ดูเอเซีย.คอม ขอนำทุกท่านชมศิลปะความงดงามอย่างไทย ไหว้พระคู่เมือง ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) อยู่ในเมืองหลวงของราชอาณาจักรไทย ที่มีความหมาย เป็นนครแห่งทวยเทพ มีหัวใจอยู่ที่เกาะกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นพื้นที่แรกของการสร้างพระนคร แหล่งรวมความงดงามของศิลปะแบบไทยแท้แต่โบราณกาล คือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดพระแก้ว นี่คือหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคนในความงดงามอย่างไทยแท้ ที่ขจรไกลไปทั่วโลก ครับ และการเข้ามาไหว้พระที่วัดพระแก้วแห่งนี้แล้วมีความเชื่อว่า แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา ครับ
วัดพระแก้วอยู่ในเขตพระบรมราชวัง
เมื่อ ดูเอเซีย.คอม มาถึงตรงประตูหน้าทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเยอะมาก ๆ ที่เข้ามาชมความงามของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากมาชมความสวยงามและกราบไหว้พระศักดิ์สิทธิ์คือ องค์พระแก้วมรกต ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยครับ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าการแต่งกายเข้าไปชมนั้น ต้องสุภาพเรียบร้อย ทั้งชายและหญิง ต้องใส่กางเกงขายาวที่ไม่ขาด เสื้อต้องไม่ใส่แขนกุดหรือเสื้อก้าม หรือถ้าเผลอใส่มาทางเจ้าหน้าที่เขาจัดชุดเตรียมไว้ไห้แต่อาจจะไม่เพียงพอ ยังไงถ้าจะเข้าไปชมก็แต่งกายมาไห้เรียบร้อยนะครับทุกท่าน
การสร้างวัดในพระราชฐานนั้นเคยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ครั้งเมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีก็มีวัดมหาธาตุอยู่ในบริเวณราชวัง ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีก็มีวัดศรีสรรเพชญ อยู่ในบริเวณพระราชวัง ตลอดจนครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชทรงสร้างกรุงเทพมหานครฯ ก็มีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ยังมีอีกเหตุหนึ่งคือทรงได้ พระพุทธมหามนีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตมาเป็นศรีพระนครจากกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว จึงทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขึ้นในบริเวณพระบรมมหาราชวัง พร้อมกับสร้างกรุงเทพ ฯ ขึ้นเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ 2325 วัดพระศรีรัตนศาสดารามสร้างอยู่ 2 ปี จึงได้อันเชิญพระแก้วมรกตแห่ จากวัดอรุณราชวราราม ฝั่งธนบุรี มาประดิษฐาน ที่ในพระอุโบสถเมื่อ พ.ศ 2327 วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่มีเฉพาะเขตพุทธาวาส ไม่มีเขตสังฆาวาสให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา ทั้งนี้เป็นการสร้างตามธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณ ทั้งนี้เพื่อเป็นทีประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมือง
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ห้ามเข้าไปถ่ายด้านใน
วัดพระศรีรัตนศาสดารามพระอารามหลวงชั้นพิเศษ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวังมีการแบ่งเขตระหว่างพระราชวังกับวัดโดยส่วนของวัดนั้นมีระเบียงคดล้อมรอบ ซึ่งตั้งแต่เมื่อแรกสร้างในรัชกาลที่ 1-3 มีพระอุโบสถเป็นประธานของวัด ด้านหน้าพระอุโบสถมีเจดีย์ทอง 2 องค์ ประดิษฐานอยู่ มีระเบียงคดล้อมรอบ ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีการสร้างอาคารเพิ่มเติมใหม่ทั้งแถว ได้แก่ สุวรรณเจดีย์ มณฑป และปราสาทพระเทพบิดร และโปรดเกล้าฯ ให้ชะลอเจดีย์ทองทั้งคู่นั้นมาประดิษฐานด้านหน้าของปราสาทพระเทพบิดรแทน และได้มีการขยายแนวระเบียงคดใหม่ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยคือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิกร(พระแก้วมรกต) เป็นองค์พระประธานและยังมีพระ พระพุทธรูปสำคัญ อย่างพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระสัมพุทธพรรณี พระชัยหลังช้าง พระคันธารราษฎร์ พระนาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์และงดงามด้วยศิลปะการสร้างยิ่งนัก ภายในบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดารามประกอบด้วยศาสนสถานและศาสนวัตถุต่างๆ ที่นับเป็นยอดของฝีมือช่างในเวลาที่จัดสร้าง ครับ แต่ละสถานที่สวยจริง ๆ
