จังหวัดอ่างทอง
![](s01.jpg)
อ่างทองเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของไทย เคยเป็นแหล่งชุมชนยุคโบราณทางประวัติศาสตร์
ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา
และแม่น้ำน้อย เดิมตั้งเมืองอยู่ที่วิเศษชัยชาญ ริมแม่น้ำน้อย
ได้ย้ายมาตั้งเมืองใหม่บนฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยาที่บ้านบางแก้ว ประมาณปลายสมัยกรุงธนบุรี
และได้ชื่อว่าเมืองอ่างทอง อาจเป็นเพราะที่ตั้งเมืองอยู่ในพื้นที่ลุ่มคล้ายอ่าง
ไม่มีภูเขา ป่าไม้ และแร่ธาตุ แต่เป็นอู่ข้าว อู่น้ำและอู่ปลา มาแต่สมัยโบราณ
หรืออีกอย่างหนึ่งได้ชื่อนี้ตามชื่อบ้านอ่างทอง เมื่อครั้งย้ายเมืองมาตั้งใหม่
ณ ที่แห่งนี้
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ดินแดนแห่งนี้เคยเป็นเมืองโบราณในสมัยทวาราวดี
ได้พบร่องรอยคูเมือง ที่มีลักษณะเป็นคูน้ำใหญ่ล้อมรอบเมือง ตามรูปแบบคูน้ำคันดินรอบชวากทะเล
คือบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางบริเวณ สิงห์บุรี ชัยนาท และอ่างทอง
คูเมืองดังกล่าวอยู่ที่บ้านคูเมือง ตำบลหัวไผ่ อำเภอแสวงหา
บ้านคูเมืองเป็นเมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบ มีคลองขุดเชื่อมกับคูเมืองและแม่น้ำธรรมชาติ
มีพื้นที่ประมาณ 250,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 150 ไร่ เมืองโบราณที่บ้านคูเมืองนี้ มีร่องรอยการเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่แรกเริ่มประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
มาจนถึงสมัยทวาราวดี ได้ค้นพบวัดร้าง และพระพุทธรูปก่อนสมัยลพบุรี
พบเศษกระเบื้องถ้วยชามเป็นดินเผา ลายเชือกทาบ และเคลือบสี รวมทั้งได้พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณอีกจำนวนหนึ่ง
ได้พบพระพุทธรูปหิน มีทั้งหินทรายสีชมพู และสีเทาอมเขียว เป็นจำนวนมาก ศิลปะอโยธยา
(พุทธศตวรรษที่ 14-18) แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
ที่ได้แผ่มาสู่ดินแดนส่วนนี้มาแล้ว อย่างกว้างขวางเป็นปึกแผ่นมานานแล้ว
ในสมัยสุโขทัย เมืองอ่างทองได้รับวัฒนธรรมจากสุโขทัย ดังปรากฎมีพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยอยู่ไม่น้อย เช่น
พระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูล
และพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร
ในสมัยอยุธยา เมืองอ่างทองอยู่ในเส้นทางเดินทัพของพม่าที่มาจากทางทิศตะวันตก
จากเมืองสุพรรณบุรี และที่มาทางทิศเหนือจากเมืองลพบุรี และเป็นพื้นที่สนามรบระหว่างไทยกับพม่าหลายครั้งหลายหน
ตั้งสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เมื่อปี พ.ศ. 2091 จนถึงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
เมื่อปี พ.ศ. 2310
ในสมัยกรุงธนบุรี ได้มีการย้ายเมืองเป็นครั้งแรก จากเมืองวิเศษชัยชาญริมแม่น้ำน้อย
มาตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามวัดไชยสงคราม ทางฝั่งขวาหรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
และได้ชื่อว่าเมืองอ่างทองในครั้งนี้
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าเมืองอ่างทองมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา
ที่พระยาอ่างทอง ในขณะที่อีกหลายเมือง
เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็น
พระ เช่น พระนครสวรรค์ เป็นต้น
แหล่งโบราณคดี
และแหล่งประวัติศาสตร์
บ้านคูเมือง
![](s02.jpg)
เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญที่สุดของจังหวัดอ่างทอง อยู่ที่ตำบลแสวงหา อำเภอแสวงหา
พื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมมน กว้างยาวประมาณด้านละ 300-400 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบกว้างประมาณ
20 เมตร เป็นที่ตั้งของชุมชนระดับเมือง มีอายุสมัยทวาราวดี
ได้พบโบราณวัตถุในบริเวณนี้หลายชนิด เช่น กระดิ่งสำริด แท่งหินบดยาทำด้วยหินทรายแดง
พระพิมพ์ดินเผา เศษภาชนะดินเผา ในยุคนั้น
เนินดินยี่ล้น
เป็นเนินดินที่เก่าที่หมู่บ้านยี่ล้น ตำบลยี่ล้น อำเภอวิเศษชัยชาญ บนเนินดังกล่าวมีร่องรอยวัดร้างตั้งอยู่
ชาวบ้านเรียกว่าวัดใหญ่ สันนิฐานว่า เนินแห่งนี้เป็นฐานที่ตั้งกองกำลังของพวกกบฎญาณพิเชียร
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทางด้านเหนือและด้านตะวันตกของพื้นที่นี้ เป็นคลองยี่ล้น
ด้านทิศตะวันออกและด้านใต้เป็นทุ่งโล่ง สามารถมองเห็นได้ไกลถึงแม่น้ำน้อย
เป็นชัยภูมิที่ใช้ป้องกันตนเอง จากฝ่ายตรงข้ามได้ดี
สะตือสี่ต้น
เป็นบริเวณที่มีการสู้รบ ระหว่างกำลังฝ่ายไทย และกำลังฝ่ายพม่าในศึกบางระจัน
เป็นครั้งที่ 4 โดยเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่า ได้จัดกำลังจำนวน 1,000
คน มีสุรินจอข้องเป็นนายทัพ ยกกำลังไปปราบปรามชาวบ้านบางระจัน
ได้ยกกำลังไปถึงทุ่งห้วยไผ่ ใกล้บ้านบางระจัน แล้วตั้งค่ายลง ณ ที่นั้น
ด้านชาวบ้านบางระจันยกกำลังจำนวน 600 คน แบ่งกำลังออกเป็น 3 กอง
เมื่อไปถึงที่สะตือสี่ต้น ริมคลองบางระจัน ก็วางกำลังรายรับพม่าอยู่ทางฝั่งเหนือ
ส่วนพม่าอยู่ทางฝั่งใต้
ตำบลจรเข้ร้อง
ตำบลจรเข้ร้อง มีที่มาจากพื้นบ้านเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเถรขวาด แปลงกายเป็นจรเข้ใหญ่
ล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จากเมืองเหนือลงไปอาละวาดทางเมืองใต้คือ กรุงศรีอยุธยา
เพื่อแก้แค้นพลายชุมพลแทนนางสร้อยฟ้า ซึ่งต่อมานิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ได้ร้อยกรองเป็นกลอนเสภา
จนกลายเป็นวรรณคดีที่สำคัญอย่างดีของไทยเรื่องหนึ่ง
เมื่อเถรขวาดเดินทางจากเมืองเชียงใหม่มาถึงคลองบางแมว ก็ใช้วิชาอาคมแปลงร่างเป็นจระเข้ใหญ่ว่ายไปในแม่น้ำเจ้าพระยา
ส่งเสียงร้องคำรามดังไปทั่ว บริเวณตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า บ้านจระเข้ร้อง
พระตำหนักคำหยาดหรือพระที่นั่งคำหยาด
![](s03.jpg)
อยู่ในทุ่งนา ตำบลคำหยาด อำเภอโพธิทอง มีลักษณะเช่นเดียวกับตำหนักทุ่งหันตรา
คือก่อเป็นตึกสูงจากพื้นดิน 5 ศอก ผนังชั้นล่างเป็นช่องคูหา ปูพื้นกระดาน
ชั้นบนซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้มจรนำ หลังคาในประธาน 3 ห้อง มุขลดหน้าท้าย
รวมเป็น 5 ห้อง มีมุขเด็จทั้งหน้าหลัง ด้านข้างมุขเด็จเสาหาร
มีอัฒจันทร์ขึ้นข้างมุข หลังอุดฝาตัน เจาะช่องหน้าต่างไว้สูง
ที่หว่างผนังด้านหุ้มกลองเจาะเป็นคูหา ทั้งข้างหน้าข้างหลังมีช่องคอสอง
เป็นฝีมือช่างแบบลพบุรี ยาวตลอดหลัง 9 วา 2 ศอก ขื่อกว้าง 5 วา อุดหน้าต่างมุขลดด้านหลังทั้ง
2 ด้าน หันหน้าไปทางตะวันออก ข้างด้านใต้มีวิหารเล็ก หรือหอพระหลังหนึ่ง
แยกอยู่คนละโคก
พระตำหนักหลังนี้สันนิฐานว่า กรมขุนพรพินิตหรือเจ้าฟ้าอุทุมพร
หรือที่เรียกอีกพระนามหนึ่งว่า ขุนหลวงหาวัด พระอนุชา สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์
ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อครั้งเสด็จออกทรงผนวชที่วัดโพธิทอง
ซึ่งอยู่ห่างจากพระตำหนักนี้ประมาณ 2 กิโลเมตร
