วัดไผ่โรงวัว
ตั้งแต่เด็กๆเราได้ถูกสั่งสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นซักทีว่านรก สวรรค์ เป็นอย่างไร..มีจริงหรือไม่ กว่าจะได้รู้ความจริงก็คงต้องตายไปซะก่อน แต่ถ้าตายไปแล้ว แล้วใครล่ะจะมาเล่าให้ฟัง คิดแล้วปวดหัวพิลึก เอาเป็นว่าตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ยังพอจะทำให้เราๆท่านๆที่ยังมีชีวิตอยู่พอจะจินตนาการถึงภาพของสวรรค์และนรกได้บ้างตามหลักความเชื่อ วันนี้ดูเอเซียจึงจะขอนำเสนอการท่องเที่ยวในนรกภูมิเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ไว้เตือนใจหลายๆคนที่อาจจะหลงลืมเรื่องบาปบุญคุณโทษไปแล้ว หากใครคิดจะทำอะไรไม่ไดี หากได้มาดูเรื่องรารวในทริปนี้ ก็ขอให้คิดซะใหม่นะครับ แต่ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนทำดีทั้งนั้นแหละครับ
เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เกริ่นกันมาเยอะละ (อ่านแล้วอย่าเพิ่งนึกว่าดูเอเซียบวชเป็นพระอยู่นะครับ..อิอิ) เรื่องราวของนรกภูมินี้ หลายๆที่ หลายๆวัด ก็คงมีการจัดจำลองไว้ให้ได้เห็นกันบ้าง แต่ที่ดูเอเซียจะพาไปวันนี้ เป็นนรกภูมิที่วัดไผ่โรงวัวได้จัดสร้างไว้มานานเกือบ 20 ปี จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมาทัศนศึกษากับทางโรงเรียน บริเวณวัดก็ไม่ได้กว้างขวางมากมายขนาดนี้ แต่สิ่งที่จำได้ติดตาคือ เมืองนรกภูมิที่มีการจำลองเรื่องราวและการลงโทษของผู้ที่ทำบาป แบบชนิดที่ว่าพอเห็นแล้ว ดูเอเซียขยาด ไม่กล้าทำบาป เรียกได้ว่ามดตัวเดียวยังไม่กล้าเหยียบเลย พ่อแม่ตักเตือนว่ากล่าวอะไร ไม่มีเถียงซักคำ ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะกลัวตายไปแล้วโดนลงโทษอย่างที่เห็น นึกในใจอย่างน้อยๆ ช่วงเวลานั้นก็ได้เป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะครับ
วัดไผ่โรงวัวแห่งนี้ สร้างขึ้นสมัยปี พ.ศ. 2469 อยู่ที่ตำบลบางตาเถร ริมคลองพระยาบันลือ อำเภอสองพี่น้อง จากประตูทางเข้าด้านขวามือ เราจะพบพระพุทธรูปจำนวนมาก ซึ่งพระพุทธรูปเหล่านี้เป็นการจัดสร้างโดยความเชื่อของแต่ละบุคคล ที่เชื่อว่าหากตายไปแล้วถ้านำอัฐิมาฝังไว้ใต้องค์พระพุทธรูป จะได้ไปสู่สุขติและใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากขึ้น หรือได้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะเป็นร้อยองค์ได้ หรืออาจจะมากกว่านั้น แม้แต่พื้นที่บางส่วนที่เห็นเป็นพงหญ้ารก ก็ยังมีการจัดสร้างพระพุทธรูปไว้
เข้าสู่ลานจอดรถภายในวัด บริเวณพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาว องค์ใหญ่มหึมา ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้คือ พระกุสันโธ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยองค์สีขาว เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก และภายในใกล้ๆกันยังมี ‘ฆ้อง” มี “บาตร” ที่ใบใหญ่ที่สุดในโลกอีกเช่นกัน วัดไผ่โรงวัวแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธโคดม” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๐ เมตร สูง ๒๖ เมตร ภายในบริเวณวัด มีสิ่งก่อสร้าง เกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น วังสามฤดูของเจ้าชายสิทธัตถะ และ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ซึ่งจำลองตำบลที่ประสูติ สถานที่แสดงปฐมเทศนา ตรัสรู้ และปรินิพพาน
พื้นที่ในส่วนนรกภูมิ แสดงให้เห็นความทุกข์ทรมานของคนที่ทำบาปในแต่ละกรรม มีทั้งกรรมของผู้ที่ตบตีพ่อแม่ ตายไปตกนรกจะเป็นเปรตมือเท้าใหญ่ ผู้ทีทำกรรมพูดโกหกพ่อแม่ ตายไปจะถูกทรมานโดยการดึงลิ้น พวกที่ชอบดูภาพลามก ตายไปก็จะโดนลิ่มตอกเข้าที่ตา ฯลฯ เห็นแล้วทั้งน่ากลัว ทั้งคิดไปทั่วว่าเราเคยทำบาป ทำกรรม อะไรมาบ้าง ตายไปเราจะโดนแบบนี้จริงเหรอ ก็พาให้สำนึกว่าคนเราควรหมั่นทำความดี ยึดความดีเป็นที่ตั้ง
นี่เป็นเรื่องราวของนรกที่ดูเอเซียพอจะหามาให้อ่านเป็นตัวอย่างกันครับ
มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด
อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆ มหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มี 128 ขุม
ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรก มี 320 ขุม รวมทั้งหมด นรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุที่มีเขาตรีกูฏ 3 ลูก รองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล
สภาพของมหานรก มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆ เท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ คือ พอ มองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรก ก็ ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบ กันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลกเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้นคือ ส่วนเต็มๆ ของกรรม ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คืออดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำ กรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำเมื่อตายแล้ว กระแสบาป จะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไป ยมโลก สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของ บาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืด เหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000 ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1 อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก
อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมาน ก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้ เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ในอุสสทนรกเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป
ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอก อุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้วยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ
- เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก ว่าจะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น
- เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น
- หากมีมนุษย์ผู้ใดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ใน ภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคน ในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับ ภพภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียด ที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆเมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญ ก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิต ไม่ถึงกับเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ผ่องใส หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว
ในระหว่าง 7 วันนั้น ถ้ากาย ละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคย ทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไป เกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7 วัน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอก แหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน ซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรกหลายล้านเท่า
ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงรายถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อน แรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึง บุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ ลงทัณฑ์ทรมาน มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียวหรือ ดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ
การเดินทาง ทางรถยนต์ :จากแยกนครชัยศรี ขับตรงไป ประมาณ 15.4 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวามือไปจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเลี้ยวขวามือแล้วขับตรงไป ประมาณ 1.2 กิโลเมตร พบสามแยก ( แยกซ้ายไปจังหวัดสุพรรณบุรี ตรงไปไปจังหวัดนครปฐม ) ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปจังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี โดย เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรีจะผ่านอำเภอกำแพงแสน ผ่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านทางเข้าโรงเรียนการบินกำแพงแสน จากนั้นขับไปอีกจะพบป้ายบอกทางไปวัดไผ่โรงวัว ให้ท่านขับตรงไปก่อน จากนั้นจะมีป้ายบอกทางให้กลับรถ ( U – Turn ) หลังจากกลับรถแล้ว ประมาณ 200 เมตร ให้ท่านเลี้ยวซ้ายตามป้ายบอกทาง จากนั้นวิ่งไปตามเส้นทางอีกประมาณ 9 กิโลเมตร จะพบสามแยก ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 3422 ( ไปอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดอยุธยา ) วิ่งไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร ก็จะถึงวัดไผ่โรงวัว ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของท่าน
หมายเหตุ :-ระยะทางจากแยกนครชัยศรี – แยกบ้านแพ้ว ประมาณ 8.5 กิโลเมตร
-ระยะทางจากแยกบ้านแพ้ว – สะพานไปตัวเมืองนครปฐม ประมาณ 0.5 กิโลเมตร
-ระยะทางจากสะพานไปตัวเมืองนครปฐม – แยกไปจังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 6.4 กิโลเมตร
ขอบคุณภาพ www.suphan.biz/WatPairogwour