ยักษ์เฝ้าประตู ทางเข้า ทศกัณฐ์กับสหัสสเดชะ
ตำนานพระแก้วมรกต
มีตำนานที่ควรเชื่อถือได้กล่าวว่าเมื่อ พ.ศ 1977 มีฟ้าผ่าเจดีย์องค์หนึ่ง ณ เมืองเชียงราย (คือวัดพระแก้วในปัจจุบัน)เค้นพบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ชาวเชียงรายได้เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปปิดทองคำทึบทั่วทั้งองค์ สำคัญว่าเป็นพระพุทธรูปศิลาสามัญ จึงอันเชิญไว้ในวิหารแห่งหนึ่ง แต่จากนั้นสองสามเดือน ปูนที่ลงรักปิดทองหุ้มทั่วพระองค์นั้น กะเทาะออกมาที่ปลายพระนาสิก เจ้าอธิการในอารามนั้นได้เห็นเป็นแก้วสีเขียวงาม คือหยก ชนิดหนึ่ง จึงแกะออกไปทั่วทั้งองค์ คนทั้งปวงจึงได้เห็น และทราบความว่า เป็นพระพุทธรูปแก้วทึบทั้งแท่งบริสุทธิ์ดีไม่บุบสลาย หน้าตักกว้าง 48.3 ซ.ม สูงทั้งฐาน 66 ซ.ม คนชาวเชียงรายและเมืองอื่น ๆ ก็พากันไปบูชานมัสการมากมาย จากนั้นพระเจ้าฝั่งแกนเจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้มีการอัญเชิญเพื่อจะมาประดิษฐานยังเมืองเชียงใหม่ แต่ก็เกิดปาฏิหาริย์ทำให้พระแก้วมรกตนั้นต้องมาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้า เมืองลำปาง จนมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1998-2030)เมื่อคราวที่สร้างวัดเจดีย์หลวงเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากนครลำปางมาประดิษฐาน ในจระนำซุ้มด้านทิศตะวันออกของเจดีย์หลวงเมืองเชียงใหม่ จนมาถึงเมื่อคราวพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระอุปราชแห่งอาณาจักรล้านช้างมาปกครองล้านนาเป็นเวลา 2 ปี (ระหว่างปี พ.ศ. 2098-2090 ) พระราชบิดาได้เสด็จสวรรคต พระเจ้าไชยเชษฐา จึงเสด็จกลับไปครองอาณาจักรล้านช้างพร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตไปยังหลวงพระบางและภายหลังได้ย้ายไปประดิษฐานยังวัดพระแก้วในนครเวียงจันทน์ จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรีจึงได้ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทร์มายังกรุงธนบุรีโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเมื่อย้ายเมืองหลวงมาเป็นกรุงเทพมหานครแล้วจึงได้สร้างพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อประดิษฐาน มาจนถึงทุกวันนี้
ยักษ์ทวารบาลประจำประตู เมื่อเราเดินลอดผ่านซุ้มประตูเข้ามาภายในวัด เราก็จะเห็นยักษ์ยืนเฝ้าซุ้มประตู ต่าง ๆไว้ สร้างได้อย่างสวยงาม และตัวใหญ่มาก ๆ เหมือนยักษ์ตัวใหญ่ที่เราเคยรู้จักในละคร ซึ่งประกอบไปด้วย
ประตูทั้งเจ็ดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มียักษ์เป็นทวารบาลอยู่คู่หนึ่งยกเว้นแต่ประตูวิหารยอดไม่มียักษ์ทวารบาล โดยประตูหน้าวัดมียักษ์มักรกัณฐ์ เป็นยักษ์กายสีเขียว กับยักษ์วิรุฬหก เป็นยักษ์กายสีขาวหรือสีน้ำเงินแก่
ประตูวัดพระศรีรัตนศาสดารามมียักษ์ฝาแฝดเป็นทวารบาล ด้านซ้ายชื่อทศคีรีธร ด้านขวาชื่อทศคีรีวัน ทั้งสองเป็นลูกทศกัณฐ์กับนางช้างจึงมีปลายจมูกเป็นงวงช้างขนาดเล็กพอเป็นเครื่องหมาย
หลังจากเราชมยักษ์ตัวใหญ่แล้ว เราก็เข้าไปชมความงามของ พระมณฑป,พระศรีรัตนเจดีย์,และอุโบสถ,เจดีย์ทอง,ปราสาทพระเทพบิดร กันต่อเลยและร่วมกราบไหว้นมัสการองค์พระแก้วมรกต พระคู่เมืองของเราชาวไทย ไปกันเลยครับ
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2326 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง ลักษณะของพระอุโบสถจัดเป็นแบบประเพณีนิยมที่สืบทอดมาจากกรุงศรีอยุธยาและมีระเบียบเดียวกับวัดโดยทั่วไปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้แก่ การมีพระอุโบสถเป็นประธานหลักของวัด มีระเบียงคดล้อมรอบ มีสิ่งปลูกสร้างสำคัญอื่นๆ ได้แก่ เจดีย์ มณฑป หอระฆัง หอพระมณเฑียรธรรม ศาลาราย
ซ้ายพระอัษฏามหาเจดีย์หรือพระปรางค์ กลางปราสาทพระเทพบิดร ขวาองค์วิหารยอด
ปราสาทเทพบิดร
