ทำบุญ ไหว้พระ ที่วัด สุทัศนเทพวราราม ท่านจะได้สัมผัสกับการ กราบไหว้พระศักดิ์สิทธิ์องค์โต ชมอุโบสถหลังใหญ่สุดของไทย พร้อมสัมผัสกับวิหารหลังสวยสูง และตื่นตาตื่นใจกับเสมาหินอันสวยงาม สุขสบาย ใจไปกับ ต้นไม้อันร่มรื่นและ มีความเชื่อว่า ถ้าได้มาไหว้พระที่วัดสุทัศนแล้ว จะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีเสน่ห์อยู่ในตัวเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ครับ
ทริปนี้ เราพา มาทำบุญไหว้พระ วัดประจำรัชกาลที่ 8 ที่วัดสุทัศนเทพวราราม เราเริ่มด้วยการเดินชมเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดมีขนาดสูงใหญ่สีแดงฉาดสวยงามมาก ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่เสาชิงช้านี้มีความสูง 21 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางฐานกลมประมาณ 10.50 เมตร ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย เป็นเสาไม้ที่มีขนาดยาวมาก ๆ การทำเสาชิงช้าถือเป็นจารีตประเพณีของไทยมาตั้งแต่สมัยอดีต และเป็นสิ่งที่ต้องเก็บรักษาไว้ให้อยู่คู่กับเมืองไทยต่อไปอีกนานเท่านาน หลังจากเราชมเสาชิงช้าถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าไปทำบุญไหว้พระกันต่อเลย
วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของไทย เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรีและมีจุดเด่นตรงที่ภายในวัดมีอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และทางด้านหน้ามีสถานที่สำคัญคือศาลาลอยซึ่งเป็นที่สำหรับประทับทอดพระเนตรพระราชพิธีโล้ชิงช้าของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยก่อน
ประวัติการสร้าง วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรหมาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ราชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็นวัดกลางพระนคร และสร้างพระวิหารสูงใหญ่เทียบเท่าวัดพนัญเชิงของกรุงศรีอยุธยา จากนั้นทรงอัญเชิญ พระพุทธรูปโลหะปางมารวิชัย ซึ่งหล่อขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง ที่เรียกกันว่า พระโต หรือพระใหญ่ จากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยมาประดิษฐานไว้ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระวิหารต่อจนแล้วเสร็จ พร้อมกับสร้างพระอุโบสถและหล่อพระประธานขึ้นใหม่ พระราชทานนามวัดเป็น วัดสุทัศนเทพวราราม จากเดิมที่เรียกว่าวัดพระโต จนถึงสมัยรัชกาล 4 ทรงถวายนามพระโต ซึ่งเป็นพระประธานในวิหารว่า พระพุทธศรีศากยมุนี และพระประธานในอุโบสถ ว่า พระพุทธตรีโลกเชฎฐ์ และวัดแห่งนี้มีชื่อเรียกต่อกันมาถึง 5ชื่อ คือ 1วัดพระใหญ่, 2.วัดพระโต , 3. วัดเสาชิงช้า , 4. วัดมหาสุทธาวาส , 5. วัดสุทัศนเทพวราราม นอกจากนั้นยังมีวัตถุมงคลที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป คือ พระกริ่งวัดสุทัศน ซึ่งเป็นต้นแบบของการสร้างพระกริ่งของเมืองไทย อีกด้วย
ภายในวัดมีสถานที่กว้างขวางและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่มีอยู่เต็มพื้นที่ จัดแสดงจำลองสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาให้เราได้เข้าไปสักการะเยี่ยมชม เช่นสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า,สัตตมหาสถานเป็นสถานที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ตรัสรู้ และอีกหลายสถานที่ให้เราได้ศึกษาเกี่ยวพุทธประวัติ ด้านหน้าประตูทางเข้า จัดเป็น ซุ้มของวัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างขึ้น มีมากมาย
บริเวณด้านนอกอุโบสถมี ซุ้มเสมายอดเจดีย์ ทั้งหมด 8 ซุ้ม คือเป็นซุ้มเสมาที่ทำเรือนซุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยอดซุ้มทำเป็นรูปทรงอย่างเจดีย์ มีใบเสมาหิน 2 ใบ เรียกว่าเสมาคู่ เป็นหินสลักรูปช้าง 3 เศียรชูงวง มีขนาดใหญ่และเก่ามาก งวงของช้างแต่งวง ถือ ดอกบัวตูม 3 ดอก และดอกบัวบาน 2 ดอก เกสรดอกบัวบานเป็นรูปสัตว์เช่น นก,กระต่าย ศิลปะการสร้างสวยงามจับใจครับและยังสื่อความหมายดี ๆ อีกด้วย อย่างรูปนกนั้น หมายถึงพระอาทิตย์ และเป็นรูปกระต่ายนั้น หมายถึงพระจันทร์ ใบเสมาหิน ถือว่าเป็นของสำคัญและทรงคุณค่าอีกชิ้นหนึ่งของวัดสุทัศน ฯ แห่งนี้ครับ เราเดินรอบอุโบสถ หนึ่งรอบจึงรูว่ามีขนาดใหญ่จริง ๆ สมกับเป็นอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย
พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นอุโบสถที่มีขนาดใหญ่และยาวสวยงามที่สุดในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดฯเกล้าให้สร้างขึ้น เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2377 สำเร็จเรียบร้อยปี พ.ศ.2386 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบอิฐถือปูนแบบสถาปัตยกรรมไทย ขนาดกว้าง 22.60 เมตร ยาว 72.25 เมตร(โอ้ยาวมากครับ) เป็นอาคารสูงใหญ่มากมีเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รองรับหลังคาทั้งหมด 68 ต้น หลังคา 4 ชั้น และชั้นลด 3 ชั้น มีประตู รวม 4 ประตู หน้าต่างด้านข้างด้านละ 13 ช่อง รวมทั้งหมด 26 ช่อง ด้านนอก ติดกระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ร่วง ภายในมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบภายในพระอุโบสถ มีภาพจิตกรรมงดงามเป็นภาพพุทธประวัติ ภาพพระปัจเจกพุทธเจ้า ภูเขาคันธมาศ มีพระพุทธตรีโลกเชษฐ์เป็นพระประธาน พระอสีติมหาสาวก 80 รูปอยู่เบื้องหน้า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงหล่อขึ้น เป็นแบบปางมารวิชัย มีขนาดใหญ่สมกับตัวอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ ภายในอุโบสถกว้างใหญ่กว่าอุโบสถทั่วไป มากครับ
หลังจากที่เราไหว้พระในอุโบสถเรียบร้อยแล้วเราก็เข้าไปด้านที่ตัววิหารหลวง ที่ตั้งทรงสูงเด่นล้อมรอบไปด้วยฐานประทักษิณล้อมพระวิหาร 3 ชั้น คือ ชั้นบนสุดเริ่มจากฐานปัทม์ของพระวิหารถึงแนวเสานางเรียง ฐานประทักษัณ ชั้นต่อมาเป็นที่ตั้งของถะศิลารายรอบพระวิหารทั้ง 4 ด้าน จำนวน 28 ถะ ต่อลงมาเป็นลานประทักษิณชั้นล่างที่กว้างที่สุดไปจนถึงพระระเบียงคด ฐานประทักษิณแต่ละชั้นจะมีพนักกั้น มีช่องซุ้มสำหรับตามประทีปตลอดแนวพนักกั้นทุก พื้นด้านนอกทั่วบริเวณ เป็นพื้นหินอ่อนทั้งหมด สวยงามสะอาดตามาก ๆ พระวิหารหลวงมีขนาดสูงใหญ่มาก ตั้งอยู่บนฐานทักษิณ 2 ชั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจที่สมัยก่อนยังไม่มีปูนซีเมนต์และเสาเข็ม แต่ก็สามารถสร้างได้มั่นคงแข็งแรง พระวิหารหลวงล้อมรอบด้วยพระวิหารคด หรือพระระเบียงที่ล้อมรอบพระวิหารพระศรีศากยมุนี ล้อมพระวิหารหลวงทั้ง 4 ด้าน ความกว้าง 89.60 เมตร ความยาว 98.87 เมตร ระหว่างกลางพระระเบียงคดแต่ละด้าน มีประตูซุ้มจตุรมุข สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองรวม 156 องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้ประดิษฐานบนฐานชกชี ปิดทองคำเปลวประดับกระจกสี มีลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยรัชกาลที่ 3
ตัวพระวิหารหลวงเป็นอาคารเครื่องก่อขนาด 5 ห้อง กว้าง 23.84 เมตร ยาว 26.25 เมตร โครงสร้างหลังคาเป็นจั่วมีหลังคาประธาน 1 ตับ มีชั้นซ้อน(หลังคามุข) ทางด้านหน้าและด้านหลังข้างละ 1 ชั้น และมีหลังคาปีกนกลาดลงจากหลังคาประธานข้างละ 3 ตับ หลังคามุขทางด้านหน้าและด้านหลังมีหลังคาปีกนกลาดลงข้างละ 2 ตับ มีเสารับมุขเป็นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง จำนวน 12 ต้น ทั้งสองด้านรวม 24 ต้น และเสานาง เรียงด้านข้าง ด้านละ 6ต้น รวมทั้งหมดจึงเป็นเสา 36 ต้น เสานางเรียงและเสารับมุขหัวเสาเป็นปูนปั้น สวยงาม ด้านในวิหารเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งหมด ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยสุโขทัยคือพระพุทธศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่เป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หล่อเมื่อครั้งกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงครองกรุงสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัยต่อมาพระวิหารหลวงทรุดโทรดหักพังลงเหลือเพียงพระประธาน รัชกาลที่ 1 จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมาที่กรุงเทพฯ เพื่อประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวง พระพุทธรูปดังกล่าวเรียกกันง่ายๆ ในสมัยนั้นว่า พระโต ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพระนามว่าพระศรีศากยมุนี จนมาถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก มีคนเข้ากราบไหว้จำนวนมากในทุก ๆวัน
ภายในวัดสุทัศนเทพวราราม มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งและยังที่ความเป็นที่สุดของเมืองไทยถึงสองอย่าง มีศิลปะการสร้างวัดและสถานที่ต่าง ๆแบบอย่างไทย มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ให้เราได้กราบไหว้มากมาย ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลไห้กับตัวเองและครอบครัว และยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 ของพวกเราชาวไทยอีกด้วย แถมได้ชมเสาชิงช้าอันสวยงาม ถือว่าเป็นวัดที่สำคัญอีกวัดหนึ่งของไทยเราครับ เป็นสถานที่ที่พวกเราชาวไทยควรที่จะเข้าไปกราบไหว้สกการะบูชาเป็นอย่างยิ่งครับ