วัดไทรย์นิโคธาราม
เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1950 สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่ยังคงปรากฎอยู่ในบริเวณวัดคือ
หอระฆังก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้างด้านละ 7.50 เมตร ฐานมีลักษณะโค้งท้องสำเภาย่อมุมไม้ยี่สิบ
รูปทรงของหอระฆังเป็นทรงมณฑป แต่เครื่องยอดชำรุดหักพังหมดแล้ว
บันไดขึ้นลงเป็นทางโค้งก่ออิฐถือปูน ไม่ปรากฎว่ามีลวดลายใดๆ หอระฆังนี้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก
วัดป่าโมกวรวิหาร
ตั้งอยู่อำเภอป่าโมก ตามพงศาวดารเมืองเหนือกล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย
พระพุทธไสยาสน์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะสุโขทัย วัดนี้เป็นวัดสำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ครั้งสงครามยุทธหัตถี เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกรีฑาทัพไปรบกับพระมหาอุปราชา
พระองค์ได้เสด็จมาชุมนุมพล และสักการะพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์นี้ พระองค์ได้ประทับพักแรมและทรงสุบินนิมิตรว่า
ได้ทรงลุยน้ำไปพบจระเข้ ได้ทรงต่อสู้กับจระเข้ และทรงฆ่าจระเข้ตาย ต่อมา
เมื่อทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาก็ทรงมีชัย ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชา
สิ้นพระชนม์บนคอช้าง
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2271 ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
กระแสน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ได้เซาะตลิ่งทะลายลงมาตามลำดับ จนใกล้ที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์
พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ชะลอองค์พระออกมาห่างจากตลิ่ง
ให้พ้นเขตน้ำเซาะ และได้สร้างอาคารเสนาสนะขึ้นใหม่ ได้แก่ พระอุโบสถและวิหารพระพุทธไสยาสน์
วิหารเขียน ยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตามพงศาวดารเมืองเหนือได้กล่าวถึงวัดป่าโมกอยู่ตอนหนึ่งว่า พระมหาเถรไลลายได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธตุ
ของพระพุทธเจ้า 650 พระองค์ กับ ต้นพระศรีมหาโพธิ 2 ต้น มาจากเมืองลังกา และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในองค์พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก
36 พระองค์
ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1480 พระมหาพุทธสาคร
เชื้อพระวงศ์กษัตริย์ทางเมืองเหนือ ได้ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระพุทธไสยาสน์องค์นี้
จึงประมวลเรื่องได้ว่า เมื่อ ปี พ.ศ. 1480 พระมหาพุทธสาคร กษัตริย์ทางภาคเหนือ
และพระมหาเถรไลลาย ได้ร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก
![](s04.jpg)
พระวิหารพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร
อยู่ที่อำเภอป่าโมก สร้างในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ก่ออิฐถือปูนเครื่องบนเป็นไม้
รูปทรงฐานและหลังคาโค้ง ทรงสำเภา หรือโค้งท้องช้าง ผนังด้านตะวันออกเจาะเป็นช่องประตู
1 ช่อง ตรงกับฉนวนทางเข้าพระวิหาร ที่เหลือเจาะเป็นช่องหน้าต่างรวม 6 ช่อง
มีเพิงหลังคาคลุมโดยมีเสากลมรองรับสี่ต้น ปลายเสาประดับด้วยบัวกลุ่ม
ผนังด้านทิศใต้ทึบ หลังคาทำเป็นสองชั้นซ้อน 3 ชั้น ลด มุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วยดินเผาชนิดไม่เคลือบ