เนื่องจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดสำคัญในเขตพระบรมมหาราชวัง จึงมีงานศิลปกรรมที่มีลักษณะพิเศษต่างจากวัดโดยทั่วๆ ไปหลายประการ ในส่วนของงานประดับตกแต่ง ตัวอย่างเช่น ส่วนฐานอาคารที่เรียกว่าเชิงบาตรหรือเอวขันธ์ ประดับด้วยแถวครุฑแบก ซึ่งเป็นครุฑยุคนาคเรียงล้อมรอบฐาน การประดับแนวครุฑแบกนี้โดยทั่วไปพบอยู่ในงานประดับเจดีย์ ส่วนที่เป็นงานประดับฐานอาคารพบเฉพาะที่เป็นปราสาทที่ประทับของพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ ซึ่งพบหลักฐานแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเขมร การที่อาคารมีครุฑแบกเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่งอาจตีความได้ว่าผู้อยู่ในอาคารนั้นเป็นเชื้อสายของพระนารายณ์
งานจิตรกรรมภายในพระอุโบสถ ตามประวัติกล่าวว่าแต่เดิมเป็นงานเขียนในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการซ่อมแซมในสมัยรัชกาลที่ 3 และการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4 กล่าวว่ามีการเขียนภาพจิตรกรรมใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการบูรณะเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ 6 อีกด้วย อย่างไรก็ตามงานเขียนทั้งหมดยังเป็นงานจิตรกรรมแบบไทยประเพณีที่มีมาแต่ครั้งโบราณ ทั้งเรื่องราวและรูปแบบที่เขียน กล่าวคือ ผนังสกัดด้านหลักพระประธานเขียนเรื่อง ไตรภูมิโลกสัณฐาน ด้านหน้าเป็นพุทธประวัติตอนมารผจญ ผนังด้านข้างเหนือกรอบหน้าต่างทั้ง 2 ผนังเขียนภาพพุทธประวัติตอนต่างๆ เต็มพื้นที่และผนังระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพทศชาติ ดูเอเซีย .คอม เข้าไปสักการองค์พระแก้วมรกต มีผู้คนเข้ามากราบไหว้เยอะมาก ๆ เขาจะให้เรากราบไหว้ได้เฉพาะด้านหน้าอุโบสถครับ แต่จะเปิดช่องหน้าต่างไว้ให้เราได้เห็นองค์พระแก้วมรกตด้วย เห็นองค์จริงแล้ว สวยงามสีเขียวเข้มเป็นบุญตาครับ ครั้งหนึ่งของชีวิตที่ได้มาเห็นและกราบไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเรา เป็นอะไร ที่ต้องมาไห้ได้สักครั้งครับ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังตามแนวระเบียงคด
พระศรีรัตนเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มาจากลังกา พระศรีรันเจดีย์สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2398 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยถ่ายแบบมาจากเจดีย์ประธานวัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ที่ก่ออิฐ ถือปูน ประดับกระเบื้องโมเสกทอง ภายในประดิษฐานเจดีย์ขนาดเล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์เจดีย์ใหญ่ และสวยงามด้วยสีทองอร่าม เวลาโดนแสงอาทิตย์ส่องผ่านมากระทบ สวยงามอย่าบอกใครครับ พระมณฑปตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างประสาทพระเทพบิดรและพระศรีรัตนเจดีย์ สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 1 แทนที่หอไตรที่ถูกไฟไหม้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฏกฉบับทองที่โปรดเกล้าฯ ให้สังคนา พระมณฑปนี้ได้รับการซ่อมครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนเครื่องบนลงรักปิดทอง ประดับกระจกสีเหลือง ตกแต่งอย่างประณีตศิลป์มาก ๆ สวยสดงดงามมาก ๆ ลายละเอียดลวดลายเส้นที่ลงไปมัยช่างตรึงใจเหลือเกินครับทุกท่าน ประสาทพระเทพบิดรเดิมชื่อ พระพุทธปรางค์ปราสาท ต่อมานิยมเรียกกันว่าปราสาทพระเทพบิดรมากกว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 และมาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 5 พุทธปรางค์ปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 เป็นสถานที่สำคัญที่เปิดแต่เฉพาะวันสำคัญของชาติ คือวันจักรี วันฉัตรมงคล วันสงกรานต์ วันปิยมหาราช และวันเฉลิมพระชนมพรรษาในรัชกาลปัจจุบัน แม้เราจะได้ดูแต่ด้านนอกก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ
พระเจดีย์ทอง 2 องค์ แต่เดิมตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอเจดีย์ทั้ง 2 องค์นี้มาตั้งอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ด้านข้างเหนือและใต้ของปราสาทพระเทพบิดร ลักษณะทางศิลปกรรมของเจดีย์ทองเป็นเจดีย์ทรงเครื่อง ประกอบด้วยฐานที่มียักษ์แบกชุดฐานสิงห์ 3 ฐาน มีบัวทรงคลุ่มรองรับองค์ระฆัง ตั้งแต่ฐานถึงองค์ระฆังอยู่ในผังย่อมุมไม้ 20 ส่วนยอดเป็นบัวทรงคลุ่มเถาและปลีตามลำดับ เจดีย์ทองจัดเป็นงานศิลปกรรมที่ทำสืบต่อมาจากสมัยอยุธยาตอนปลายและเป็นแบบอย่างให้กับงานศิลปกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-3) เป็นศิลปะการสร้างที่ออกแบบได้แปลกตา ตรงที่เหมือนมียักษ์แบบองค์เจดีย์ไว้ ทั้งหมด องค์เจดีย์มีมนต์เสน่ห์ตรงที่มียักษ์แบบกไว้ครับ สวยงามมาก ๆ หลังจากเราชมความงามของวัดพระแก้ว แล้วเราก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อชื่นชมความงามและยิ่งใหญ่ของพระที่นั่งจักกรีมหาปราสาท และด้านข้างยังมีพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทให้เราไห้ชมอีกด้วย เรียกว่าเข้ามาแล้วคุ้มมากได้ชมทั้งวัด ได้ชมทั้งวังครับ
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือหนึ่งในพระที่นั่งที่สำคัญในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง เดิมมีพระที่นั่งต่างๆ เรียงต่อเนื่องกันรวม 11 องค์ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์ คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และ พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ กับ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ซึ่งพระที่นั่งทั้ง 2 องค์ที่กล่าวถึงนั้นได้รื้อลงแล้วสร้างใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน และได้มีโครงการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทส่วนต่อเติมในพื้นด้านหลัง เพื่อใช้ในการพระราชทานเลี้ยงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทยังเป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทย ที่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกอีกด้วย สวยงามและยิ่งใหญ่มากครับ ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าขนาดกว้างมีต้นไม้พื้นเมืองเรียงรายเต็มพื้นที่ วันนี้ได้มาเห็นของจริงแล้วหลังจากที่ได้ชมในทีวีมาหลายครั้ง สุดยอดครับ ถัดต่อไปด้านข้างก็เป็นพระที่นั่งดุสิตหมาปราสาทเราเข้าตามดูความงดงามกันต่อเลย
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ทางทิศตะวันตกของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มีพระที่นั่งพิมานรัตยา พระปรัศว์ซ้าย พระปรัศว์ขวา และ เรือนบริวาร หรือ เรือนจันทร์ ต่อเนื่องทางด้านหลังในเขตพระราชฐานชั้นใน พระที่นั่งองค์นี้ได้รับยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเอกของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นพระที่นั่งทรงไทยแท้องค์เดียว ในพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะเรือนยอดพระมหาปราสาท มีรูปทรงต้องด้วยศิลปะลักษณะอันวิจิตรงดงามอย่างยิ่งครับ
ภายในวัดพระแก้วถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพระพุทธรูปสำคัญของเมืองไทยอย่างพระแก้วมรกต และมีความงามของศิลปะมากมายให้เราได้ชมกันอย่างตื่นตาตื่นใจ นอกจากนั้นยังได้ชมความงามของพระที่นั่งกันถึงสองที่ อีกด้วยเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่พวกเราชาวไทยต้องเข้ามากราบไหว้สักการพระแก้วมรกต และเยี่ยมชมความของศิลปะอย่างไทยเรา เพื่อความภาคภูมิใจของศิลปะและวัฒนธรรมของชาติไทยเราครับ เป็นอีกวัดหนึ่งครับ ที่ดูเอเซีย.คอม แนะนำ สำหรับคนที่อยากทำบุญไหว้พระครับ หรือการไหว้พระเก้าวัด วัดพระแก้วแห่งนี้ก็เป็นที่แรกที่ควรจะเข้ามากราบไห้ก่อนที่อื่นครับ เอาไว้ทริปหน้า ดูเอเซีย.คอม จะพาไปชมและทำบุญวัดที่สำคัญ ๆ ของเมืองไทยมาฝากกันอีกนะครับ
ภายในพระบรมมหาราชวัง
ขอบคุณ ข้อมูลดีดี จากหนังสือ ประวัติวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ของ ศาสตราจารย์ มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ตั้งอยู่ที่ ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
การเดินทางไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)
เดินทาง โดยรถประจำทางสาย 1, 3, 25, 32, 33, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203, ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59, 60, 70, 82, 201, 203, 512