แรงบันดานใจในการสร้างวัดร่องขุ่น
มีคนถามผมเยอะมากถึงแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ทุ่มตัวทุ่มใจอุทิศตนสร้างวัดไปจนตายผมมีอยู่ 3 สิ่งที่ผมเคารพรักศรัทธายิ่งกว่าชีวิตอันกระจอกงอกง่อยของผมเอง และคนไทยทุกคนควรระลึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก
ชาติ ผมเกิดบนแผ่นดินไทย ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อว่าบ้านร่องขุ่น ในจังหวัดเชียงราย เกิดมาไม่มีไฟฟ้า ใช้บริการด้วยหมอตำแยชื่อยายตุ่นดึงออกมาจากแม่ผม เลือดรกผมตกบนแผ่นดินนี้ ผมรักบ้านเมืองประเทศของผม แต่เด็กปรารถนาอยากเป็นทหารรับใช้ชาติ แต่ดันเรียนไม่เก่ง วาดรูปเก่ง จึงหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะสร้างงานศิลปะให้ยิ่งใหญ่ฝากไว้ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ณ ที่เกิด
ผมปรารถนาอยากจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ เป็นวิมานบนดินที่มนุษย์โลกสามารถสัมผัสได้
ศาสนา ผมเลวมาก่อนแต่เด็ก ใจร้อน วู่วาม เคยแทงพี่ชาย เกเร เที่ยวซ่อง เจ้าชู้ โตขึ้นติดกาม เจ้าชู้มาก หลอกผู้หญิงมาเยอะ เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยิ่งเพิ่มความเลวเข้าไปอีก อัตตสูง ความอยากกามอยากวัตถุสูง อยากเด่น อยากดัง อิจฉาตาร้อน โอ้อวด
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าเป็นเหมือนหวายหนามอันแหลมคมฟาดมาที่ใจผมเมื่อจิตพยศ ธรรมะเหมือนน้ำเย็นดับความเร่าร้อนลึกๆในจิตผม และเป็นน้ำอุ่นๆ ให้ผมอุ่นจิตเมื่อผมมีอาการหวาดผวาลังเลในสัจธรรม
ความหมายของอุโบสถ
ผมสร้างโบสถ์ในเขตพุทธวาส เปรียบเหมือนบ้านของพระพุทธเจ้า สีขาวแทนพระบริสุทธิ์คุณของพระเจ้า กระจกขาว หมายถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าที่แปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล
สะพานหมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ ก่อนขึ้นสะพานครึ่งวงกลมเล็กหมายถึง โลกมนุษย์ วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญามาร หรือพระราหูหมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรกคือทุกข์ ผู้ใดจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองทิ้งลงไปในปกพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตเราให้ผ่องใสถึงจะเดินผ่านขึ้นไป บนเส้นของสะพานจะประกอบไปด้วยอสูรอมกัน ๑๖ ตัว ข้างละ ๘ ตัว หมายถึง อุปกิเลส ๑๖ จากนั้นก็จะถึงกึ่งกลางสะพาน หมายถึงเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของเทวดา ด้านล่างเป็นสระน้ำ หมายถึงสีทันดรมหาสมุทร มีสวรรค์ตั้งอยู่ ๖ ชั้น แทนด้วยดอกบัวทิพย์ ๑๖ ดอกรอบอุโบสถ ดอกที่ใหญ่สุด ๔ ดอก ตรงทางขึ้นด้านข้างโบสถ์ หมายถึงซุ้มพระอริยเจ้า ๔ พระองค์ ประกอบด้วยพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระนาคามี และพระอรหันต์ เป็นสงฆ์สาวกที่เราควรกราบไหว้บูชาก่อนขึ้นบันไดครึ่งวงกลม หมายถึง โลกกุตตรปัญญา บันไดทางขึ้น ๓ ขั้น แทน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผ่านแล้วจึงไปสู่แผ่นดินของอรูปพรหม ๔ แทนด้วยดอกบัวทิพย์ ๔ ดอก และบานประตู ๔ บาน บานสุดท้ายเป็นกระจกสามเหลี่ยมแทนความว่าง (ความหลุดพ้น) แล้วจึงจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่พุทธภูมิ
ความคิดในการสร้างวัดร่องขุ่น
เริ่มแรกสร้างวัดผมคิดเพียงกะสร้างโบสถ์ 1 หลังสวยๆ ใช้เวลาสัก 10 ปีก็มากพอ สร้างไปได้ 2 ปี คนชอบกันมาก เริ่มมองสิ่งก่อสร้างภายในวัด ขี้เหร่ไม่สวย ดูไม่เข้ากับโบสถ์ อุตริสั่งรื้อทิ้งหมด เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูวัด ประปาหมู่บ้านหน้าวัด ศาลาอ่านหนังสือ ศาลาการเปรียญ หอฉัน กุฏิพระหลังเก่าของแม่สร้างอุทิศให้อาก๋งที่ผมเคยวาดรูปติดหน้าบันไว้เมื่อเป็นเด็กศิลปากรปี 4 สุดท้ายปีนี้ 2548 ทุบกุฏิใหญ่ของพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหมดทิ้งเป็นหลังสุดท้าย จึงไม่เหลืออะไรเลยที่เป็นของเก่าสมัยท่านเจ้าอาวาส พระครูไสวสร้างไว้ (มรณภาพปี 2546)