กระเบื้องเชิงชายเป็นลายนูนริ้วคล้ายใบไม้ หลังคาประดับช่อฟ้าใบระกา
หางหงส์ หน้าบันทั้งสองด้าน เป็นเครื่องไม้คั่นตัว เป็นลายประกน
ระหว่างช่องประกนประดับลวดลายเฉพาะช่อง เป็นลายก้านขดศิลปอยุธยา เป็นงานแกะไม้ลงรักปิดทอง
ด้านล่างประดับกระจังปฏิภาณและกระจังรวน บานประตูหน้าต่างประดับลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์
หน้าขบก้านแย่ง เพดานกรุไม้ทึบ พื้นสีแดงชาด ลายฉลุปิดด้วยทองคำเปลว
มีเสาสี่เหลี่ยมหลบมุม มีบัวปลายเสาจำนวน 16 ต้น รองรับเครื่องบน
วัดขุนอินทประมูล
![](s06.jpg)
ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพลัด อำเภอโพธิทอง เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวถึง
50 เมตร เดิมพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ มีวิหารสร้างคลุมอยู่ แต่ต่อมาเกิดไฟไหม้เสียหาย
และเมื่อสร้าขึ้นมาใหม่ก็ถูกฟ้าผ่าไฟไหม้อีก ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันจึงไม่มีการสร้างใหม่อีก
คงเหลือแต่ร่องรอยเดิม ที่เหลือแต่เสาวิหารบางส่วนยังปรากฎอยู่ นอกจากวิหารแล้วยังมีซากอุโบสถ
และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งสร้างอยู่บนเนินประทักษิณขนาดใหญ่
![](s07.jpg)
ประวัติการสร้างพระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูลมีว่า สมัยกรุงสุโขทัย ในรัชสมัยพระยาเลอไท
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนิน จากกรุงสุโขทัยโดยชลมารค มานมัสการพระฤาษีสุกกะทันตะ
ณ เขาสมอคอน ในเขตเมืองละโว้ โดยได้เสด็จมาทางลำน้ำยม แล้วเข้าสู่ลำน้ำปิง
และแม่น้ำเจ้าพระยาตามลำดับ จากนั้นได้แยกเข้าแม่น้ำมหาศร เข้ามาถึงเขาสมอคอน
อันเป็นที่อยู่ของ พระฤาษีสุกกะทันตะ ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระองค์
และของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พระยาเลอไทยได้เข้านมัสการพระฤาษีสุกกะทันตะ แล้วประทับแรมอยู่ที่เขาสมอคอน
เป็นเวลา 5 วัน จากนั้นได้เสด็จผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วล่องลงมาตามลำแม่น้ำน้อย
และตามลำคลองบางพลับ เพื่อประพาสท้องทุ่ง เนื่องจากขณะนั้นเป็นห้วงเวลาน้ำเหนือบ่า
เมื่อถึงเวลาค่ำได้ทรงหยุดประทับแรม ณ โคกบ้านบางพลับ
ครั้นเวลายามสามได้เกิดศุภนิมิต เป็นลูกไฟดวงใหญ่ลอยขึ้นมาเหนือยอดไม้ แล้วหายไปในท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นศุภนิมิตนั้น แล้วก็ทรงปิติโสมนัส จึงได้ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระพุทธไสยาสน์
ขึ้นเป็นพุทธบูชา ด้วยคติว่า พระองค์ได้เสด็จมาบรรทมพักแรมอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น
ในการสร้างพระพุทธไสยาสน์ดังกล่าว ได้ทรงให้นายบ้านเกณฑ์แรงงาน จากบรรดาผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำน้อยทั้งหมด
ได้ประมาณพันคนเศษมาช่วยกันสร้าง โดยให้ขุดหลุมกว้าง 200 วา แล้วนำท่อนซุงเป็นจำนวนมากมาวางขัดเป็นตาราง
เพื่อใช้เป็นฐานราก แล้วให้ระดมกำลังกันทำอิฐเผา (ปัจจุบัน ยังมีโคกที่เรียกว่า
โคกเผาอิฐ
และตำบลบ้านทำอิฐ
อยู่ในเขตอำเภอโพธิทอง) การสร้างพระพุทธไสยาสน์ ใช้เวลาถึง 5 เดือน
จึงแล้วแสร็จ เมื่อ เดือน 5 พ.ศ. 1870 องค์พระยาว 20 วา สูง 5
วา ทรงขนามนามว่า พระพุทธไสยาสน์เลอไทนิมิต
ทรงมอบหมายให้นายบ้านเป็นผู้ดูแลพร้อมทั้งแต่งตั้งทาสวัดไว้
5 คน แล้วเสด็จกลับกรุงสุโขทัย
วัดไชโยวรวิหาร
![](s08.jpg)
