยู่เสมอ เปรียบได้กับ พระสีวลี ซึ่งเป็นพระอรหันต์แห่งโชคลาภ ก็ว่าได้
ในเวลาที่หมู่สงฆ์จะต้องเดินทางจาริกไปทีละมาก ๆ หาก พระสีวลี ไม่สามารถที่จะเดินทางไปด้วยได้ หรือไม่อยู่ พระพุทธองค์ก็ทรงเรียกให้ พระสังกัจจายน์ ไปด้วย เพื่อว่าหมู่สงฆ์จะได้ไม่ติดขัดเรื่องบิณฑบาตร ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น จริง ๆ อาหารบิณฑบาตร ก็จะเหลือเฟือไม่ขาดแคลน ถึงแม้ว่าหนทางนั้นจะมีหมู่บ้าน และผู้คนไม่มากนักก็ตาม เมื่อพระสีวลีไม่อยู่ แต่มี พระสังกัจจายน์ มา ก็เหมือนกับมี พระสีวลีอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสงสัย เมื่อเห็นรูปปั้นท่านประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใด ก็มักไปบูชาขอโชค ขอลาภกันอยู่เสมอ แล้วก็นำองค์ท่านเล็ก ๆ ไปบูชาที่บ้าน ที่ร้านค้า บริษัท เพื่อกิจการค้าขาย และการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ จะได้ก้าวหน้า เจริญเติบโต ด้วยบารมีของท่าน และผู้บูชาสักการะเอง
วัดพระนอนจักรสีห์และพิกุลทองถือว่าเป็นวัดที่สำคัญทั้งสองวัดของพี่น้องชาวสิงห์บุรี ถือว่าการมาของเราในคราวนี้ ได้กราบพระศักดิ์สิทธิ์ของเมืองสิงห์กันถึงสองวัด แถมได้เห็นพระที่มีขนาดใหญ่ถึงสององค์ คุ้มครับทุกท่าน และที่สำคัญไม่ไกลจากเมืองกรุงเลยไปกลับวันเดียวได้สบาย
วัดระนอนจักรสีห์และวัดพิกุลทอง อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก หลังจากสักการะพระศักดิ์สิทธ์แล้วก็เลยไปคูประวัติศาสตร์ที่ ค่ายบางระจันหรือ จะไปดูของโบราณรุ่มแม่น้ำน้อย แล้วเดินทางต่อไปดูวัดเก่าที่วัดหน้าพระธาตุหรือเข้าตัวเมืองหาของอร่อยกิน ก็เดินทางได้สบายครับ วัดพระนอนจักรสีห์ตั้งอยู่ที่ ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ .สิงห์บุรี วัดพิกุลทองตั้งอยู่ที่ ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี โทรติดต่อประชาสัมพันธ์จังหวัด เบอร์ 036-507135 สอบถามข้อมูลก่อนเดินทางครับ
การเดินทาง
จากกรุงเทพ เดินทางมาบนถนนสายเอเชีย เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมืองสิงห์บุรี ข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยามา แล้วเลี้ยวซ้าย ไปตามทางหมายเลข 3032 ท่านจะถึงวัดพระนอนจักรสีห์ก่อนหลัง จากนั้นก็เดินทางไปวัดพิกุลทอง โดยเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทาง อ.ท่าช้าง ไปอีกประมาณ 15 กิโลก็ถึง อยู่ไม่ห่างกันมากครับ เดินทางสะดวกครับ
เป็นไงครับทริปนี้ดูเอเซียพามากราบไหว้พระสำคัญของเมืองสิงห์ถึงสองวัด สุดคุ้มจริง ๆ ครับ อย่าลืมนะครับถ้าใครอยากไหว้พระทำบุญ ต้องมาที่สิงห์บุรีครับ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน อิ่มบุญกลับบ้านทุกคน และอยู่ใกล้กรุงเทพนิดเดียวครับ