ผมต้องทุบทิ้งเพราะเป็นของเก่าที่ไม่มีค่าทางสุนทรีภาพ เป็นช่างรับเหมาห่วยๆ ราคาถูกๆ สร้างประมาณ 10 – 20 ปีนี่เอง
พอทุบของเขาทิ้งก็เลยคิดสร้างเพิ่ม แต่ที่ดินวัดไม่พอเลยซื้อเพิ่มครับ อีกไร่กว่าก็ยังไม่พออีก หากสร้างไปก็จะเบียดเบียนกันดูไม่สวย จึงติดต่อขอซื้อที่จากเศรษฐีกรุงเทพฯเพิ่ม แต่เป็นบุญของพระศาสนาครับท่านใจบุญยกให้ฟรีๆ ไร่กว่าๆ ที่วัดตกสี่เหลี่ยมพอดี
เวลาผ่านไป 5 ปี มาไหวแล้วครับ คนมาชื่นชมกันเยอะมากจนหาที่จอดรถลำบาก และดันแพ้เสียงเชียร์โดยเฉพาะพวกฝรั่งมันยกย่องออกอาการมาก เลยบ้าตามมัน เปลี่ยนความคิดเป็นสร้างให้สวยระดับโลกให้ได้
เอาล่ะวะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลุยเต็มสูบกันเลย ผมขอที่เพิ่มจากคุณวันชัย วิชญชาคร เศรษฐีใจบุญเป็นครั้งที่สอง ท่านก็เห็นแก่พระศาสนา ประเทศชาติ บอกผมว่าเอาเลยอาจารย์ จะเอาเท่าไหร่ก็ถมเอาเถอะ ผมมีร้อยกว่าไร่หลังวัด
ผมคนขี้เกรงใจครับ ขอแค่พอสร้างให้ครบ 9 หลัง ได้เพิ่มอีกประมาณ 3 ไร่กว่า รวมวัดมีเนื้อที่จาก 3 ไร่กว่าเป็น 9 ไร่กว่าๆ
พอแล้วครับ ภูมิทัศน์ลงตัวสวนพอดีครับ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ผมแบ่งที่ดินเป็น 3 เขต
หนึ่ง เขตพุทธวาส ผมชอบเรียกว่าพุทธภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า จะอยู่ด้านขวา มีเสานางเรียกตั้งโปร่งๆ เป็นเขตแดนประกอบด้วยโบสถ์ หอพระธาตุ สะพานสุขาวดีข้ามน้ำไปสู่ยังหอพระอีกหลัง
สอง เขตสังฆาวาส อยู่ด้านซ้ายด้านเดียวกับเขตฆราวาส จะประกอบด้วยกุฏิพระและหอวิปัสสนา จุคนประมาณ 200 คน สำหรับบรรยายธรรมขั้นสูงและฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
สาม เขตฆราวาส อยู่ด้านซ้ายมือหลังแรก เป็นหอศิลป์ ข้างล่างห้องโถงใหญ่ใช้เป็นที่จำหน่ายผลงานสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึกต่างๆ ห้องวีดิทัศน์เพื่อบรรยาย จุคนประมาณ 50 คน
ประวัติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ผมเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ยากจน ไม่มีไฟฟ้า ชื่อบ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย พ่อผมชื่อ ฮั่วชิว แซ่โค้ว (เปลี่ยนเป็นนายไพศาล) แม่ผมเป็นคนอำเภอพะเยา (อดีตเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) ชื่อ พรศรี อยู่สุข แม่ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลจนบัดนี้
หมอตำแยในหมู่บ้านดึงผมออกมาจากแม่เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ แม่บอกว่าเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หรือเช้าๆ ไม่แน่ใจเพราะกูจำไม่ได้มันหมายคน คน ผมเป็นคนที่ ๓
ผมเป็นเด็กค่อนข้างเกเร และดื้อ เคยถูกแม่ตบเลือดอาบคาโอ่งน้ำ เพราะเอามีดไล่แทงพี่ชาย แต่ผมชอบวาดรูปมากตั้งแต่จำความได้ ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากเล่นสนุกเอามันส์ไว้ก่อน กับเขียนรูป เรียนหนังสือห่วยแตก ตก ป.๓ พอโตหน่อย ตกป.๖ เพราะไม่ชอบเรียนวิชาอื่น สมุดเรียนมีแต่รูปวาดทั้งเล่ม อายุ ๘ ขวบพ่อแม่ผมย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ผมเข้าเรียนโรงเรียนดรุณศึกษา ผมดีใจมาก เพราะจะได้ไปดูเขาเขียนรูปที่โรงหนัง ผมไปทุกวันหลังเลิกเรียน ช่วยล้างพู่กัน ซื้อโอเลี้ยง จนได้วาดรูปตัวประกอบ สุดท้ายพระเอก นางเอก
ปี ๒๕๒๔ – ๒๕๒๖ ผมได้มีกับเดินทางไปต่างประเทศโดยทุนของสถาบันและองค์กรต่างๆ หลายครั้ง เมื่อครั้งที่ผมไปประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสไปเห็นโบสถ์ไทยๆ ซึ่งสร้างโดยรัฐบาลนายกฯเกียงศักดิ์ ผมจึงเสนอตัวเพื่อขอเขียนรูปถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่คิดค่าจ้างร่วมกับเพื่อนรุ่นน้องชื่อปัญญา วิจินธนสาร ผมอุทิศตนอยู่ ๔ ปี ด้วยความยากลำบาก กลับถึงบ้านจาก ๖ แสนกว่าที่เคยมีอยู่เหลือ ๔๐๐๐ บาท
รวมภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วน