เดิมเป็นวัดเก่าแก่ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด ต่อมาสมเด็จพุฒาจารย์
(โต พรหมรังสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่
ใช้เวลาสร้างนานถึงสามปี เสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้ถวายให้เป็นวัดหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า วัดเกษไชโย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในปี พ.ศ. 2430 ได้มีการบูรณปฎิสังขรวัด สร้างอุโบสถและวิหารพระโต
การก่อสร้างครั้งนี้ทำให้พระพุทธรูปที่สร้างไว้เดิมพังลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
ฯ จึงได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างองค์พระขึ้นใหม่ ใช้เวลานานถึง
8 ปี จึงเสร็จ พระราชทานนามว่า พระมหาพุทธพิมพ์
วิหารที่ประดิษฐาน พระพุทธพิมพ์มีขนาดสูงใหญ่มาก และมีรูปทรงที่แปลกตาไปจากที่เคยเห็นโดยทั่วไป
มีศิลปะแบบโกธิคผสมอยู่ด้วย ตัววิหารเชื่อมติดกับ พระอุโบสถซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก
ด้านหน้าพระวิหารมีมุขลด 2 ชั้น เมื่อมองด้านหน้าตรงจนเห็นหลังคาประกอบด้วยหน้าบัน
3 ชั้น ลดหลั่นลงมาอย่างงดงาม หน้าบันแรกเป็นหน้าบันตัวพระวิหาร
หน้าบันกลางเป็นหน้าบันมุขลด และหน้าบันสุดท้ายล่างสุดเป็นหน้าบันพระอุโบสถ
ด้านหลังพระวิหารมีมุขลด 2 ชั้น เช่นเดียวกับด้านหน้า ตัวมุขทะยอยต่ำลงมาเป็นจังหวะได้สัดส่วนงดงาม
พร้อมทั้งลดขนาดลงมาตามลำดับในแนวเดียวกับมุขลด หลังแรกที่ลดจากพระวิหาร มีกันสาดยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและด้านข้าง
รองรับด้วยเสานางเรียงทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า เฉพาะด้านหน้าและด้านหลังพระวิหารซ้ายขวา ข้างละ
3 ต้น ด้านข้างซ้ายขวามีช่องประตูโค้งแหลม ด้านละ 1 ประตู
ด้านข้างพระวิหารก่อผนังเป็น 2 ระยะ ผนังด้านจรดหลังคามีช่องหน้าต่างโค้งแหลม ด้านละ
5 ช่อง ผนังช่องที่ 2 จากหลังคากันสาดจนถึงพื้นซึ่งเป็นช่องที่สูงมาก
ด้านล่างเจาะช่องหน้าต่างโค้งแหลมด้านละ 5 ช่อง
หลังคาพระวิหารสร้างเป็น 2 ชั้น ซ้อน 4 ชั้นลด ส่วนหลังคามุขลดทั้งหมดสร้างเป็น
3 ชั้นลด หลังคากันสาดสร้างเป็น 3 ชั้นซ้อน หน้าบันมีจำนวน 6
หน้า ประดับด้วยลายปูนปั้น เป็นรูปพระเกี้ยววางอยู่บนพาน มีฉัตรอยู่ทั้งสองข้างซ้ายขวา
ด้านล่างเป็นรูปตราราชสีห์ รวมทั้งหมดประกอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษา
สำหรับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ออกแบบให้ผสมผสานกับศิลปะยุโรป
แต่ภาพโดยรวมแล้วคล้ายศิลปะไทย
![](s11.jpg)
ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธพิมพ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิแบบขัดสมาธิราบ
ห่มจีวรริ้วมีขนาดใหญ่โต จนเป็นที่กล่าวขานกันมาแต่โบราณ มีพุทธลักษณะคลายลงมาจากของเดิม
จนคล้ายกับมนุษย์ทั่วไป เช่น มีพระกรรณสั้น การห่มจีวรที่มีริ้วเป็นไปตามธรรมชาติ ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนัง
ฝีมือช่างสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เขียนเป็นภาพพุทธประวัติมีสภาพสมบูรณ์ บานประตูหน้าต่างและด้านในพระอุโบสถมีลายเขียนสีรูปเครื่องบูชาแบบจีน
ด้านนอกเป็นลายรดน้ำเขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์ เทพพนม ก้านแย่ง ลายหน้าบันทั้งของพระอุโบสถ
และพระวิหารเป็นลายปูนปั้น ตรงกลางเป็นรูปสิงห์อยู่ในวงกลม เหนือขึ้นไปเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|