ถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากมายไม่ว่าจะที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นเอง หรือมนุษย์สร้างขึ้นเองแม้กระทั้งธรรมชาติสร้างขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้วมนุษย์เราก็เข้าไปแต่งเติมอีกนิดหนึ่งก็กลายเป็นที่เที่ยวชื่อเสียงโดดดังเพียงเวลาไม่นาน สถานที่เหล่านี้ที่มนุษย์เข้าไปแต่งเติมโดยมากจะไปเที่ยวได้ครั้งเดียวต่อปีและบางที่อาจจะเจาะจงให้ไปได้แค่ฤดูเดียวเท่านั้นเพราะปัจจัยหลายๆ ด้านและความพร้อมของสถานที่เอง พูดแล้วงงครับ เข้าเรื่องดีกว่า
สวนองุ่นเอเดนก่อนขึ้นม่อนแจ่ม
ดูเอเซีย.คอม พาไปชม “ม่อนแจ่ม” ที่เที่ยวไม่เก่าไม่ใหม่ สำหรับคนที่เคยมาแล้วก็ประทับใจกัน ส่วนใครยังไม่เคยมาก็ชมผ่านจอคอมกันไปก่อนครับ ทำไมทริปนี้ดูเอเซียจึงอยากจะกลับไปที่ม่อนแจ่มอีกครั้งก็เนื่องจาก อยากจะให้เพื่อนๆ ได้อัพเดทและปลุกกระแสท่องเที่ยวบ้านเราให้ครึกคักครับ
“ม่อนแจ่ม” เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียงแค่ 40 นาที สำหรับการเดินทางก็จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่ – ฝาง ตรงไปถึงอำเภอแม่ริมบริเวณ กิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1096 สายแม่ริม – สะเมิง สำหรับใครที่ไม่คุ้นกับเส้นทาง ถ้าหากว่าเคยมาเที่ยวน้ำตกแม่สา หรือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ก็ใช่เลย เพราะมันคือเส้นทางเดียวกัน พอถึงกิโลเมตรที่ 15 บ้านโป่ง ก็เลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะผ่านศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย แล้วขับต่อมายังหมู่บ้านม้ง แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นไปยังม่อนแจ่มแค้มปิ้ง ได้เลย
ม่อนแจ่ม คือพื้นที่บนสันเขา ในระดับความสูงประมาณ1,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย บนม่อนแจ่มจะมีอากาศหนาวเย็นสบายตลอดทั้งปี ส่วนในช่วงฤดูหนาว ก็แบบว่า หนาวเย็นสุด ๆ ไปเลย ใครที่จะมาต้องเตรียมเสื้อกันหนาวมาแบบชุดใหญ่เลย
ก่อนที่จะพาชมให้ทั่วม่อนแจ่ม จะขอเล่าถึงประวัติย่อ ๆ ถึงที่มาที่ไปสักนิด เดิมที่แห่งนี้เป็นขุนเขาว่างเปล่า ถูกทิ้งร้างให้มีหญ้าคาขึ้นเต็มไปหมด เมื่อครั้งที่กษัตริย์สวีเดนเสด็จประพาสป่าแถวนี้ เมื่อเสด็จขึ้นมายังบริเวณนี้ ก็ทรงชมว่าเป็นจุดที่สวยงามมาก น่าจะสร้างประโยชน์ได้ เลยคุยกับหัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยว่า อยากจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้จากที่รกร้างว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์ โดยยึดหลักความพอเพียงเป็นที่ตั้ง และเมื่อลงมือพัฒนาพื้นที่แล้ว จึงได้ตั้งชื่อ “ม่อนแจ่ม”ขึ้นมา หลายคนฟังแล้วอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องตั้งชื่อว่าม่อนแจ่ม เพราะว่าเค้าตั้งให้สอดรับกับชื่อ “ม่อนล่อง” ที่มีอยู่เดิม อีกทั้งเป็นชื่อที่ฟังแล้วไพเราะ ติดหู และที่สำคัญคือวิวทิวทัศน์บนม่อนแจ่มแห่งนี้ มันช่างเจิดแจ่มจรรโลงใจเป็นที่สุด
บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ม่อนแจ่มแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ ๆ ด้วยกัน เริ่มกันตั้งแต่ บนพื้นที่กว่า40ไร่ของม่อนแจ่ม ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย เริ่มจากจุดบังคับที่ทุกคนต้องแวะก่อนนั่นก็คือศาลารับรองแบบเปิดโล่ง ที่ใช้เป็นจุดต้อนรับนักท่องเที่ยวและเป็นห้องอาหารไปในตัว แบบที่กินข้าวไปชมวิวไป หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จแล้ว ก็เลือกนั่งได้ตามใจชอบ ใครชอบแบบโต๊ะยาว ทานกันหลาย ๆ คน ก็เลือกนั่งในศาลาได้เลย หรือใครมาเดี่ยวชอบนั่งแบบบาร์ ก็ขยับมาข้างหน้าอีกนิด แต่ที่พิเศษสุด ๆ แบบได้ชมธรรมชาติเต็มหูเต็มตา
ของที่ชาวบ้านน้ำมาขายให้นักท่องเที่ยวช่วยอุดหนุนหน่อยนะครับ